xs
xsm
sm
md
lg

“โกงพ่อมึงสิ”อหังการ์ของทักษิณ ที่กำลังท้าทายต่อทุกสถาบัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ

 ตอนนี้ยิ่งชัดเจนแล้วว่า ทักษิณ ณ เวลานี้กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของแผ่นดินที่ประกาศท้าทายต่อทุกองค์กร ไม่ต่างๆ กับเด็กช่างกลที่ชอบพ่นตามกำแพงว่า “เป็นพ่อทุกสถาบัน” แม้ว่าจะมีฐานะเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของนายกรัฐมนตรี แต่กับทำตัวเหมือนมีอำนาจเหนือนายกรัฐมนตรี และเป็นผู้กุมกลไกการบริหารแผ่นดินตัวจริง เพราะประกาศว่าจะทำนโยบายโน่นนี่นั่น และตัวลูกสาวและรัฐมนตรีในรัฐบาลของลูกสาวก็ประกาศเดินหน้านโยบายนั้นทันที

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า กกต.มีความเห็นว่า พฤติกรรมของทักษิณในเวลานี้ เข้าข่ายตาม มาตรา 28 กำหนดไว้ว่า ห้ามพรรคการเมือง “ยินยอม” ให้บุคคลที่ไม่เป็นสมาชิกพรรคเข้ามาควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ พรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้พรรค หรือสมาชิกของพรรคไม่เป็นอิสระ ทั้งทางตรง และทางอ้อม แม้ว่าจะมีผู้ร้องหรือไม่ก็ตาม

 ทักษิณเพิ่งจะประกาศเร็วๆ นี้ว่า “มีคนบอกว่าผมโกง โกงพ่อมึงสิ ผมเข้าการเมืองมาเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ตอนนั้นประกาศทรัพย์สินทั้งที่ ป.ป.ช. ไม่บังคับ ผมประกาศมีทรัพย์สินกว่า 6 หมื่นล้านบาท เพราะทำธุรกิจมา สร้างเนื้อสร้างตัวมา วันนี้โดนยึดไป 46,000 ล้านบาท ยังไม่ร้องสักคำเลย คำก็โกง สองคำก็โกง ก็มึงตั้งคณะกรรมการเฮงซวยมาสอบกู ตอนที่กูรวย มึงยังเพิ่งขอตังค์พ่อใช้อยู่เลย”

เสมือนว่าการที่เราเห็นเขาประกาศสำนึกผิดตามราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชหัตถเลขาพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษ  “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี จาก 8 ปีเหลือโทษจำคุก 1 ปี เหตุทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติ ที่ปรากฏความว่า  “เมื่อถูกดำเนินคดีและศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกดังกล่าวด้วยความเคารพในกระบวนการยุติธรรม ยอมรับผิดในการกระทำ มีความสำนึกในความผิด จึงขอรับโทษตามคำพิพากษา” ก่อนได้รับการพระราชทานอภัยลดโทษนั้นกลายเป็นเรื่องที่ไม่เป็นความจริง เพราะถึงเวลานี้เขาไม่ได้สำนึกในความผิดจริงๆ เลย

ทั้งที่ในความผิดที่ถูกยึดทรัพย์นั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้จำแนกไว้อย่างละเอียดถึงการใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลคดโกง จากคำพิพากษาตามที่องค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คน มีมติเสียงข้างมากให้ยึดทรัพย์ของเขาและครอบครัว ที่ได้จากการขายหุ้นและเงินปันผล รวมทั้งสิ้น 46,373 ล้านบาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน โดยระบุเหตุผล เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สมควร สืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นการร่ำรวยผิดปกติ และเป็นการกระทำที่ขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม

ศาลมีมติว่า ในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทักษิณได้ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ รวมทั้งสิ้น 5 กรณี ทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ เช่น กรณีแปลงค่าสัมปทานเป็นค่าภาษีสรรพสามิต และการปรับลดส่วนแบ่งค่าสัมปทานโทรศัพท์ระบบเติมเงิน

คำพิพากษาของศาลมีขึ้นหลังอัยการสูงสุดได้ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์ของทักษิณและครอบครัว จำนวน 76,261.6 ล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดิน โดยศาลให้ยึดเฉพาะเงินค่าขายหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ส่วนที่เพิ่มขึ้นหลังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเงินปันผล และคืนส่วนที่เหลือ 30,247 ล้านบาท เพราะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เงินที่มีอยู่แต่เดิม

จะเห็นได้ว่าเงินที่ทักษิณได้มาก่อนจะหาประโยชน์จากนโยบายรัฐนั้นศาลไม่ได้ยึด เพราะเห็นว่า เป็นเงินที่หามาได้ก่อนจะเป็นนายกรัฐมนตรี

ศาลชี้ว่า นโยบายที่ทักษิณสร้างขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์และมีทรัพย์งอกเงยขึ้นมาคือ กรณีแปลงค่าสัมปทานเป็นค่าภาษีสรรพสามิต โดยมีการตราพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 พ.ศ.2546 ซึ่งกรณีดังกล่าวทำให้มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากกิจการโทรคมนาคม โดยรายเก่าให้นำค่าสัมปทานมาหักกับภาษีสรรพสามิต เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกิจการของตัวเอง กีดกันผู้ประกอบการรายใหม่

กรณีการแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการมือถือแบบพรีเพดให้กับเอไอเอส ส่งผลให้ต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้ ทศท ฯ ในอัตรา 20% คงที่ตลอดอายุสัญญาสัมปทาน จากเดิมที่ต้องจ่ายแบบก้าวหน้า 25% - 30% เอื้อประโยชน์ต่อชินคอร์ปและเอไอเอส

กรณีละเว้น อนุมัติ ส่งเสริม สนับสนุนธุรกิจดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศโดยมิชอบหลายกรณี ได้แก่ การอนุมัติโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์, การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปฯ ในบริษัท ชินแซทเทิลไลท์ ที่เป็นผู้ขออนุมัติสร้างและส่งดาวเทียมไทยคม และการอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทนของดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ เป็นการเอื้อประโยชน์กับบริษัท ชินคอร์ปฯ และบริษัท ชินแซทฯ

 นี่เป็นที่มาที่เรียกกันว่า “การทุจริตเชิงนโยบาย” ต่างกับนักการเมืองยุคก่อนที่กินอิฐหินดินทรายหาเศษเลยจากงบประมาณ

แล้วรู้ไหมว่า ศาลตัดสินทักษิณจากคดีต่างๆ รวมกันถึง 12 ปี คดีแรกที่หนีจนหมดอายุความไปก่อนคือ คดีที่ดินรัชดาที่เซ็นชื่อให้พจมาน ภรรยาของตัวเองประมูลที่ดินของรัฐทั้งที่ตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี ศาลตัดสินจำคุก 2 ปี

ส่วนอีก 3 คดีที่ศาลสั่งลงโทษทักษิณนั้น คดีที่ 1 คือ คดีสั่งการให้ Exim Bank อนุมัติเงินกู้สินเชื่อ 4,000 ล้านบาท แก่รัฐบาลเมียนมา โทษจำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา คดีที่ 2 คือ คดีหวยบนดิน โทษจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา รวมสองคดีจำคุก 5 ปี แต่ศาลให้นับโทษต่อกันเหลือการจำคุก ในคดีที่ 1 และคดีที่ 2 เพียง 3 ปี และคดีที่ 3 คดีให้นอมินีถือหุ้นในบมจ.ชินคอร์ป โทษจำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญา ให้นับต่อจาก 3 ปีใน 2 คดีแรก โดยทักษิณ ต้องโทษจำคุกจริง 8 ปี

 จะเห็นได้ว่า ทักษิณทำผิดคดโกงแผ่นดินที่ศาลตัดสินลงโทษจำคุกทั้งหมด 12 ปี ที่ทักษิณบอกว่า “มีคนบอกว่าผมโกง โกงพ่อมึงสิ” ซึ่งสะท้อนว่า ทักษิณยังไม่ได้สำนึกต่อความผิดตามที่ได้อ้างไว้ในการขอพระราชทานอภัยโทษเลย

แถม 3 คดีที่ศาลลง 10 ปีและให้นับโทษต่อกันเหลือ 8 ปีซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเหลือเพียง 1 ปีนั้น ทักษิณไม่ได้ติดคุกจริงๆ แม้แต่วันเดียวเลย แต่ติดคุกโดยนอนอยู่ในห้องผู้ป่วยวีไอพีของชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยอ้างว่า มีอาการป่วยที่อาจจะเป็นอันตรายต่อชีวิต แต่ถึงวันนี้ใครที่เห็นอาการของทักษิณเดินสายห้าวเป้งท้าทายต่อทุกองค์กรจะมีใครเชื่อบ้างว่าที่อ้างว่าป่วยนั้นเป็นความจริง

ซึ่งถึงตอนนี้ก็ต้องรอดูว่า ป.ป.ช.จะเอาผิดกับเจ้าหน้าที่รัฐทั้งราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจที่มีส่วนเอื้อประโยชน์ให้ทักษิณไม่ต้องคิดคุกในเรือนจำจริงๆแม้แต่วันเดียวไหม

รวมถึงทักษิณจะต้องกลับไปติดคุกจริงๆ ไหม เพราะขณะนี้นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ได้ไปร้องต่อศาลว่า ขอให้ศาลไต่สวน และออกหมายจับ นำทักษิณกลับไปขังคุก โดยยื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขอให้ทำการไต่สวน กรณีกรมราชทัณฑ์ นำนักโทษออกจากเรือนจำ โดยขัดหมายศาล และฝ่าฝืนคำพิพากษาของศาล โดยไม่เข้ากรณีที่จะนำนักโทษออกไปนอกเรือนจำได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 246 ขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทำการไต่สวนและออกหมายจับจำเลยมาขังไว้ตามคำพิพากษาต่อไป

และยื่นคำร้องต่อประธานศาลฎีกา ขอให้มีคำสั่ง ให้นำ คำร้องขอไต่สวนดังกล่าว เข้าพิจารณาในที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เพราะเป็นเรื่อง สำคัญ กระทบต่อระบอบการปกครอง กระทบต่อพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์ และความศักดิ์สิทธิ์ของศาล และเป็นการถ่วงดุลการก้าวล่วง ทำลายล้างอำนาจตุลาการของฝ่ายบริหาร

ก็ต้องรอดูว่าคำร้องของนายชาญชัยจะสามารถเอาตัวทักษิณมาเข้าคุกจริงหรือไม่ เพราะกรมราชทัณฑ์ก็อ้างว่า การควบคุมตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ 180 วันก็นับเป็นการคุมขังอยู่ตลอดเวลา เพราะส่งตัวทักษิณตามมาตรา 55 ของพระราชบัญญัติราชทัณฑ์พ.ศ.2560

แต่ถ้าเราไปดูเนื้อหาของมาตรา 55 นั้นเขาใช้กับผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพจิตหรือเป็นโรคติดต่อไม่สามารถนำมาใช้กับทักษิณได้

 อย่างไรก็ตามการที่ทักษิณประกาศเหมือนท้าทายต่อทุกสถาบันว่า “โกงพ่อมึงสิ” นั้น ก็ต้องตั้งคำถามว่าสังคมจะเชื่อใครระหว่างทักษิณกับกระบวนการยุติธรรมที่สั่งลงโทษทักษิณและถูกทักษิณกล่าวหาว่า “มึงตั้งคณะกรรมการเฮงซวยมาสอบกู”

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น