แม้ดูเหมือนพลังของทักษิณจะแผ่วเบาลงจนใครต่อใครตั้งคำถามเรื่องมนต์ขลังที่กำลังเสื่อมคลาย โดยเฉพาะการพ่ายแพ้ในจังหวัดที่ทักษิณทุ่มเทมากอย่างเชียงราย และศรีสะเกษ แต่พรรคเพื่อไทยก็ยังเป็นพรรคที่กวาดเก้าอี้นายก อบจ. ได้มากที่สุดในจังหวัดที่สมัครในนามพรรค และแม้ว่าพรรคส้มจะพ่ายแพ้อย่างย่อยยับแม้จะทุ่มพลังลงไปมาก แต่การเลือกตั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็ยังเป็นการสู้กันระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคส้มอยู่ดี
อาจจะมีคนบอกว่าพรรคที่มาแรงก็คือพรรคภูมิใจไทยของเนวิน ชิดชอบ แต่ผมคิดว่า พรรคภูมิใจไทยนั้นยังไม่แรงพอที่จะขึ้นมาเป็นพรรคอันดับ 1-2 ได้ สถานะของพรรคยังคงเป็นพรรคระดับ 50-70 เสียงไม่มากไปกว่านั้น แม้เที่ยวนี้จะโค่นคนของพรรคเพื่อไทยไปหลายพื้นที่ก็ตาม
แต่อย่างไรก็ตาม บทบาททางการเมืองนับแต่นี้ก็จะอยู่ในมือของทักษิณ ชินวัตร ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และเนวิน ชิดชอบการเมืองไทยยังเป็นการเมืองหุ่นกระบอกที่มีคนชักหุ่นอยู่เบื้องหลังด้วยฝีมือของนายโรง 3 คนนี้เหมือนเดิม
ถามว่าด้วย ดีลทางการเมืองที่ทักษิณถืออยู่ในมือแลกกับการกลับประเทศโดยไม่ติดคุก พรรคการเมืองขั้วรัฐบาลในขณะนี้จะจับมือกันอย่างนี้ตลอดไปเพื่อต้านทานพรรคส้มหรือไม่ เราก็อาจจะมีความเชื่อว่าด้วยดีลพันธกิจนี้จะยังอยู่ต่อไป หากพรรคส้มยังคงเป็นอันตรายต่อระบอบและอุดมการณ์ของรัฐ
แต่ผมเชื่อว่าสถานการณ์ตอนนี้ทักษิณอาจจะไม่ได้พอใจนักกับภารกิจที่ผูกมัด เพราะเขาไม่สามารถควบคุมพรรคร่วมรัฐบาลได้ ตราบที่มีอำนาจเหนือกว่ากำชับให้ต้องจับมือกันไป เพราะเราจะเห็นว่า พรรคภูมิใจไทยของเนวินนั้นมีความพยศอยู่เนืองๆ ไม่ได้ทำให้ภารกิจของรัฐบาลผสมเป็นไปอย่างราบรื่นนัก เพราะพรรคของเนวินก็เชื่อว่า ยังไงทักษิณก็ตัดพรรคของเขาออกจากพรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้
และโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะกลับมาเป็นพรรคที่กวาดเสียงข้างมากถล่มทลายเหมือนเก่านั้นไม่มีอีกแล้ว ยังไงการจัดตั้งรัฐบาลก็ต้องเป็นรัฐบาลผสมไม่มีวันที่พรรคเพื่อไทยจะได้ชัยชนะเด็ดขาดแบบที่ทักษิณทำได้ในอดีตอีกแล้ว
แต่ถามว่าอำนาจเหนือที่กำกับทักษิณอยู่นั้นจะสามารถควบคุมให้ทักษิณยังอยู่ในดีลที่ตกลงกันได้ตลอดไปไหม ก็ไม่แน่เหมือนกันว่า วันหนึ่งทักษิณกับธนาธรจะไม่จับมือกัน
ธนาธรเพิ่งจะมารับแบบเต็มปากกับสรยุทธ สุทัศนะจินดาว่า เขาไปพบกับทักษิณ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 ที่ฮ่องกงมาก่อนที่ทักษิณจะบินกลับมาเมืองไทย สรยุทธถามว่า “ไม่ได้ไปต่อรองอะไรเลยหรือตอนนั้นจะตั้งรัฐบาลร่วมกัน” ธนาธรปฏิเสธว่า“ผมจะไปต่อรองอะไรผมไม่มีตำแหน่งทางการเมือง ผมไปต่อรองก็ถูกยุบพรรคสิผมจะไปต่อรองอะไร”
แน่นอนว่าทั้งธนาธรและทักษิณต้องพูดอย่างนี้ เพราะทั้งสองคนไม่ได้มีตำแหน่งอะไรในพรรคและมีข้อจำกัดทางกฎหมาย แต่ในที่ลับเป็นไปได้จริงๆ หรือที่ทั้งสองจะไม่พูดเรื่องการเมือง เมื่อทั้งสองคนพบกันในห้วงเวลาที่มีความพยายามจะจับมือกันตั้งรัฐบาลของทั้งสองพรรคที่ทั้งทักษิณและธนาธรมีสถานะเป็นเจ้าของพรรคตัวจริง ถ้าไม่พูดเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลก็เป็นเรื่องโกหกอย่างแน่นอน
ถ้าจำกันได้ทักษิณเคยกล่าวว่าในการพบกันครั้งนั้น เขาได้พูดกับธนาธร ว่า อย่าไปพยายามรื้อโครงสร้างมากเกินไปถ้าเราแก้ปัญหาด้วยหลักการและเอาบ้านเมืองให้อยู่ได้มันจะดีที่สุดไปคิดถึงสิ่งที่มีอยู่สิ่งที่ประชาชนคนไทยเคารพนับถือ ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญของสถาบันเราต้องจรรโลงอย่างเดียว ผมไม่ได้บอกว่านายธนาธรหรือพรรคก้าวไกลจะไม่จงรักภักดี แต่ต้องมีวิธีการที่ยึดหลักให้ถูกต้องของบ้านเมืองอย่าไปมุ่งหาเสียงบางทีจุดโฆษณามันอันตรายกว่าความตั้งใจจะทำ
แน่นอนสิ่งที่ทักษิณพูดกับธนาธรที่ฮ่องกงก็คือ เรื่องการท้าทายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั่นเองและเป็นการยืนยันว่า ทั้งสองพูดกันถึงเรื่องการเมืองแม้ทั้งสองจะไม่มีอำนาจอย่างเป็นทางการในพรรคก็ตาม
เชื่อว่า ตอนนั้นทักษิณน่าจะบอกให้ธนาธรรู้ว่า อย่างไรเสียเขาก็จัดตั้งรัฐบาลกับพรรคของธนาธรไม่ได้ เพราะความพยายามในการรื้อโครงสร้างของพรรคส้มนั้นไม่มีวันที่จะได้รับเสียงสนับสนุนจาก สว.ในตอนนั้น และยังไงเสียพรรคของธนาธรก็จะต้องเป็นฝ่ายค้าน
ตอนที่ธนาธรเจอกับทักษิณนั้น การโหวตนายกฯ ของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้ล้มเหลวไปแล้ว พรรคของทักษิณหันมาจับมือกับพรรคที่ร่วมรัฐบาลกันในเวลานี้ พวกนักอุดมคติที่แบกพรรคส้มฝันจะเห็นพรรคก้าวไกลจับมือกับพรรคเพื่อไทยเพื่อจัดตั้งรัฐบาลก็พากันโจมตีพรรคเพื่อไทยว่าตระบัดสัตย์ข้ามขั้ว โดยไม่ยอมรับความจริงว่า สิ่งที่พวกเขาอยากเห็นไม่อาจจะเป็นไปได้เลย เพราะเสียงส่วนใหญ่ของ สว.ไม่เอาด้วย ทางเลือกเดียวกับพรรคเพื่อไทยคือต้องจับมือกับพรรคร่วมรัฐบาลในเวลานี้เท่านั้น
เรื่องตระบัดสัตย์ข้ามขั้วจนถึงวันนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่อินฟลูปัญญาชนที่แบกส้มยังใช้เป็นวาทกรรมในการโจมตีทักษิณและพรรคเพื่อไทยว่าละทิ้งความหวังที่พวกเขาจะเห็นสองพรรคซึ่งเรียกว่าฝ่ายประชาธิปไตยจับมือกันจัดตั้งรัฐบาล พวกเขาเสียดายโอกาส ฝันสลายและโกรธทักษิณและพรรคเพื่อไทยมาก
แต่ถามว่า โอกาสที่พรรคส้มของธนาธรและทักษิณจะจับมือกันในอนาคตมีความเป็นไปได้ไหม ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้นะ เราไม่รู้หรอกว่าความเชื่อว่าทักษิณมีดีลที่จะต้านทานพรรคส้มไม่ให้ได้อำนาจรัฐนั้น เป็นพันธกิจที่จะผูกมัดตัวเขาตลอดไปไหมและเชื่อว่าการพบกันระหว่างทักษิณและธนาธรจะต้องให้ความหวังที่เป็นไปได้ที่ทั้งสองพรรคจะจับมือกันจัดตั้งรัฐบาล เพราะการเมืองข้างหน้านี้มีแต่สองพรรคนี้เท่านั้นที่จะแย่งชิงอันดับ 1 กับอันดับ 2 ไม่มีประตูสำหรับฝ่ายอนุรักษนิยมและพรรคอื่นเลย
แม้เชื่อว่า ทักษิณมีดีลกับชนชั้นนำเพื่อสกัดกั้นพรรคส้ม แต่วันนี้ก็ต้องยอมรับว่า ทักษิณมีดีลกับธนาธรที่ทั้งสองได้พบปะพูดคุยกันที่ฮ่องกงซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่า พูดคุยกันอย่างลึกซึ้งอย่างที่ทักษิณเปิดเผยออกมาว่า มีการพูดถึงสิ่งที่คนไทยเคารพนับถือ ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญของสถาบัน พร้อมกับคำเตือนว่า อย่ารื้อโครงสร้างมากเกินไป
แน่นอนว่าด้วยคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญจะทำให้พรรคส้มต้องหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 เพราะศาลชี้แล้วว่า มีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายที่อาจนำไปสู่การล้มล้างการปกครองฯ ได้ในที่สุด
แล้วอย่าลืมว่าวันนี้ทักษิณกำลังมีอำนาจมาก ถ้าเขาถอดชนักปักหลังออกไปได้หมด ก็ไม่แน่เหมือนกันว่าวันหนึ่งเขาจะละทิ้งดีลที่ทำกับชนชั้นนำไว้ แล้วหันไปจับมือกับพรรคส้มจัดตั้งรัฐบาลโดยอ้างอาณัติจากประชาชน
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan