หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
ถึงตอนนี้แน่นอนแล้วว่า นายกรัฐมนตรีตัวจริงของประเทศนี้ก็คือ ทักษิณ ที่หนีคดีคดโกงทุจริตชาติไป 17 ปี ก่อนกลับมาสารภาพผิดได้รับพระราชทานอภัยลดโทษหรือ 1 ปีจาก 8 ปี แต่อ้างว่ามีอาการใกล้ตายหากไม่อยู่ใกล้แพทย์จนสามารถนอนในโรงพยาบาลตำรวจได้นานถึง 180 วันจนได้รับการพักโทษและไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว
วันนี้ทักษิณกลับมีสุขภาพที่แข็งแรงมากอาการที่อ้างว่าอาจจะเสียชีวิตหายไปเป็นปลิดทิ้ง สามารถเดินสายหาเสียงให้พรรคเพื่อไทยไปทั่วประเทศ และเขาประกาศว่ารัฐบาลจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ราวกับเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง และทันทีที่เขาพูดออกมารัฐบาลก็จะประกาศขานรับและดำเนินนโยบายนั้นทันที คนเขาได้ยินกับทั่วประเทศก็มีแต่กกต.เท่านั้นที่อาจจะงุนงงอยู่ว่า ตอนนี้ทักษิณเป็นผู้มีอำนาจตัวจริงที่ครอบงำสั่งการพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลหรือไม่
คนที่เคยเกลียดและกลัวทักษิณส่วนหนึ่งทำใจยอมรับไปแล้ว เพราะกลัวพรรคสีส้มมากกว่าทักษิณ แถมบัดนี้แกนนำพรรคที่เคยออกมาไล่ยิ่งลักษณ์ทักษิณออกมาเป่านกหวีดก็เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลที่ทักษิณมีอำนาจอยู่เบื้องหลัง โดยมีลูกสาว อุ๊งอิ๊งค์ แทองธาร ชินวัตร แสดงบทบาทเป็นนายกรัฐมนตรีในทางนิตินัย
แน่นอนฝ่ายอนุรักษนิยมส่วนหนึ่งยอมรับดีลครั้งสำคัญนี้ เพราะเชื่อมั่นว่า การตัดสินใจของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่พอจะทำได้ ไม่เช่นนั้นหากพรรคสีส้มมีอำนาจแล้ว ประเทศอาจจะไม่เหมือนเดิมตามที่พวกเขาประกาศเอาไว้ พวกเขาจะรื้อโครงสร้างของประเทศ ท้าทายต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สนับสนุนการเคลื่อนไหวปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ และมุ่งเป้าที่จะลดทอนบทบาทและสถานะของพระมหากษัตริย์ลงมา
ทั้งๆ ที่ทุกวันนี้พระมหากษัตริย์ก็ทรงอยู่เหนือการเมืองไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยว และอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญมาแล้วตั้งแต่คณะรัฐประหาร 2475 ช่วงชิงบังลังก์แย่งชิงพระราชสมบัติและลดทอนพระราชฐานะให้ทรงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ
แต่เราไม่เข้าใจว่า สิ่งที่พรรคส้มหรือแกนนำของพวกเขาอย่าง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ต้องการอะไร เพราะเขาพูดเสมอว่า ภารกิจ 2475 นั้นยังไม่สมบูรณ์ ยังไม่สำเร็จ มาช่วยกันทำให้สำเร็จ ซึ่งหากมองจากมุมของเราเป้าหมายที่น่าจะไปไกลกว่านั้นของ 2475 ถ้าพวกเขาสามารถทำได้ก็คือการเป็นสาธารณรัฐหรือการเปลี่ยนแปลงระบอบนั่นเอง
เช่นเดียวกับที่ จรัล ดิษฐาอภิชัย คอมมิวนิสต์คนสุดท้าย แนวร่วมของพวกเขารำพันไว้ในวันสิ้นปีว่า 31 ธันวาคม สุดท้ายของปี2567 ผมดำเนินชีวิตมาอย่างจำเจ ล้มเหลวเกือบทุกด้าน ตั้งใจจะเขียนหนังสือทฤษฎีการต่อสู้สักเล่มยังไม่ลงมือ เคลื่อนไหวทางสากลหนุนช่วยการต่อสู้ในประเทศน้อยลง จะตั้งขบวนการสาธารณรัฐ ไม่สำเร็จ แทบไม่ได้ติดต่อกับพรรคสังคมนิยม พรรคคอมมิวนิสต์ ที่ได้ทำตามตั้งใจบ้าง เป็นเรื่องส่วนตัว ได้ชมกรีฑากีฬาปารีสโอลิมปิก 2024 ไปเยี่ยมเพนกวินที่อเมริกา พบPaul Handley ผู้เขียนThe King Never Smiles และได้อุ้มหลานสาวคนเล็ก 3 เดือนและคนโตเกือบ3 ปี วันเกิดปีหน้า 2568 ผมจะครบ 78 ปีบริบูรณ์ ต้องถ่ายโอนงานสากลกับสหภาพยุโรป สำนักข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชน กระทรวงต่างประเทศยุโรปอเมริกา เริ่มรู้สึกหวั่นไหวจะเดินหน้าไปอย่างไร โชคดีที่ยังแข็งแรง และมิตรสหายยังช่วยเหลือเกื้อกูลอยู่บ้าง ขึ้นปีใหม่ จะประกาศจุดยืนทางการเมืองอึกครั้ง
วันนี้จรัลที่ให้โลกเลี้ยงชีพโดยไม่ต้องทำงานทำการยังมีความฝันเรื่องสาธารณรัฐและฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ ทั้งที่คอมมิวนิสต์แท้ๆทั่วโลกเปลี่ยนตัวเองเป็นทุนนิยมหมดแล้ว แต่สำหรับจรัลไม่แปลกหรอกที่ครั้งหนึ่ง ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ ศิลปินแห่งชาติผู้ล่วงลับเคยเขียนโคลงสี่สุภาพถึงเขาว่า “มโนมอบแด่มาร์กซ เลนิน/แขนขาสตาลิน เทิดหล้า/ดวงใจมอบโฮจิมินห์ นาพ่อ/เกียรติศักดิ์รักของข้า มอบให้ เหมาเจ๋อตง”
วกไปเรื่องอื่นเสียยาวกลับมาที่เรื่องเดิมฝ่ายอนุรักษนิยมส่วนหนึ่งบอกให้คนจำนวนหนึ่งที่ยังเกลียดกลัวทักษิณ ต้องยอมรับการตัดสินใจของพล.อ.ประยุทธ์ ในสิ่งที่เขาเรียกกันว่า “ดีล” เพราะตอนนี้มีหนทางเดียวที่จะรับมือกับพรรคส้มก็คือทักษิณเท่านั้น
ทักษิณเองก็รู้ว่า ตอนนี้ชนชั้นนำของสังคมไทยจำนวนไม่น้อยเกลียดและกลัวพรรคส้มมากกว่าเขา และเมื่ออำนาจมาอยู่ในมือของเขาแล้ว เขาก็แสดงให้เห็นถึงความโอหังมมังการของตัวเองออกมาว่า เขาคือความหวังของประเทศนี้ที่จะรับมือกับพรรคส้มที่ท้าทายต่ออุดมการณ์และระบอบของรัฐ ดังนั้นทักษิณจึงแสดงให้เห็นว่า เขาไม่กลัวที่มีคนกล่าวหาเขาว่าป่วยทิพย์โดยไม่ยอมติดคุก เพราะมั่นใจว่า ฝ่ายที่ถืออำนาจในประเทศนี้ต้องพึ่งพาตัวเขานั่นเอง
ฝ่ายอนุรักษนิยมที่ยังเกลียดชังเขาและไม่อาจยอมรับการกลับมามีอำนาจของทักษิณได้ก็ยังมีอยู่ แต่ทักษิณมองว่า คนกลุ่มนี้ไม่สามารถที่จะท้าทายอำนาจของเขาได้ เขาจึงพูดที่เชียงรายแบบท้าทายและไม่กลัวพวกที่ต่อต้านเขาที่ยังหลงเหลืออยู่ว่า
“ไอ้พวกนี้นะ ชีวิตมันอีกนิดเดียวก็จะผูกคอตาย เพราะมองโลกแย่ไปหมด ตื่นมาก็เห็นว่าโลกไม่ดีแล้ว อีกไม่กี่วันจะส่งเชือกให้ ตื่นเช้ามาก็ด่ารัฐบาล บ่ายมาก็ด่ารัฐบาล ด่าอยู่นั่นมีอยู่ 4-5 ตัวที่ด่า พวกนี้สงสัยคงอยากได้เชือก เหลือก็แต่ด่าพ่อด่าแม่มัน รู้สึกสมเพชคนพวกนี้ อยากจะเอามาฝึกอาชีพ แต่ดูท่าแล้วจะเป็นคนไม่ขึ้นซ่าง ทำนองว่ามีหลักไว้ให้แต่ไม่เลื้อยขึ้น เลื้อยลงตลอด เราเอาคนไทยทั้งหมดอยากขึ้นซ่าง งั้นเรามาทำซ่างให้คนไทยขึ้น”
การพูดของทักษิณสะท้อนให้เห็นว่า เขาไม่เกรงกลัวฝ่ายที่ต่อต้านเขา เพราะเขามั่นใจว่า ชนชั้นนำในประเทศนี้และฝ่ายอนุรักษนิยมจำนวนไม่น้อยรู้แล้วว่า มีแต่เขาเท่านั้นที่จะป้องกันภัยของระบอบที่อันตรายยิ่งกว่าเขาคือพรรคส้มได้ และที่ทำให้เขามั่นใจมากก็คือ พรรคการเมืองของฝ่ายอนุรักษนิยมที่เคยต่อต้านเขานั้นวันนี้ก็ล้วนแล้วแต่เข้าร่วมรัฐบาลของเขาทั้งสิ้น
แม้จะมีคนมองว่า การออกมาแสดงบทบาทเหมือนจะเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง ทั้งที่เบื้องหลังเขาก็เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจสั่งการตัวจริงนั่นแหละ แต่ต้องออกมาแสดงบทบาทล้ำหน้ายิ่งขึ้นก็เพราะต้องการลดทอนแรงเสียดทานที่จะไปกระทบลูกสาวของเขา
นายกรัฐมนตรีอุ๊งอิ๊งค์ที่ได้ชื่อว่านายกรัฐมนตรีที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย ที่หนังสือพิมพ์เยอรมันพาดหัวว่า Premier mit Schwäche für Luxus ที่แปลว่า นายกรัฐมนตรีผู้หลงไหลความหรูหราฟุ่มเฟือย โดยในเนื้อข่าวบรรยายถึงการมีกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพงถึง 200 ใบ และนาฬิกาหรู 75 เรือน
อาจกล่าวได้ว่า ทักษิณกำลังทำตัวเป็นตำบลกระสุนตกแทนลูกสาวของเขาซึ่งอ่อนต่อโลกทางการเมืองและถูกตั้งคำถามถึงความรู้ความสามารถในการบริหารประเทศนั่นเอง
แน่นอนการเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นการต่อสู้กันอย่างชัดเจนระหว่างพรรคส้มที่มีมวลชนคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ชื่นชมรวมไปถึงผู้ใหญ่บางคนที่หลงไปตามลูกหลานของตัวเองและผู้ใหญ่ที่ยังหลงไหลกับเป้าหมายการต่อสู้ในอดีตแบบจรัล ดิษฐาอภิชัย กับพรรคเพื่อไทยของทักษิณ โดยพรรคของฝ่ายอนุรักษนิยมนั้นแทบจะหมดสภาพไปในการเลือกตั้งครั้งหน้าและกลายเป็นพรรคที่รอคอยร่วมรัฐบาลกับทักษิณเท่านั้นหากเสียงของพรรคของทักษิณยังไม่มากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาล
ดังนั้นคนที่อยู่ยากในการเมืองอยู่ท่ามกลางหว่างเขาควายก็คือพวกฝ่ายอนุรักษนิยมที่ไม่เอาทั้งพรรคส้มและทักษิณซึ่งมองไม่เห็นเลยว่าจะมีที่อยู่ที่ยืนอย่างไร นอกจากต้องทำใจให้บ้านเมืองเป็นไปตามยถากรรมของมัน แต่แน่นอนว่า ก็คงต้องทนอยู่กับความยิ่งใหญ่มมังการของทักษิณต่อไป เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ยากที่จะเปิดทางให้พรรคส้มที่ท้าทายทุกอำนาจทุกสถาบันในประเทศนี้ได้อำนาจการปกครองไปเพื่อเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในประเทศนี้ไม่ให้เหมือนเดิม
แต่ก็มีคำถามเหมือนกันว่าจะต้านทานความแรงของพรรคส้มที่เหมือนกับคลื่นลูกใหม่ไปได้นานแค่ไหน กำแพงผนังกั้นคลื่นที่สร้างขึ้นนั้นจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงท้าทายที่ถูกเรียกร้องโดยคนรุ่นใหม่ไปได้อีกนานไหม เมื่อคนรุ่นใหม่ค่อยเติมเข้ามาเรื่อยๆและคนรุ่นเก่าค่อยๆล้มหายตายจากไป นั่นก็คงต้องฝากไว้กับชะตากรรมของประเทศนี้และเจ้าของอำนาจที่แท้จริงว่าจะรับมือกับความท้าทายนี้อย่างไร
แต่สำหรับคนที่ไม่เอาทั้งทักษิณและพรรคส้มตอนนี้ที่พอจะปลอบประโลมใจได้อย่างเดียวก็คือ การบอกว่าต้องทำใจยอมรับการชะตากรรมและปรากฎการณ์ที่ไม่พึงปรารถนานี้ต่อไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงเป็นอย่างอื่นได้ เพราะมองไปทางไหนก็ไม่มีทางออกที่ดีกว่าที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้