ปิดท้ายสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นต้องแวะไปแถวๆ อเมริกา ไปดูประมุขโลก ผู้นำโลกรายใหม่อย่าง “ทรัมป์บ้า” กันหน่อยแล้วล่ะทั่น!!! เพราะเมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา (20 ม.ค.) ก็ได้ฤกษ์ ได้เวลา ทำพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกาไปเป็นที่เรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว ส่วนจะส่งผลให้อเมริกากลับมา “Great again” หรือจะ “Dead again” ต้องตายโหง-ตายห่า แทนที่จะมีโอกาสได้ไปเยือนดาวอังคาร อย่างที่ผู้นำรายนี้ได้ “สมรักษ์ คำสิงห์” เอาไว้ก่อนล่วงหน้า อันนี้นี่แหละ...ที่คงต้องลองมาใคร่ครวญ หวนคิด ไว้สักนิดๆ ก็ยังดี...
คือไม่ว่าประเทศมหาอำนาจสูงสุดแห่งโลกอย่างคุณพ่ออเมริกาจะดีหรือร้าย อันเนื่องมาจากการหวนกลับมาเป็นประธานาธิบดีรอบใหม่ของ “ทรัมป์บ้า” แต่ที่แน่ๆ...เห็นว่ายังไม่ทันได้เข้าพิธีสาบานตัว ผู้นำรายนี้ก็ “รวย” เพิ่มขึ้นไปถึงประมาณ 4 เท่า 5 เท่าไปแล้วถึงขั้นนั้นนี่ถ้าว่ากันตามข้อมูล การประเมิน ของเว็บไซต์ “CionMarketCap” ที่ได้พูดถึงมูลค่า ราคาของ “เหรียญคริปโต” หรือสกุลเงินเข้ารหัส (Cryptocurrency) อันถือเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ ที่จะขึ้นๆ-ลงๆ ไปตามความพึงพอใจของผู้ใช้ ที่รู้จักกันในนาม “TRUMP ดอลลาร์” หรือ “Fight-Fight-Fight” อะไรประมาณนั้น โดยมีสัญลักษณ์รูป “ทรัมป์บ้า” ยืนชูกำปั้นเป็นเทรดมาร์ค เป็นตัวสร้างราคา จนทำให้ “มูลค่าการตลาด” เพิ่มขึ้นไปถึง 9,200 ล้านดอลลาร์ หรือทำให้ปริมาณซื้อ-ขายในรอบ 24 ชั่วโมง ก่อนที่ “ทรัมป์บ้า” จะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ พุ่งจู๊ดไปถึงดาวอังคารหรือเกิดการซื้อๆ-ขายๆ ราวๆ 42,000 ล้านดอลลาร์ อันทำให้ถ้าหาก “ทรัมป์บ้า”เป็นผู้ที่ถือครองสินทรัพย์เหล่านี้อยู่ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องรวยเละ รวยอุจจาระแตก อุจจาระแตน เพิ่มขึ้นไม่น้อยไปกว่า 4-5 เท่า หรือตกราวๆ 5,600 ล้านดอลลาร์เป็นอย่างน้อย...
นี่...เรียกว่าแทบไม่ต้องเสียเวลาผ่านกฎหมายสถานกาสิโน ไม่ต้องเตรียมยกระดับการพนันออนไลน์จากใต้ดินมาอยู่บนดิน ไม่ต้องขุดน้ำมันแถวๆ เกาะกูดมาแบ่งกับกัมพูชา ฯลฯ แบบพวก “เทวดาชั้น 14” ของบ้านเราเอาเลยแม้แต่น้อยจริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ คงต้องไปสอบถามรายละเอียดจากผู้ที่ออกมาประเมินความรวยลักษณะที่ว่านี้ หรือจากผู้ที่อยู่ในแวดวง “cryptocurrency exchange” อย่าง “Arkham Intelligence” เอาเองก็แล้วกัน แต่ก็นั่นแหละ...แม้ว่า ” “ทรัมป์บ้า” จะรวย-ไม่รวย ไปถึงขั้นไหนก็แล้วแต่ แต่บรรดาชาวอเมริกันชนทั้งหลายนี่สิ!!! โดยเฉพาะบรรดาพวก “ชนชั้นกลาง” ในแต่ละราย ถ้าว่ากันตามความคิด ความเห็นของผู้ที่กำลังผงาดขึ้นเป็น “รัฐมนตรีคลัง” ของรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” ในอีกไม่กี่อึดใจ นั่นคือ “นายScott Bessent” อดีตผู้บริหารเฮดจ์ ฟันด์ ที่ออกมาพูดจาปราศรัยกับสภาสูงสหรัฐฯ เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมานี่เอง (16 ม.ค.) โอกาสที่พวกชนชั้นกลางในอเมริกา อาจต้องกลายเป็นพวก “รวย...แต่มะเขือ” หรือต้องเหลือแต่สิ่งที่พ่อ-แม่ให้มา ติดตัวไว้เพียงแค่ดุ้นๆ-ด้ามๆ นอกนั้นไม่เหลืออะไรเลย!!! น่าจะเป็นไปได้สูงเอามากๆ...
โดยเฉพาะถ้าหากกฎหมายเพื่อปรับลดภาษีบุคคลและบริษัท ที่เคยออกมาช่วยเยียวยาใครต่อใครในยุค “ทรัมป์บ้า” เป็นประธานาธิบดีครั้งแรก หรือช่วงที่เกิดการระบาดของโรค “Covid-19” ที่เรียกย่อๆ ว่ากฎหมาย “TCJA” (The Tax Cuts and Jobs Act) ซึ่งจะหมดอายุหรือต้องเลิกบังคับใช้ภายในช่วงสิ้นปีนี้ ปี ค.ศ. 2025 ผลที่จะติดตามมาตามแนวคิดของว่าที่รัฐมนตรีคลังรายใหม่ผู้นี้ ก็คือจะเกิดอภิมหาวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ต่อระบบเศรษฐกิจของอเมริกา อันเนื่องมาจากบรรดาชนชั้นกลางทั้งหลายในอเมริกาจะต้องกลายเป็นผู้แบกรับภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ ต้องเจอกับภาษีชนิดหนักหนา-สาหัสที่สุดในประวัติศาสตร์ หรือระดับอภิมหึมา (Gigantic) จนมีแต่ต้องเหลือ “มะเขือ” ติดตัวไปเป็นดุ้นๆ ด้ามๆ นั่นเอง ดังนั้น...คงต้องหันมาขยายเวลาบังคับใช้กฎหมายชนิดนี้ออกไปอีกสักพักใหญ่ๆ หรือไม่งั้นก็ต้องหันมาปรับปรุง แก้ไข ให้สอดคล้องกับสภาวะความเป็นไปของเศรษฐกิจอเมริกา เพื่อไม่ให้ต้องเผชิญกับ “หายนะ” กันไปแบบทั่วทั้งระบบ...
แต่ก็อย่างว่า...โดยแนวคิดของว่ารัฐมนตรีคลังคนใหม่ อย่าง “นายScott Bessent” นั้น ออกจะเป็นคนละเรื่องเดียวกัน หรือคนละเรื่อง-คนละม้วน กับรัฐมนตรีคลังคนเก่า อย่าง “นางJanet Yellen” ที่แม้ว่าจะได้หมดสภาพลงไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็เมื่อช่วงวันพุธที่ผ่านมานี่เอง (15 ม.ค.) ขณะที่ไปพูดจาปราศรัย ณ เวที “The New York Association for Business Economics” เธอได้ย้ำนักย้ำหนา หรือได้ “ทิ้งทวน” เอาไว้ว่าการคิดที่จะยืดเวลา ขยายเวลาให้กับกฎหมาย “TCJA” ของ “ทรัมป์บ้า” นั้น จะนำมาซึ่งการขาดดุลงบประมาณของประเทศไม่น้อยกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี ค.ศ. 2034 เป็นต้นไป หรือเป็นความพยายาม “ชี้นำนโยบายในทางที่ผิด” อันจะส่งผลให้กลายเป็นตัวบ่อนทำลายความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของอเมริกา ในแง่ของความยืดหยุ่นหรือความสามารถในการฟื้นตัวเองให้คืนสู่สภาวะปกติของตลาดการเงินและมูลค่าของเงินดอลลาร์ อีกทั้งยังจะกลายเป็นตัวกระตุ้นให้เกิด “วิกฤตหนี้สิน” ภายในอนาคตเบื้องหน้า ชนิดอาจต้องกู้หนี้เอามาใช้หนี้ดอกเบี้ยเอาเลยก็ไม่แน่!!!
แล้วถ้าหากมันดันไปไกลถึงขั้นนั้น...โดยแนวโน้มก็อาจต้องเป็นไปอย่างที่นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก “ศาสตราจารย์Nouriel Roubini” ท่านเคยชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปของหนี้สินอเมริกา มาตั้งแต่หลายสิบปีที่แล้วนั่นแหละว่า... ” “เมื่อไหร่ก็ตาม ที่รัฐบาลสหรัฐฯ เดินไปถึงจุดที่จะต้องกู้ยืมเงินมาจ่ายดอกเบี้ยให้กับหนี้สินที่ตัวเองก่อขึ้นมา เมื่อนั้น...รัฐบาลอเมริกาไม่ว่าจะเป็นใคร? หรือพรรคใด? ก็ตาม ย่อมต้องถูกผลักดันให้ก้าวเข้าสู่วงจรแบบเดียวกับบรรดา...แชร์ลูกโซ่...ทั้งหลาย อันจะนำมาซึ่งความล้มละลายของประเทศทั้งประเทศ...”
นี่...ใครถูก-ใครผิด ใครน่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ ควรเชื่อ-ไม่ควรเชื่อ คงต้องลองเอาศีรษะมารดาเท้าตรองเอาเองก็แล้วกัน แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...เมื่อช่วงวันศุกร์ที่แล้ว (17 ม.ค.) หน่วยงานด้านงบประมาณของอเมริกันเอง คือ “CBO” หรือ “The Congressional Budget Office” เขาได้ออกมาเล่าแจ้งแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ ถึงสถานะความเป็นไปในเรื่องหนี้สินและงบประมาณของประเทศอเมริกา ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตเบื้องหน้า อย่างชนิดน่าหวาดเสียว น่าขนลุกขนพองเอามากๆ!!! คือได้แถลงเอาไว้ชัดเจนจากตัวเลขปัจจุบันและการประมาณการ ด้วยการสรุปว่าจากปี ค.ศ. 2025 หรือปีนี้ไปจนถึงปี ค.ศ. 2035 หรืออีก 10 ปีข้างหน้า ปริมาณหนี้สินของประเทศอเมริกาจะมีแต่เพิ่มกับเพิ่ม โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับอัตราผลผลิตมวลรวมของชาติ หรือ “GDP” จากที่เคยอยู่ที่ 100 เปอร์เซ็นต์ของ “GDP” ในปีนี้ จะเพิ่มขึ้นไปถึง 118 เปอร์เซ็นต์ภายในปี ค.ศ. 2035 อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงไปเป็นอื่น หรือจะสูงสุดแซงหน้าสถิติเมื่อปี ค.ศ. 1946 ที่เคยขึ้นไปถึง 106 เปอร์เซ็นต์ของ “GDP”...
ยิ่งไปกว่านั้น...การขาดดุลงบประมาณของประเทศที่คาดว่าคงต้องขาดดุลจำนวนถึง 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี ค.ศ. 2025 แต่ถ้าหากยังคงใช้แหลก กินแหลก หรือยังคิดส่งใครไปดาวอังคารหรือไม่? อย่างไร? ภายในอีก 10 ปีข้างหน้า หรือปี ค.ศ. 2035 โอกาสที่การขาดดุลงบประมาณของอเมริกา จะพุ่งขึ้นไปถึง 2.7 ล้านล้านดอลลาร์แบบชนิดมิต้องพึงสงสัยเอาเลยแม้แต่น้อย หรือตัวเลขการขาดดุลงบประมาณที่ยังคงอยู่ที่ประมาณ 3.8 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ หรือ “GDP” จะพุ่งขึ้นไปถึง 6.1 เปอร์เซ็นต์ของ “GDP” ในขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจของอเมริกาทุกวันนี้ หรือภายในอนาคตเบื้องหน้า ชักออกอาการ “เหี่ยวปลาย” ยิ่งเข้าไปทุกที คือจากที่โตได้ประมาณ 2.3 เปอร์เซ็นต์เมื่อช่วงปีที่แล้ว แต่ภายในปีนี้ (2025) คาดว่าจะโตเพียงแค่ 1.9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเองหรือไกลไปถึงปีโน้น ปี ค.ศ. 2026 ก็จะยิ่งต่ำเตี้ยเรี่ยดินลงมาเหลือแค่ 1.8 เปอร์เซ็นต์ ไม่เกินไปกว่านั้น...
ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ท่ามกลางการหวนกลับคืนมาเป็นประธานาธิบดีรอบใหม่ของ “ทรัมป์บ้า” มันเลยไม่ได้ช่วยให้เกิดหลักประกัน-การันตี ต่อการกลับมา “Great Again” มากมายสักเท่าไหร่ เพราะโอกาสที่จะหนักไปทาง “Dead Again” แบบตายแหน่-ตายแหน่ น่าจะมีสูงเอามากๆ ยิ่งถ้าหากอเมริกายังคิดว่าตัวเองเป็นคุณพ่อ เป็นจ้าวโลก ประมุขโลก อย่างไม่ยอมให้ใครมาเบียด มาแซง ได้โดยเด็ดขาด ยังพร้อมที่จะปฏิเสธ ไม่ยอมรับความจริง ข้อเท็จจริงที่ว่าโลกยุคนี้ สมัยนี้ มันได้เปลี่ยนแปลงไปเยอะแล้ว จากโลกที่มีอเมริกาเป็นมหาอำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว กลายเป็นโลกที่มีทั้งจีน อินเดีย รัสเซีย บราซิล ฯลฯ โผล่ขึ้นมาเสนอหน้า จน “GDP” ของประเทศซีกโลกใต้ หรือกลุ่มประเทศ “BRICS” มาแรงแซงโค้งเลยหน้าบรรดาประเทศซีกโลกเหนือ หรือประเทศ “คนเคยรวย” อย่างพวก “G7” ทั้งหลาย ชนิดแทบไม่เห็นฝุ่น เห็นหาง อันถือเป็นข้อพิสูจน์ เป็นประจักษ์พยาน ที่ยืนยันให้เห็นแล้วโดยชัดเจน ว่าโลกใบนี้ได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อันเป็นโลกที่ทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย จะต้องพยายามหาหนทางที่จะ “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” ระหว่างกันและกันให้จงได้!!! ไม่ว่าจะยังมีความผิดแผกแตกต่างกันในระบอบการเมือง-การปกครอง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ฯลฯ เพียงใดก็ตาม...