บ้านเราช่วงนี้...เริ่มร้อนๆ ขึ้นมามั่งแล้ว หรือเริ่มย่างเข้าสู่หน้าร้อนอีกไม่ใกล้-ไม่ไกลนับจากนี้ ด้วยเหตุนี้เปิดฉากสัปดาห์นี้คงต้องหนีร้อนไปพึ่งเย็น หรือคงต้องขออนุญาตชวนไปแวะแถวๆ ขั้วโลกเหนือ หรือแถบภูมิภาค “อาร์กติก” โน่นเลย อันเป็นอาณาบริเวณพื้นที่ที่ผู้นำโลกรายใหม่อย่าง “ทรัมป์บ้า” ท่านออกจะให้ความสำคัญอย่างเป็นพิเศษถึงขั้นคิดจะ “ยึดแคนาดา” มาเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกา หรือ “ผนวกเกาะกรีนแลนด์” มาเพิ่มเติมขนาดของประเทศให้ยิ่งใหญ่ ยิ่งโต ตามแบบฉบับ “American First” ให้จงได้!!! เล่นเอาบรรดา “พันธมิตร” ที่เคยเคียงบ่า-เคียงไหล่ เคยเป็น “พรมเช็ดเท้า” ให้คุณพ่ออเมริกามาก่อนหน้านั้น ไม่ว่าแคนาดา เดนมาร์ก ไปจนเยอรมนี ฝรั่งเศส ฯลฯ ต่างออกอาการ “หลับไม่ลง” กันไปเป็นแถบๆ...
เลยคงหนีไม่พ้นต้องแวะไปดูกันสักหน่อย...ว่าอาณาบริเวณพื้นที่แถวนั้น มันมีอะไรที่เป็น “พิเศษ” หรือที่จะเสริมความใหญ่ ความโต ความเป็น “อเมริกาชุบแป้งทอด” ให้กับประมุขโลกคนใหม่ได้มั่ง ซึ่งอันที่จริงสิ่งที่ว่านี้คงไม่ถือเป็นเรื่องใหม่ ที่ต้องรีบเร่งกระหืดกระหอบหันมาให้ความสนใจแต่อย่างใด เพราะถ้าว่าไปแล้ว...ตั้งแต่กว่า 10 ปีที่แล้ว อดีตเหยี่ยวข่าวชาวอังกฤษ อย่าง “นายTim Marshall” เขาเคยชี้ให้เห็นถึงความพิเศษ ความน่าสนใจของอาณาบริเวณพื้นที่แห่งนี้ ในหนังสือชื่อว่า “นักโทษแห่งภูมิศาสตร์” หรือ “Prisoner of Geography” มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2015 โน่นเลย ชนิดที่ถือเป็นอาณาบริเวณแห่งการเล่นเกมช่วงชิงความได้เปรียบ-เสียเปรียบครั้งใหม่และครั้งใหญ่ (The New Great Game) ของบรรดาประเทศต่างๆ โดยเฉพาะผู้ที่ได้ชื่อว่า “ชาติอาร์กติก” อันประกอบไปด้วยมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกา แคนาดา เดนมาร์ก และมหาอำนาจคู่แข่งอย่างหมีขาวรัสเซีย ฯลฯ เป็นต้น...
เหตุที่มันมีความน่าสนใจ พิเศษ หรือสำคัญขึ้นมา...อาจเกิดจากองค์ประกอบประมาณ 2 เรื่องด้วยกัน ที่ดันมาประจวบเหมาะกันแบบพอดิบ พอดี คือ 1. จากภาวะโลกร้อนที่ทำให้น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือค่อยๆ ละลายและทำให้การ “เข้าถึง” พื้นที่ภูมิศาสตร์แห่งนี้ได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และ 2. เกิดจากการพัฒนา “เทคโนโลยี” ที่นับวันจะก้าวหน้า ก้าวไกลยิ่งเข้าไปทุกที อันทำให้การแสวงหาประโยชน์จากพื้นที่ภูมิศาสตร์ต่างๆ ไม่ว่าการขุดเจาะน้ำมัน ค้นหาแหล่งแก๊ส หรือสินแร่ต่างๆ ฯลฯ สามารถให้ผลตอบแทนคุ้มค่ากับการลงทุน หรือทำกำไรแบบอุจจาระแตก อุจจาระแตน ได้ทุกเมื่อ...
ในเรื่องแรกที่ “น้ำแข็งละลาย” นั้น...ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดผืนแผ่นดินแบบที่เรียกว่าทุ่งทุนดรา ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการเพาะปลูก ทำการเกษตร หรือทำอะไรต่อมิอะไรได้ แต่ยังกลายเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วย “ทรัพยากรใต้ดิน” จำนวนมากมายมหาศาลที่รอให้ใครไปขุด ไปเจาะ ไปแสวงหาประโยชน์ได้แบบสบายๆ ดังที่องค์กรสำรวจทางภูมิศาสตร์อเมริกัน หรือ “The United States Geological Survey” เขาเคยคิดคำนวณเอาไว้ตั้งปี ค.ศ. 2008 มาแล้วนั่นแหละว่า อาณาบริเวณพื้นที่แห่งนี้น่าจะมีแหล่งแก๊สธรรมชาติฝังอยู่ไม่น้อยกว่า 1,670 ล้านล้านคิวบิกฟุต เอาเลยถึงขั้นนั้น แก๊สเหลวอีกไม่ต่ำกว่า 44,000 ล้านบาร์เรล น้ำมันอีกไม่น้อยกว่า 90,000 ล้านบาร์เรล นั่นยังไม่รวมถึงสินแร่ประเภท ทองคำ สังกะสี เหล็ก นิเกิล ฯลฯ ที่สามารถขุดๆ เจาะๆ ง่ายๆ ยิ่งกว่าครั้งที่น้ำแข็งยังไม่ทันละลาย...
แถมยังก่อให้เกิดสิ่งสำคัญยิ่งไปกว่านั้น นั่นคือ “เส้นทางเดินเรือ” ไม่ว่าจะเรียกว่า “Polar route”, “North-East route” หรือ “Northern sea route” ก็แล้วแต่ ที่เคยทำให้เรือบรรทุกแร่นิเกิล ปริมาณน้ำหนักถึง 23,000 ตันอย่างเรือ “The Nunavik” สามารถแล่นจากแคนาดาไปยังเมืองจีนโดยใช้เส้นทางที่ว่านี้ ทำให้เกิดการร่นระยะทางจากการใช้เส้นทางเดิมๆ ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ หรือนับเป็นสัปดาห์ๆ เอาเลยถึงขั้นนั้น ยิ่งถ้าโลกร้อนยิ่งขึ้นเท่าไหร่ดังเช่นที่คาดๆ กันว่าไม่น่าจะเกินปี ค.ศ. 2024 เส้นทางที่ว่าจะเปิดโล่งตลอดช่วงฤดูร้อนของแต่ละปี หรือประมาณ 2 เดือนต่อปี จนน่าจะกลายเป็น “เส้นทางยอดนิยม” ในอนาคต ยิ่งกว่าแล่นเรือผ่าน “คลองปานามา” ที่ “ทรัมป์บ้า” ทำท่าว่ากำลังคิดจะยึดไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า เพราะความลึกของน้ำทำให้เรือแล่นได้สะดวกกว่า...
และเมื่อ “เทคโนโลยี” ต่างๆ ไม่ว่าการขุดเจาะหาสินแร่ต่างๆ การประมง การขนส่ง ฯลฯ ที่นับวันยิ่งก้าวหน้า ก้าวไกล ยิ่งเข้าไปทุกที บรรดาบรรษัทยักษ์ต่างๆ ไม่ว่า “Exxon Mobil”, “Shell”, “Rosneft” ฯลฯ ต่างหันมาทุ่มทุน ทุ่มเท ให้กับการแสวงหาประโยชน์ในอาณาบริเวณพื้นที่แห่งนี้ จนเกิดการทวีความพิเศษ ความสำคัญยิ่งๆ ขึ้นไป แต่ขณะที่บรรดา “ชาติอาร์กติก” ทั้งหลาย แทบไม่ได้มี “ยุทธศาสตร์” ที่ชัดเจนต่อภูมิภาคแห่งนี้มากมายสักเท่าไหร่ แม้แต่คุณพ่ออเมริกาก็เถอะ ผิดไปจากหมีขาวรัสเซียที่เตรียมพร้อม เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะนับแต่ยุคประธานาธิบดี “ปูติน” เป็นต้นมา ที่หันมาเน้นความพิเศษ ความสำคัญ ต่ออาณาบริเวณพื้นที่แห่งนี้ แบบเน้นๆ เนื้อๆ ชนิดถึงขั้นจัดตั้ง “กองทัพอาร์กติก” (Artic Army) ขึ้นมารองรับเอาเลยถึงขั้นนั้น ตั้งฐานบัญชาการทางทหารกระจัดกระจายหลายต่อหลายแห่ง ไม่ว่าที่เกาะ “Novosibirsk” ที่มีกองกำลังจำนวนถึง 6,000 นาย หรือภูมิภาค “Murmansk” ที่มีทหารราบประจำการไม่น้อยกว่า 2 กองพัน มีรถหิมะหรือ “Snowmobiles” และยาน “Hovercraft” เอาไว้ใช้ แถมเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วยังเคยจัดซ้อมรบในพื้นที่บริเวณนี้ ด้วยกองกำลังทหารถึง 155,00 นาย รถถัง เรือรบ เครื่องบินรบมาเพียบ...
หรือแค่เปรียบเทียบง่ายๆ ด้วยจำนวน “เรือตัดน้ำแข็ง” (Icebreaker) ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานนิวเคลียร์ของแต่ละประเทศ ขณะที่คุณพ่ออเมริกามีเรือประเภทนี้อยู่ประมาณ 6 ลำ แคนาดามี 6 ลำ ฟินแลนด์มี 8 ลำ สวีเดน 7 ลำ เดนมาร์ก 4 ลำ แต่คุณน้ารัสเซียท่านสะสมเรือประเภทนี้ไว้ถึง 36 ลำด้วยกัน แถมยังคิดจะสร้างเรือตัดน้ำแข็งที่มีความหนาถึง 10 ฟุตและสามารถลากจูงเรือบรรทุกน้ำมันที่มีความจุประมาณ 70,000 ตันติดตัวไปด้วย อันนี้นี่เองที่เลยทำให้บทบาท อิทธิพลของรัสเซียต่อ “ยุทธศาสตร์แห่งอนาคต” หรือต่อ “The New Great Game” เป็นอะไรที่ยากจะคัดง้างกันได้ง่ายๆ เรียกว่า...แข็งโป๊กพอๆ กับผนังทองแดงกำแพงเหล็กเอาเลยก็ว่าได้ หรืออย่างที่หัวหน้าหน่วยยามฝั่งอเมริกา คุณ “Melissa Bert” เธอเคยให้การต่อศูนย์ศึกษาด้านยุทธศาสตร์ หรือ “The Center for International and Strategic Studies” เอาไว้นั่นแหละว่า...“พวกเขา(รัสเซีย)ตั้งเมืองทั้งเมืองอยู่ในอาร์กติก ขณะที่เรายังมีเพียงแค่หมู่บ้าน” อะไรประมาณนั้น...
อีกทั้งการคิดจะรวมตัวกันระหว่างชาติอาร์กติกเพื่อสกัดกั้นอิทธิพลดังกล่าว...ก็อาจไม่ถึงกับ “ง่าย” กันสักเท่าไหร่นักหรืออาจยุ่งยากพอๆ กับหนวดแขกพันกับฝอยขัดหม้อเอาเลยก็ว่าได้ เพราะการทะเลาะเบาะแว้ง การหา “จุดลงตัว” ระหว่างแต่ละชาติที่มีความเกี่ยวพันกับภูมิภาคแห่งนี้ มันค่อนข้างซับซ้อน ซ่อนเงื่อน เพื่อนทรยศอยู่พอสมควร แม้แต่อเมริกากับแคนาดาก็เคยทะเลาะกันในปี ค.ศ. 1985 เรื่องการแล่นเรือผ่านน่านน้ำแคนาดา หรือแคนาดากับเดนมาร์กที่ยังหาจุดลงตัวกันไม่เจอ ในเรื่องเกาะ “Hans Island” ใกล้ช่องแคบ “Nares” ที่เป็นตัวแยกกรีนแลนด์ออกจากเกาะ “Ellesmere Island” ของแคนาดา ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่ทำให้เกิดความพยายามที่จะรวบหัว-รวบหาง ตามแบบฉบับ “American First” หรือแบบ “อเมริกา...ต้องมาก่อน” ในทุกเรื่อง ทุกกรณี แม้แต่ในเรื่อง “อำนาจอธิปไตย” ของแต่ละชาติ แต่ละประเทศ ก็ตาม...
การคิด “ยึดแคนาดา” เอาไว้เป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกา ครอบครองเกาะกรีนแลนด์เอาไว้ทั้งเกาะ ไปจนถึงการดำรงอำนาจอิทธิพลของอเมริกาใน “คลองปานามา” ไม่ให้มหาอำนาจคู่แข่งอีกรายอย่างคุณพี่จีน ฉวยจังหวะเข้ามามีบทบาท จึงไม่ได้เป็นแค่เรื่อง “ล้อเหล้นน์น์น์” แต่ได้กลายเป็นเรื่อง “บ้า...ก็...บ้าวะ” ไปด้วยประการละฉะนี้ หรือเป็นความพยายาม “ดิ้นรน” เพื่อให้ “ตัวกู-ของกู” เอาตัวรอดเข้าไว้ก่อน ไม่ต่างอะไรไปจากการคิดใช้ “อัตราภาษี” เป็นเครื่องมือในการบีบบังคับ เล่นงาน ใครต่อใคร ไม่ว่าแคนาดา เม็กซิโก จีน ภายในวันที่ 1 กุมภาฯ เป็นต้นไป ตั้งแต่ 25 เปอร์เซ็นต์ 10 เปอร์เซ็นต์ ไปตามลำดับ หรือถึงขั้น 100 เปอร์เซ็นต์สำหรับกลุ่มประเทศ “BRICS” ถ้าหากคิดหันไปใช้เงินตราสกุลอื่น ที่ไม่ใช่เงินสกุลดอลลาร์ของอเมริกา หรือออกไปทาง “ใครยอมข้าอยู่-ใครขวางข้าตาย” อะไรประมาณนั้น...
แต่ก็นั่นแหละ...สิ่งเหล่านี้จะเป็นไปได้-เป็นไปไม่ได้ มาก-น้อยขนาดไหน? ก็คงต้องขึ้นอยู่กับบรรดา “ผู้บริโภค” อันได้แก่บรรดาชาวอเมริกันชนทั้งหลาย ที่ยังจะต้องสั่งซื้อเหล็ก-น้ำมันดิบ-ซัลเฟต ฯลฯ จากบราซิลปีละ 38,000 ล้านดอลลาร์ ต้องซื้อแพลตตินัม-สารเคมีกัมมันตรังสี-ปุ๋ยไนเตรท โปแตช จากรัสเซียมูลค่าถึงปีละ 3,000 ล้านดอลลาร์ ต้องซื้อยา-น้ำมันกลั่นแล้ว-เพชร จากอินเดีย ฯลฯ ปีละ 80,000 ล้านดอลลาร์ ซื้อยา-ลิเธียม-แบตเตอรี่คอมพิวเตอร์-แผงวงจร ฯลฯ จากจีน ปีละ 401,000 ล้านดอลลาร์ ซื้อแพลตตินัม-เพชร-ไททาเนียม ฯลฯ จากแอฟริกาใต้ปีละ 13,000 ล้านดอลลาร์ ด้วยราคาที่มีแต่จะแพงขึ้นๆอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ จนอาจส่งผลให้สินค้าต่างๆภายในประเทศพุ่งทะลุเพดาน ทะลุหลังคา หรือทำให้ภาวะ “เงินเฟ้อ” หวนกลับมาใหม่ในแบบกดยังไง-ก็กดไม่อยู่ และทำให้ปริมาณหนี้สินประเทศที่สะสมเอาไว้ถึง 36 ล้านล้านดอลลาร์ ต้องตกอยู่ในสภาพ “กู้หนี้เพื่อเอามาใช้หนี้” ไม่ต่างอะไรไปจาก “วงจรแชร์ลูกโซ่” ทั้งหลาย อันนี้นี่เอง...ที่อาจนำไปสู่ “ความล้มละลาย” ของอเมริกาทั้งประเทศ เมื่อไหร่? ตอนไหน? หรือจะในอีก 4 ปีข้างหน้า??? ก็ยังมิอาจ “ฟันธง” ลงไปได้ชัดเจน???...