เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตพักเรื่อง “แนวรบตะวันออกกลาง” ไว้ชั่วคราว เพราะคงต้องหันไปสำรวจตรวจสอบ ความเป็นไปในแถบใกล้ๆ บ้านของประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาเอาไว้ก่อน นั่นก็คือเรื่องความเป็นไปในแถบชายแดนไทย-พม่า หรือเมียนมา นั่นแหละทั่น!!! โดยเฉพาะหลังจากที่ได้รับชมรายการพูดคุยสนทนา ระหว่างคุณน้อง “นงวดี ถนิมมาลย์” ผู้เคยจัดรายการในทีวี “ผู้จัดการ” ร่วมกับคุณพี่ “โสภณ องค์การณ์” ที่เพิ่งวายชนม์ไปเมื่อไม่นาน แต่เมื่อวัน-สองวันมานี้ ท่านได้ไปเชื้อเชิญท่านอดีตทูต “สุรพงษ์ ชัยนาม” มาแลกเปลี่ยนความคิด ความเห็น ในเรื่องการจับกุมลูกเรือประมงไทยโดยทางการพม่า แล้วเอาไปขึ้นศาลตัดสินจำคุกกันในระดับ 4 ปี-6 ปี เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ไม่ได้คิดจะ “หยวนๆ” คิดส่งตัวกลับคืน แบบที่ “บิ๊กอ้วน” ท่านรัฐมนตรีกลาโหม “ภูมิธรรม เวชยชัย” ได้ออกมาแถลงแจ้งข่าวเอาเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่เป็นเรื่องในระดับ “หีดๆ-หุ้ยๆ” เท่านั้นเอง หรือเป็นเรื่องที่บรรดาประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียงต่างพร้อมที่จะหยวนๆ ไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหญ่-เรื่องโต เรื่องคอขาดบาดตาย ถึงกับต้องเอาเป็น-เอาตาย อะไรกันมากมาย และอันนี้นี่เอง...ที่ทำให้ท่านอดีตทูต “สุรพงษ์ ชัยนาม” ที่แม้จะแก่พอสมควรแล้ว แต่ภายใต้ความรู้ ความคิด และประสบการณ์ที่ท่านสั่งสมเอาไว้ตั้งแต่ยังหนุ่มๆ ระดับถือเป็นนักคิด นักทฤษฎี และนักปรัชญา ซึ่งออกจะก้าวล้ำนำหน้าเอามากๆ ตั้งแต่ใครต่อใครยังตีนเท่าฝาหอย ท่านกลับตั้งข้อสังเกตไว้น่าคิด น่าสะกิดใจ มิใช่น้อย คือมองว่าความเคลื่อนไหวของประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียงอย่างพม่าต่อประเทศไทยช่วงนี้ น่าจะไม่ใช่เป็นไปแบบ “ปกติ-ธรรมดา” ต่อไปอีกแล้ว แต่ชักหนักไปทาง “การกดดัน” เพื่อจุดมุ่งหมายอย่างใด-อย่างหนึ่ง แม้ยังไม่เป็นที่ทราบชัดว่าคืออะไร? กันแน่!!!
และถ้าลองนำเอาข่าวคราวความเคลื่อนไหวอื่นๆ มาเป็นองค์ประกอบควบคู่ไปด้วย...ดูๆ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันน่าจะเป็นไปตาม “ข้อสังเกต” หรือ “ข้อสมมติฐาน” ที่ท่านอดีตทูต “สุรพงษ์” ท่านว่าเอาไว้จริงๆ นั่นแหละ คือไม่ใช่แค่การจับเรือประมงไทยเอาไปขึ้นศาลตัดสินจำคุกกันเป็นปีๆ เท่านั้น แต่ยังมีเรื่องการ “รุกล้ำน่านฟ้า” ประเทศไทยที่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 แล้วยังคงเกิดขึ้นแบบซ้ำแล้ว-ซ้ำอีก เมื่อช่วงเดือนธันวาคมปี พ.ศ. 2567 ที่เพิ่งผ่านมานี่เอง ถึงขั้นที่กองทัพอากาศไทยต้องส่งเครื่องบิน “F-16” จากตาคลี บินไปสกัดกั้น ไปแสดงความเป็นน่านฟ้าของประเทศไทย แถวๆ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ทั้งเสียขวัญ ทั้งเสียค่าน้ำมัน จนไม่อาจถือเป็นแค่อุบัติเหตุ หรือความพลั้งๆ พลาดๆ ของเครื่องบิน “MIG 29” ของพม่าไม่น่าจะได้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเรื่องของ “ว้าแดง” หรือ “กองทัพสหรัฐฯ ว้า” (United Wa State Army-UWSA) ที่โผล่เข้ามารุกล้ำดินแดน ละเมิดอำนาจอธิปไตยของประเทศไทยแถวๆ อำเภอปาย อำเภอปางมะผ้า เวียงแหง เชียงดาว หรือตั้งแต่แม่ฮ่องสอน ยันเชียงใหม่ เชียงราย ไปโน่นเลย แม้จะบอกให้ถอย บอกให้เลิก ก็กลับยึกๆ ยักๆ ยึกไป-ยักมา ซะยังงั้น!!!
ยิ่งถ้าหากไปสอบสวน-ทวนความ ถึงความเป็นมา-เป็นไป ของพวก “ว้าแดง” เหล่านี้...ยิ่งน่าคิด น่าสะกิดใจ ยิ่งขึ้นไปใหญ่ เพราะอันที่จริงตั้งแต่ 20 กว่าปีที่แล้ว หรือตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 โน่นเลย การเคลื่อนย้ายบรรดาชาวว้าเหล่านี้ จากบริเวณพื้นที่ชายแดนระหว่างจีนกับพม่า ลงมายังพื้นที่ด้านใต้ หรือบริเวณชายแดนด้านที่ติดต่อระหว่างประเทศพม่ากับไทย ต้องถือเป็นเรื่องที่ “ไม่ปกติ-ธรรมดา” มาแล้วตั้งแต่ช่วงนั้น ชนิดที่คุณชาย “สุขุมพันธุ์ บริพัตร” รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศไทยในช่วงนั้น ถึงกับมึนซ์ซ์ซ์ๆ งงง์ง์ง์ๆ ต้องตอบคำถามผู้สื่อข่าวเอาไว้ประมาณว่า... “กำลังศึกษากันอยู่ว่าพม่าทำเช่นนี้เพื่ออะไร? และไทยจะมีผลกระทบเช่นไรบ้าง?”...
และโดยความเป็นไปของฉากเหตุการณ์ดังกล่าวซึ่งผ่านมาแล้วถึง 20 กว่าปี ก็กลายเป็นตัวบ่งบอกคำตอบและคำอธิบาย โดยไม่ต้องเสียเวลา “ศึกษา” ใดๆ อีกต่อไป นั่นคือ...นอกจากการที่พม่าได้ย้ายบรรดา “ว้าแดง” เหล่านี้ จากพรมแดนที่ติดต่อกับประเทศจีน จะช่วยแก้ปัญหาความกระทบกระทั่งระหว่างจีนกับพม่าได้แล้ว ยังสามารถอาศัยกิจกรรมและกิจการของบรรดาทวยทหารแห่งกองทัพสหรัฐฯ ว้าและบรรดาชาวว้าทั้งมวล ที่ถูกย้ายลงมาอย่างเป็นกะบิ มาสร้างเมืองใหม่ ที่อยู่ใหม่บริเวณชายแดนประเทศไทย และทำมาหากินด้วยการผลิตยาเสพติดมั่ง ตั้งสถานกาสิโนมั่ง หรือแม้แต่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งกบดานของ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ฯลฯ ย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา อย่างชนิดหาทางออก-ทางไป แทบไม่เจอเอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
ดังนั้น...ไม่ว่าการจับลูกเรือประมงไทย การรุกล้ำน่านฟ้าครั้งแล้ว-ครั้งเล่า ไปจนถึงการละเมิดอธิปไตยของกองกำลังว้าแดง ฯลฯ ย่อมมิอาจถือเป็นเรื่อง “ปกติ-ธรรมดา” ได้เลยแม้แต่น้อย หรือต้องถือเป็นการแสดงออกถึง “การกดดัน” อย่างที่อดีตทูต “สุรพงษ์ ชัยนาม” ท่านตั้งข้อสังเกต ตั้งข้อสมมติฐานเอาไว้จริงๆ นั่นแหละ ส่วนเพื่อต้องการให้บรรลุ “จุดมุ่งหมาย” ใดๆ ของฝ่ายพม่า อันนี้...คงต้องลองไปใคร่ครวญ ทบทวนพิจารณากันเอาเอง เพราะอาจมีทั้งปัญหาเรื่อง “พลังงาน” ที่บริษัท “ปตท.” ของบ้านเรา อาจต้องตกกระไดพลอยโจนไม่อาจทุ่มเงินลงทุนไปที่พม่าเนื่องจากการต่อต้านของบริษัทพลังงานตะวันตกอย่างที่ท่านอดีตทูต “สุรพงษ์” ให้ข้อสังเกตเอาไว้ หรืออาจเป็นเพราะ “ความเชื่อ” ของพวกเผด็จการทหารพม่า ที่ออกจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากับการสู้รบ ปรบมือ กับบรรดากองกำลังกลุ่มต่อต้านเผด็จการทั้งหลาย จนผู้นำประเทศอย่างพลเอกอาวุโส “มิน อ่อง หล่าย” ต้องออกมาระบุว่า บรรดากลุ่มต่อต้านเหล่านี้ได้รับ “การหนุนหลังจากต่างชาติ” โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีการทหารใหม่ๆ เช่น “เครื่องบินโดรน” เป็นต้น...
และก็แน่นอนนั่นแหละว่า “การหนุนหลังจากต่างชาติ” ในลักษณะทำนองนี้ ย่อมหนีไม่พ้นต้องอาศัยประเทศไทยของหมู่เฮานั่นเอง เป็นทางผ่าน เป็นตัวเชื่อมโยงไปสู่บรรดากองกำลังกลุ่มต่อต้านทั้งหลาย โดยแม้ว่าแนวนโยบายหลักๆ ของประเทศไทย จะมุ่งเน้นในการ “รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี” มาโดยตลอด หรือไม่คิดจะสร้างความขัดแย้ง ไม่คิดจะแทรกแซงกิจการภายในของเพื่อนบ้านใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเผด็จการไปถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยเหตุที่ “ระบบราชการ” หรือ “กลไกราชการ” ของบ้านเรา ออกจะเสื่อมโทรม ทรุดโทรมมาโดยตลอด ไม่เคยได้ปฏิร่ง ปฏิรูปใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย โอกาสที่จะอาศัยช่องโหว่ ช่องว่าง ดังกล่าว เป็นช่องทางในการสนับสนุน ส่งเสริมใครต่อใครในพม่า จึงไม่ใช่เรื่องลำบากยากเย็นใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย เพราะแม้แต่พวก “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ที่อยู่ในฝั่งพม่า ก็ยังคงมีฤทธิ์ มีเดช ชนิดจับไม่ได้-ไล่ทัน สามารถอาศัยประเทศไทยเป็นเครื่องมือในการสร้างความฉิบหายวายวอด ให้กับใครต่อใครไปทั่วทั้งโลกได้อยู่จนบัดนี้...
ขนาด “อดีตรัฐมนตรีประเทศไทย” อย่างคุณพี่ “วิทยา แก้วภราดัย” ยังถูกบรรดาแก๊งเหล่านี้เล่นงานจนต้องหยิบเอาไปพูดไประบายในรัฐสภากันเห็นๆ นั่นยังไม่รวมไปถึงศิลปิน นักแสดง ในเมืองจีน อย่างคุณหลาน “ซิงซิง” หรือ “หวังซิง” ที่หวิดถูกหลอกไปเป็นเชลยของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จนส่งผลให้เกิด “กระแสไทยไม่ปลอดภัย” ระเบิดเถิดเทิงขึ้นมาในเมืองจีน ชนิดที่ว่ากันว่า “ตรุษจีน” ปีนี้ รายได้จากนักท่องเที่ยวจีนที่จะเข้ามาในเมืองไทยมีสิทธิ์หายไปถึง 5,000 ล้านบาทเป็นอย่างน้อยเอาเลยถึงขั้นนั้น หรือถึงขั้น “บริษัทนำเที่ยวจีน” สั่งยกเลิกทัวร์ที่จะเข้ามาในประเทศไทยถึง 30 เปอร์เซ็นต์ภายในสัปดาห์เดียวเท่านั้นเอง...
คือคงต้องยอมรับว่า...บรรดาพวกเผด็จการทหารพม่านั้น ค่อนข้างมีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญ ในด้านวิเทโศบายต่างประเทศอยู่พอสมควร อาจด้วยเหตุเพราะเคยถูกรุกรานจากมหาอำนาจตะวันตกอย่างประเทศอังกฤษ หรือมหาอำนาจในเอเชียอย่างประเทศจีนมาโดยตลอด การอาศัย “เกมการเมืองระหว่างประเทศ” เป็นตัวประคับประคองความอยู่รอดปลอดภัยของตัวเอง เดี๋ยวหันไปเล่น “ไพ่จีน” “ไพ่อินเดีย” หรือกระทั่ง “ไพ่อเมริกา” เพื่อดำรงรักษาอำนาจของตัวเอง หรือของประเทศพม่าก็แล้วแต่ จึงเป็นสิ่งที่ได้รับการประพฤติปฏิบัติมาโดยตลอด ไม่ว่าประเทศนั้นๆ เป็น “มิตร” หรือเป็น “ศัตรู” ด้วยเหตุนี้...แม้ว่าประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา จะพยายามให้ความ “เอื้ออาทร” ต่อเผด็จการพม่าแบบชนิดขัดสายตาของหลายต่อหลายประเทศก็ตามที แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เผด็จการพม่าไม่คิดจะสร้าง “แรงกดดัน” ใดๆ ต่อประเทศไทยได้เลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะเมื่อสถานการณ์ภายในประเทศพม่าเองใกล้ถึงขั้น “เจียนอยู่-เจียนไป” เต็มที การดิ้นรนเอาตัวรอดของเผด็จการพม่า ที่มีพรมแดนประชิดติดพันอยู่กับประเทศไทยยาวอีเหลนเป๋นถึง 2,400 กิโลเมตรนั้น จึงเป็นอะไรที่ “อันตราย” เอามากๆ โดยจะอาศัยเพียงแค่ “มือสมัครเล่น” ไปแก้ไข คลี่คลาย มิได้โดยเด็ดขาด...
อีกทั้งความเสื่อมโทรมของ “ระบบราชการ” และ “กลไกราชการ” ในเมืองไทย...ที่กำลังกลายเป็นตัวกลืนกินประเทศไทยให้ยากที่จะกำหนดแนวนโยบายใดๆ ที่แน่นอน ไม่ว่าต่อประเทศเพื่อนบ้าน หรือแม้แต่ภายในสังคมไทยของหมู่เฮาด้วยกันเอง ทำให้โอกาสที่ประเทศไทยอาจต้องหันไป “ทะเลาะ” กับพม่า พร้อมๆ กับการกลืนกินรายได้หลักๆ อย่างรายได้จากการท่องเที่ยว อันเนื่องมาจาก “กระแสเมืองไทย-ไม่ปลอดภัย” สามารถใช้เป็นเครื่องมือ เป็นทางผ่านให้กับตั้งแต่ระดับอาชญากรรมข้ามชาติไปจนถึงมหาอำนาจใดๆ ที่มุ่งยุแยงตะแคงรั่ว เพื่อให้เกิดความขัดแย้งภายในภูมิภาคแห่งนี้ จนอาจลุกลามบานปลาย กลายเป็น “ยูเครน 2” เอาเลยก็เป็นได้!!!