เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นต้องวนไป-วนมาอยู่แถวๆ ตะวันออกกลางกันอีกนั่นแหละทั่น!!! เพราะเมื่อช่วงวันศุกร์สัปดาห์ที่แล้ว พี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลางอย่างอิหร่านที่ออกอาการ “ก้นเตี้ย” อยู่มั่งเล็กๆ น้อยๆ หลังการล่มสลายของรัฐบาล “al-Assad” แห่งซีเรีย ผู้นำอย่างประธานาธิบดี “Masoud Pezeshkian” ท่านก็ได้บินไปยังกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย ไปลงนามในสนธิสัญญาหรือข้อตกลงความเป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” กับผู้นำหมีขาวอย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...
ถึงแม้ว่าสนธิสัญญาหรือข้อตกลงดังกล่าว...จะไม่ได้หมายถึงความร่วมมือในแบบ “แตะเธอเมื่อไหร่...โลกแตกแน่” หรือไม่ได้หมายถึงความเป็น “พันธมิตรทางทหาร” ในแบบใครถูกบุก ถูกโจมตี อีกประเทศต้องโดดเข้ามาช่วย แบบความเป็นพันธมิตรตาม “มาตรา 5” ขององค์กรพันธมิตรทางทหารอย่าง “NATO” อะไรทำนองนั้น เพียงแค่จะต้องไม่ร่วมสนับสนุนช่วยเหลือใดๆ ต่อผู้ที่บุกรุก โจมตี ประเทศทั้งสองแต่เพียงเท่านั้น แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยหัวจิต หัวใจของผู้ที่มี “หัวอกอันเดียวกัน” อันเนื่องมาจากการถูกรุมเหยียบ รุมกระทืบ ด้วยฝ่าตีนคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรตะวันตกไปด้วยกันทั้งคู่ การกระชับความสัมพันธ์ไม่ว่าในทางเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร วัฒนธรรม เทคโนโลยี ฯลฯ ระหว่างอิหร่านกับรัสเซียที่ถือเป็น “ข้อตกลงทางประวัติศาสตร์” คราวนี้ ย่อมทำให้อิหร่านไม่ได้ถึงกับต้องกลายเป็น “นกไร้ขน-คนไร้เพื่อน” โดยเฉพาะในช่วงที่อเมริกาและพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอลกำลังออกอาการ “กระเหี้ยนกระหือรือ” คิดจะบุกเล่นงานโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน ให้รู้แล้ว-รู้แรดกันไปซะที...
อีกทั้งก่อนหน้านั้นเมื่อสัก 3-4 ปีที่แล้ว...หรือช่วงปี ค.ศ. 2021 ข้อตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างจีนกับอิหร่าน ที่ร่วมลงนามเซ็นสัญญาระยะยาวไปถึง 25 ปี เปิดช่องทางให้มหาอำนาจคู่แข่งอีกรายของคุณพ่ออเมริกาอย่างคุณพี่จีน หอบเงินลงทุนเข้าไปถมไว้ในโครงการต่างๆ ในอิหร่านจำนวนไม่น้อยกว่า 400,000 ล้านดอลลาร์ ย่อมทำให้สถานะของอิหร่าน หัวขบวนของกลุ่ม “อักษะแห่งการต่อต้าน” (Axis of Resistance) ที่แม้ว่าจะต้องก้นเตี้ยอยู่บ้าง จาก “หมัดสวน” ของคุณปู่อิสราเอลที่ประสบชัยชนะทางทหารอย่างล้นหลาม ในช่วงปี ค.ศ. 2024 ที่ผ่านมา หรืออาจเพราะอายุ-อานามของผู้นำสูงสุดอย่างท่านอิหม่าม “Ayatollah Khamenei” ค่อนข้างจะ “หง่อม” เต็มที ปาเข้าไปถึง 86 ปีเข้าไปแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า...ความเพียรพยายามที่จะ “เปลี่ยนระบอบปกครองอิสลาม” ในอิหร่าน อันถือเป็น “เป้าหมายสูงสุด” ของทั้งอเมริกาและอิสราเอลจะสามารถเป็นไปได้แบบปอกกล้วยเข้าปาก เพราะโดยจุดยืนพื้นฐานของความเป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” ระหว่างอิหร่าน-จีน-และรัสเซีย ก็คือการปฏิเสธและคัดค้านต่อการ “ครอบงำโลก” ของพวก “โลกขั้วอำนาจเดียว” หรือการเห็นพ้องต้องกันที่จะเนรมิต สร้างสรรค์ “โลกหลายขั้วอำนาจ” ให้อุบัติขึ้นมาอย่างเป็นจริง-เป็นจังให้จงได้!!!
อีกทั้งแม้การ “ล่มสลาย” ของรัฐบาล “al-Assad” แห่งซีเรีย...จะกลายเป็นตัวเปิดช่อง เปิดทาง ให้กับการบุกโจมตีอิหร่านเป็นไปได้อย่างคล่องเนื้อ คล่องตัวมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อ “น่านฟ้าซีเรีย” ต่างตกอยู่ภายใต้แสนยานุภาพของกองทัพอากาศอิสราเอลไปเป็นที่เรียบร้อย แต่การคิดจะ “ขยายดินแดน” ของอิสราเอลเพื่อตอบสนองอุดมการณ์ อุดมคติ อันสุดแสนทะเยอทะยานตามแบบฉบับ “The Greater Israel” ไม่ว่าด้วยการยึดที่ราบสูงโกลันของซีเรียเอาไว้ในมือ โดยคิดจะขยายเข้าไปในจอร์แดน เลบานอน หรือไม่? อย่างไร? ก็ตามที แต่ด้วยเพราะความเคลื่อนไหวทำนองนี้ ที่ทำให้อิสราเอลกำลังต้องเจอคู่ต่อสู้รายใหม่ ที่มีลำหัก ลำโค่น ไม่น้อยไปกว่าศัตรูคู่กัด-คู่อาฆาตอย่างอิหร่าน นั่นก็คือ...คุณพี่ “ไก่งวงตุรกี-ตุรเคีย” รายนี้นี่เอง!!! ที่ถือเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ให้กับกองกำลัง “HTS” หรือ “Hayat Tahrir al-Sham” ผู้ที่โดดเข้ามาโค่นล้มรัฐบาล “al-Assad” ลงไปได้ภายในชั่วข้ามคืน...
หรืออย่างที่สื่ออิสราเอลอย่าง “Jerusalem Post” เขาถึงกับต้องตั้งข้อสังเกตไว้ถึงขั้นว่า “Erdogan’s policies in Syria bring Turkey and Israel closer to confrontation” หรือนโยบายผู้นำตุรเคียอย่าง “นายErdogan” ในซีเรียกำลังทำให้อิสราเอลใกล้จะต้องเผชิญหน้าทางทหารกับตุรเคียในอีกไม่ช้า-ไม่นานนับจากนี้ เพราะความพยายามเข้าไปมีบทบาทในซีเรียหรือใน “พื้นที่ทางยุทธศาสตร์” แห่งนี้ของทั้งสองฝ่าย ส่งผลให้ต่างฝ่ายอาจหนีไม่พ้นต้อง “ปะ-ฉะ-ดะ” กันจนได้ ไม่วันใด-วันหนึ่งก็ตามที เพราะเมื่อแค่ช่วงวันพุธที่เพิ่งผ่านมานี่เอง (15 ม.ค.) กำลังทหารอิสราเอลที่ฉวยโอกาสบุกยึดเขตปกครองตนเอง “Quneitra” และ “Daraa” ในดินแดนซีเรีย บีบบังคับผู้คนในหมู่บ้าน “al-Harra” ให้ออกไปจากพื้นที่ ได้เริ่มเปิดฉากการปะทะขัดแย้ง ด้วยการส่งเครื่องบินโดรนเข้าโจมตีขบวนรถบรรทุกทหารของกองทัพรัฐบาลซีเรียยุคใหม่ บริเวณด้านใต้ของ “Quneitra” เล่นเอาพวกนักรบ “HTS” เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปประมาณ 3 รายด้วยกัน...
ดังนั้น...ถ้าหากผู้นำตุรเคียคิดจะบุกกวาดล้างบรรดาเสี้ยนหนามของประเทศที่คิดแยกดินแดนไปก่อตั้งเป็นประเทศของชาวเคิร์ด หรือพวกกองกำลังชาวเคิร์ด (Kurdish-Syria Defense Force) ที่อยู่บริเวณด้านเหนือของซีเรียติดต่อกับพรมแดนตุรเคีย อันมีคุณพ่ออเมริกาให้การสนับสนุนและได้กลายเป็น “เครื่องมือ” ชิ้นสำคัญของอิสราเอลในการแผ่ขยายอำนาจเข้าไปในซีเรีย โอกาสที่จะต้องเจอกับความพยายามรื้อฟื้น “จักรวรรดิออตโตมาน” ขึ้นมาใหม่ของตุรเคีย ซึ่งได้ออกมาร้องกระต๊ากๆ เตือนทั้งอเมริกาและอิสราเอลเอาไว้ก่อนหน้านั้น ย่อมมีความเป็นได้สูงเอามากๆ อย่างที่ “ศาสตราจารย์Efrat Aviv” ผู้เชี่ยวชาญด้านตุรกีแห่งสถาบัน “Bar-Ilan” ของอิสราเอลได้ออกมาสรุปเอาไว้นั่นแหละว่า เป็นการเผชิญหน้าทางทหารอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ระหว่างอิสราเอลและตุรเคียที่ต่างเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและกระเหี้ยนกระหือรือไปด้วยกันทั้งคู่...
ความอ่อนเปลี้ยเพลียแรงของพี่เบิ้มในตะวันออกกลางอย่างอิหร่าน จึงไม่ได้ทำให้ “ชัยชนะทางทหาร” ของอิสราเอลในช่วงที่ผ่านมาเป็นชัยชนะที่ยืนยง มั่นคง ถาวร แต่อย่างใด ตรงกันข้าม...กลับทำให้ภูมิภาคตะวันออกกลางเต็มไปด้วยความตึงเครียด เคร่งเครียด เต็มไปด้วยความพยายามช่วงชิงความได้เปรียบ-เสียเปรียบทาง “ภูมิรัฐศาสตร์” อย่างชนิด “เผลอไม่ได้” ไปด้วยกันทุกฝ่าย ไม่ว่าคุณน้ารัสเซียที่ยังไม่ถึงกับ “รู้หมู่-รู้จ่า” อย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจน ว่ายังจะสามารถดำรง รักษา ฐานทัพเรือ-ทัพอากาศ เอาไว้ในประเทศซีเรียได้หรือไม่? อย่างไร? คุณพี่จีนที่ชักเริ่มสะดุ้งเมื่อบรรดาผู้ก่อการร้ายชาวอุยกูร์ที่คิดจะแยกดินแดนซินเจียงออกไปตั้งประเทศใหม่ ได้รับการโปรโมตให้มีบทบาทในกองทัพซีเรียยุคใหม่ คุณพ่ออเมริกาที่พยายามดำรงรักษาความเป็นจ้าวโลก ประมุขโลก ให้คงอยู่ต่อไปตามแบบฉบับ “American First” ด้วยการทวงศักดิ์ศรีในภูมิภาคตะวันออกกลางกลับคืนมา หลังจากที่ต้องยอมปล่อยให้จีนและรัสเซียเพิ่มบทบาทขึ้นไปก่อนหน้านั้น...ฯลฯ...
การบรรลุข้อตกลง “หยุดยิง” หรือ “พักรบ” ของอิสราเอลและพวกนักรบ “Hamas” ในเขตฉนวนกาซา หลังจากที่กองทัพอิสราเอลได้สังหารพร่าผลาญ ชาวปาเลสไตน์ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ไปแล้วถึง 40,000-50,000 ราย ในช่วงประมาณ 6 สัปดาห์นับจากนี้ โดยที่ต้องรอดูผลลัพธ์เฟส 1-เฟส 2- เฟส 3 ไปตามลำดับ จึงไม่ได้ส่งสัญญาณถึงความสงบเรียบร้อยหรือ “สันติภาพ” ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แต่ออกจะเป็นสันติภาพตามนิยาม ความหมาย ดังที่อภิมหาพระ “ท่านพุทธทาสภิกขุ” ของบ้านเรา ได้เคยให้คำจำกัดความเอาไว้นั่นแหละว่า หมายถึงการ “ยืดเวลาออกไปเพื่อตระเตรียมรับมือกับมหาสงครามครั้งใหญ่” อะไรทำนองนั้น...
ด้วยเหตุนี้...ฉากสถานการณ์ความเป็นไปของโลกภายในปี ค.ศ. 2025 มันจึงอาจเป็นไปอย่างที่ศาสตราจารย์ด้านการวิจัยแห่งสถาบัน “Higher School of Economic” และสมาชิกสภากิจการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของรัสเซีย อย่าง “นายDmitry Trenin” เขาได้ “ฟันธง” หรือทำนายทายทักไว้ในข้อเขียน บทความ ชิ้นล่าสุด เอาไว้ก่อนล่วงหน้านั่นแหละว่า “Why 2025 is going to be dangerous than you think” หรือทำไมปี ค.ศ. 2025 จึงเป็นอะไรที่ “อันตราย” ยิ่งกว่าที่ใครต่อใครเคยคิดๆ โดยไล่เรียงรายละเอียดฉากสถานการณ์ใน “แนวรบ” ต่างๆ ตั้งแต่ยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง ไปจนถึงทะเลจีนใต้โน่นเลย ส่วนจะจริง-ไม่จริง เชื่อได้-เชื่อไม่ได้ หรือไม่? อย่างไร? ใครที่สนใจคงต้องลองไปคลิกหาอ่านกันเอาเองก็แล้วกัน แต่คงต้องยอมรับว่าออกจะมี “น้ำหนัก” ที่น่าคิด น่าสะกิดใจ มิใช่น้อย...