เรียกว่า...เล่นเอา “ขนลุกเกรียว” หวิดๆ จะ “น้ำตาซึม” เอาเลยถึงขั้นนั้น!!! เมื่อได้เห็นภาพข่าว-วิดีโอว่าด้วยบรรดาชาวปาเลสไตน์นับหมื่น-นับแสนหอบลูกจูงหลาน ขนข้าวของสัมภาระ เดินทาง-เดินเท้าไม่ก็อาศัยยวดยานพาหนะจากพื้นที่ด้านใต้ของฉนวนกาซา กลับไปยังถิ่นที่อยู่อาศัยด้านเหนือ หรือที่เมือง “กาซาซิตี” ด้วยสีหน้า แววตา ที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ร่าเริง ยินดี แม่กระเตงลูกชาย พ่อให้ลูกสาวขี่คอ เด็กบางรายถึงกับหอบถังแก๊สติดตัวไปด้วย ฯลฯ จนกลายเป็นขบวนยาวเหยียดนับเป็นกิโลๆ บนถนนสาย “Netzarim” เพราะต่างหวังจะได้ “กลับบ้าน” กลับไปยังถิ่นที่อยู่เดิม แม้จะไม่เหลือบ้าน เหลือพ่อ เหลือแม่ เหลือญาติโกโหติกาใดๆ รออยู่ก็ตาม แต่คล้ายๆ อาจยังพอมีโอกาสได้เจอะเจอ “วิญญาณ” บางสิ่งบางอย่าง ที่ยังคงสิงสถิตอยู่ใน “มาตุภูมิ” หรือในแผ่นดินเกิด ที่กวักมือเรียกร้องให้บรรดาชาวปาเลสไตน์ทั้งหลายกลับไป “ซบหน้ากับอกแม่เอย” อะไรประมาณนั้น!!!
ไม่ได้มีใครที่อยากจะหลบลี้หนีหน้าไปอยู่อาศัยในดินแดนผู้อื่น ไม่ว่าไปเป็นผู้อพยพลี้ภัยในอียิปต์ จอร์แดน ในบรรดาชาติอาหรับ หรืออาจถูกขนไปไกลถึงอินโดนีเซีย ดังที่ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” พยายามยัดเยียดและเสือกไสไล่ส่งให้เป็นไปในแนวนี้ ด้วย “ข้ออ้าง” ว่าเพื่อที่จะหาทางฟื้นฟูดินแดนกาซาให้กลับสู่ความสงบร่มเย็นเหมือนอย่างเคย อันเป็นข้ออ้างที่บรรดาผู้นำชาติอาหรับ หรือชาติใดๆ ก็ตามที่ยังคงให้ความสำคัญกับ “อธิปไตย” ของแต่ละประเทศ ต่าง “รับไม่ได้!!!” ไปด้วยกันทั้งสิ้น เพราะเป็นข้ออ้าง ข้อเสนอ ที่สะท้อนให้เห็นถึง “ความหยาบ” ของผู้นำอเมริกาอย่างเห็นได้โดยชัดเจน คือไม่ได้มองอะไรมากไปกว่าเรื่อง “ผลประโยชน์” ที่จับต้องได้ สัมผัสได้ ไม่ได้มองลึกเข้าไปถึง “หัวจิต-หัวใจ” แห่ง “ความเป็นมนุษย์” เอาเลยแม้แต่น้อย...
ไม่ต่างอะไรไปจากการไล่จับผู้อพยพหลบหนีเข้าเมืองในอเมริกาใส่ “กุญแจมือ” แล้วบรรทุกใส่เครื่องบิน “C-17” ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ กลับไปยังประเทศดั้งเดิมของตัวเอง แบบขนหมา ขนแมว จนทำให้ผู้นำบราซิล เม็กซิโก ฯลฯ อดไม่ได้ต้องออกมาด่า ออกมาประณาม ว่าถือเป็นการ “Degrading treatment” หรือการลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ อะไรทำนองนั้น แล้วใครที่คิดหือ คิดไม่ยอม ต่อกระทำการเช่นนั้น ก็อาจต้องเจอกับการขึ้นภาษีสินค้าขาเข้าไปยังอเมริกา ชนิดที่ทำให้ผู้นำโคลอมเบีย อย่างประธานาธิบดี “Gustavo Petro” ต้องหันไป “อมสากกะเบือ” ยอมศิโรราบให้กับ “ทรัมป์บ้า” เอาดื้อๆ...
แต่สำหรับบรรดาชาวปาเลสไตน์ทั้งหลาย แม้ว่าตลอด 15 เดือนที่ผ่านมา ต่างมีสภาพแทบไม่ต่างไปจาก “ตกนรก” อันเนื่องมาจาก “สงครามอิสราเอล-ฮามาส” ที่ทำให้รถถังและเครื่องบินทิ้งระเบิดอิสราเอล กระหน่ำทำลายอาคารบ้านเรือนแทบทุกหลัง ชนิดไม่เหลือเศษซากอาคารใดๆ ที่สมประกอบอยู่เลยแม้แต่เพียงหลังเดียว ไม่ว่าบ้านเรือน วัด-วา-อาราม โรงเรียน โรงพยาบาล ต่างถูกบดขยี้เสียจนราพณาสูรไปทั่วทั้งแผ่นดินเอาเลยก็ว่าได้ ส่วนชาวปาเลสไตน์ที่ไม่รู้อีโหน่-อีเหน่ โดยเฉพาะเด็กและผู้หญิง ต่างล้มหายตายจากเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า 47,306 รายเป็นอย่างน้อย นั่นยังไม่รวมถึงบรรดาผู้สูญหายที่อาจถูกฝังอยู่ในซากปรักหักพังแต่ละแห่ง แต่ละที่ และบรรดาผู้บาดเจ็บไม่ว่ามากหรือน้อยอีกไม่รู้กี่แสนต่อกี่แสน ผู้ที่อดน้ำ อดอาหาร ไม่มียารักษาโรคอีกนับล้านๆ แต่บรรดา “ชะตากรรม” เหล่านี้ กลับไม่อาจบั่นทอนทำลาย ความมุ่งมาดปรารถนาที่จะกลับไปสู่บ้านเกิดเมืองนอน ของชาวปาเลสไตน์ในแต่ละรายได้เลยแม้แต่น้อย หรืออย่างที่คุณแม่ชาวปาเลสไตน์รายหนึ่ง ชื่อว่า “อุมม์ โมฮัมหมัด อาลี” เธอได้หลั่งระบายความรู้สึกออกมานั่นแหละว่า... “มันเหมือนได้เกิดใหม่ และเหมือนกับเราได้รับชัยชนะอีกครั้ง!!!”
เช่นเดียวกับพวก “ฮามาส” ที่ไม่ได้ตายโหง-ตายห่าไปจนหมดเสี้ยน-หมดหนาม หมดผู้ที่คิดสู้รบปรบมือกับกองทัพอิสราเอลต่อไปอีกเลย ที่ออกมาป่าวประกาศผ่านสำนักข่าว “Press TV” ของอิหร่านว่า... “นี่คือชัยชนะของชาวปาเลสไตน์และคือสัญญาณแห่งความล้มเหลวของผู้ที่หวังจะยึดครองดินแดนและบีบบังคับให้ผู้คนต้องโยกย้ายจากถิ่นฐานบ้านเกิด” ชนิดสำนักข่าวอิหร่านเขาถึงกับต้องเรียกว่า “การกลับบ้านครั้งประวัติศาสตร์ของชาวปาเลสไตน์” เอาเลยถึงขั้นนั้นและอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้บรรดาพวก “สุดโต่ง” ในอิสราเอล หรือพวกที่กระเหี้ยนกระหือรืออยากจะเข่นฆ่า ล้างผลาญ ล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์เพื่อเอาดินแดนกาซามาใช้รองรับแผนการอันสุดแสนทะเยอทะยานที่รู้จักในนาม “The Greater Israel” อย่างอดีตรัฐมนตรีความมั่นคง “นายItamar Ben-Gvir” ที่ตัดสินใจ “ลาออก” หลังจากข้อตกลง “หยุดยิง” ระหว่างอิสราเอล-ฮามาสใกล้จะบรรลุผล เลยต้องออกอาการตัวสั่นเร่าๆ...
หรือต้องออกมาทวีตในเว็บไซต์ “X” เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา (27 ม.ค.) ด้วยข้อความที่ว่า... “การเปิดถนน Netzarim ตอนเช้าที่ผ่านมาและทำให้ชาวกาซานับหมื่นนับแสนเดินทางขึ้นไปยังพื้นที่ด้านเหนือของฉนวนกาซา คือการสร้างภาพจินตนาการถึงชัยชนะของพวกฮามาสและสร้างความอับอายให้กับข้อตกลงที่เต็มไปด้วยความสะเพร่าและบุ่มบ่าม นี่...ไม่ใช่ชัยชนะที่เบ็ดเสร็จสมบูรณ์ของอิสราเอล แต่นี่มันคือการยอมจำนนซะมากกว่า!!!” พร้อมกันนั้นยังเรียกร้องบรรดาชาวอิสราเอลถึงขั้นว่า... “เราคงต้องกลับไปสู่สงคราม...กลับไปสู่การทำลายล้าง” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
แต่ไม่ว่าบรรดาชาวอิสราเอลจะยังบ้าสงคราม กระหายสงคราม หรือยังคงทะเยอทะยานที่อยากจะขยายดินแดน ผนวกดินแดนต่างๆ มาเป็นประเทศของตัว ตามแนวคิดที่เรียกว่า “The Greater Israel” หรือไม่? เพียงใด? ก็ตามที แต่โอกาสที่จะบั่นทอนทำลาย “จิตวิญญาณ” ของบรรดาชาวปาเลสไตน์ ที่พากันแห่ “กลับบ้านครั้งประวัติศาสตร์” แม้ว่าจะไม่เหลือบ้าน เหลือช่อง เหลือที่ซุกหัวนอนเอาเลยด้วยซ้ำ มันคงไม่ง่าย หรือแทบเป็นไปได้เอาเลยก็ว่าได้ เพราะด้วยหัวจิต หัวใจ ด้วยความรู้สึกผูกพันกับบ้านเกิด-เมืองนอน ที่เหนือไปกว่า “ผลประโยชน์” ใดๆ ก็ตาม เลยทำให้อดไม่ได้ที่จะหวนไปนึกถึงคำพูด ข้อสรุป ของอภิมหานักทำสงคราม จอมจักรพรรดิชาวฝรั่งเศสผู้มีนามกรว่า “Napoleon Bonaparte” ซึ่งได้กล่าวไว้นานแล้วนั่นแหละว่า... “There are but two powers in the world, the sword and the mind. In the long run, the sword is always beaten by the mind.” หรือในโลกใบนี้มันมีสิ่งที่ถือเป็น “พลังอำนาจ” อยู่เพียง 2 ประการด้วยกัน นั่นคือ “อำนาจแห่งดาบ” กับ “อำนาจแห่งใจ” แต่ในระยะยาวหรือในท้ายที่สุดแล้ว...ใจก็สามารถสยบดาบลงไปได้เสมอๆ!!!
นี่...จริง-ไม่จริง ก็ลองไปคิดๆ เอาเองก็แล้วกัน แต่สำหรับผู้ที่แสนหยาบ แสนกร้าน หรือผู้ที่มองแต่ “ผลประโยชน์” ไม่ได้คิดจะมองลึกเข้าไปในหัวจิต หัวใจ ของมนุษย์มนา คิดจะขยายดินแดน ผนวกดินแดนของผู้อื่นมาเป็นของตัวไม่ว่าจะเป็นชาวอิสราเอล หรือชาวอเมริกัน ดังเช่นประธานาธิบดีอเมริกันรายใหม่อย่าง “ทรัมป์บ้า” เป็นต้น ที่คิดจะงาบคลองปานามา ยึดเกาะกรีนแลนด์ ผนวกประเทศแคนาดามาเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกาให้จงได้!!! ถึงขั้นไปตะโกนโหวกเหวกต่อบรรดาผู้สนับสนุนที่ลาสเวกัส เมื่อช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา (25 ม.ค.) ว่าอีกไม่นาน-ไม่ช้าประเทศอเมริกาจะต้องมีขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น หรือ “นับเป็นปีๆ เป็นทศวรรษๆ มาแล้ว ที่ประเทศเรามีขนาดเท่าเดิม แต่บางทีมันอาจจะเล็กเกินไป จนเราอาจต้องขยายประเทศให้ใหญ่เพิ่มขึ้นในอีกไม่นาน-ไม่ช้า”...
ด้วยเหตุนี้...จึงไม่น่าแปลกใจอะไรมากมาย ที่ผู้นำโลกและผู้นำอเมริการายนี้ จะมองบรรดาผู้หลบหนีเข้าอเมริกาโดยผิดกฎหมายไม่ต่างอะไรจากหมูๆ-หมาๆ จับได้เมื่อไหร่ก็ใส่กุญแจมือขนขึ้นเครื่องบินส่งกลับไปยังประเทศนั้นๆ หรือมองบรรดาชาวปาเลสไตน์ที่ถูกกระทำย่ำยีมานานนับ 15 เดือน ไม่ต่างอะไรไปจาก “ขยะ” ที่สามารถกวาดไปซุกไว้ในประเทศอียิปต์ จอร์แดน หรือกระทั่งอินโดนีเซียโน่นเลย แถมเวลาคิดจะ “เอาตัวรอด” ด้วยการให้รัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ “นายMarco Rubio” ออกมาป่าวประกาศว่าจะระงับเงินบริจาคช่วยเหลือชาติต่างๆ ทั่วโลก ก็ยังคงมิวายต้องยกเว้นให้กับ “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” หรือประเทศที่มีทัศนคติไม่ต่างอะไรไปจากตัวเอง นั่นคือยังคงต้องส่งงบช่วยเหลือทางทหารไปให้กับอิสราเอลปีละไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์เป็นอย่างน้อย...
อันเนื่องมาจากความเชื่อมั่นใน “อำนาจแห่งดาบ” หรือความเชื่อว่าอเมริกาคือจ้าวโลก ประมุขโลก เช่นเดียวกับพันธมิตรในตะวันออกกลางอย่างอิสราเอล ที่อาศัยกองทัพซึ่งได้รับการอุดหนุนจากอเมริกาอย่างต่อเนื่องยาวนานมาโดยตลอด จนเกิดความอหังการ มมังการ ชนิดไม่คิดจะ “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” กับประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียงมุ่งที่จะอาศัยอำนาจชนิดนี้ เอาชนะใครต่อใครโดยไม่ต้องคำนึงถึง “ความเป็นมนุษย์” เอาเลยแม้แต่น้อย แต่สุดท้ายหรือในระยะยาว...ย่อมหนีไม่พ้นที่ต้องเจอกับ “อำนาจแห่งใจ” โดยที่ใครจะอยู่-ใครจะไป อันนี้...คงต้องรออีกจั๊กกู้หรือพักชมโฆษณากันไปพลางๆ!!!