xs
xsm
sm
md
lg

อเมริกา-อิสราเอล กับ“นาทีทอง”ในการ“ชิงโจมตีอิหร่าน”!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


เบนจามิน เนทันยาฮู—โดนัลด์ ทรัมป์
ถึงแม้ว่าผู้นำอิสราเอล “นายBenjamin Netanyahu” ยังอยู่ในระหว่าง “ผ่าตัดต่อมลูกหมาก” ตามข่าวล่า-มาเรือเมื่อไม่กี่วันมานี้ หรือยังไม่เป็นที่ทราบชัดว่าจะช่วยให้อาการ “บ้าสงคราม” ที่อาจคั่งค้างอยู่ในพวงองุ่นของผู้นำรายนี้พอได้แห้งๆเหี่ยวๆ ลงไปมั่งหรือไม่? หรือแม้ผู้นำรายใหม่ของอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ที่ลูกหลานชาวยิวบางรายนำไปเปรียบเทียบกับ “พระจักรพรรดิไซรัสมหาราช” แห่งเปอร์เซียที่เคยยอมให้บรรพบุรุษชาวยิวกลับมาสร้างบ้าน-แปงเมืองครั้งใหม่โน่นเลย จะยังไม่ได้เข้ารับพิธีสาบานตัวเป็นประธานาธิบดีโดยเบ็ดเสร็จ สมบูรณ์...แต่โดยสีสัน บรรยากาศ ที่บรรดาพวก “สุดโต่ง” ทั้งในอิสราเอลและอเมริกา พยายามยุ พยายามเชียร์ ให้อเมริกาและอิสราเอลร่วมมือกัน “ชิงโจมตีโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน”คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า...ออกจะมาแรงแซงโค้งเอามากๆ!!!
 
ดังที่สื่ออิสราเอลอย่างหนังสือพิมพ์ “Jerusalem Post”เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาถึงกับไปนำเอาข้อเขียน บทความ ของอดีตนักวิเคราะห์ “CIA”“นายColin Winston” ที่ปัจจุบันมามีตำแหน่ง แห่งที่ อยู่ที่สถาบันผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางของอเมริกาและอิสราเอล (The Middle East expert for the American-Israel public Affair Committee) หรือที่เรียกย่อๆ ว่า “AIPAC” อันว่าด้วยเรื่องจังหวะ “นาทีทอง” ที่มิอาจพลาดโดยเด็ดขาด ในการจัดการเล่นงานโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน หรือ “A golden opportunity not to be missed: Time to deal with Iran’s nuclear program” มาเผยแพร่กระพือฮือโหมอย่างเป็นที่เอิกเกริก โดยไม่ว่าใครก็ตามที่มีโอกาสได้อ่านข้อเขียน บทความชิ้นนี้ คงอาจหนีไม่พ้นต้องรู้สึก “เปรี้ยวมือ-เปรี้ยวตีน” ตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ โดยเฉพาะบรรดาพวกบ้าสงคราม-กระหายสงครามทั้งหลาย...
 
คือโดยทัศนะของอดีต “CIA” รายนี้...พยายามปลุกเร้า ปลุกระดมให้เห็นว่า ฉากสถานการณ์ในตะวันออกกลางช่วงนี้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปแล้วในระดับ “พลิกหน้ามือเป็นหลังตีน”อะไรทำนองนั้น โดยเฉพาะภายหลังการล่มสลายของรัฐบาล“al-Assad” แห่งซีเรียที่มีรัสเซียและอิหร่านให้การสนับสนุน จนทำให้บรรดาผู้คิดต่อต้านอิสราเอล หรือพวก “อักษะแห่งการต่อต้าน” (Axis of Resistance) ทั้งหลายที่มีอิหร่านเป็นหัวหอก ต่างหมดฤทธิ์ หมดเดช อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ไปด้วยกันทั้งสิ้น หรือ“Hezbollah และ Hamas ไม่ใช่ภัยคุกคามของอิสราเอลอีกต่อไปแล้ว พันธมิตรแห่งการต่อต้านกลายเป็นซากปรักหักพัง ระบบป้องกันภัยทางอากาศของรัฐบาลซีเรียได้ถูกทำลายลงไปแล้ว แม้แต่ขีดความสามารถของขีปนาวุธอิหร่านก็เป็นเพียงแค่เศษเล็ก-เศษน้อย เหลืออยู่แต่พวก Houthi ในเยเมนที่ยังคงแอคทีฟแต่ก็หาใช่ภัยคุกคามอันร้ายแรงใดๆ ต่ออิสราเอลไม่...” นี่...ต้องเรียกว่ามองโลกสวย ไม่ได้คิดถึงอะไรซวยๆ ไว้เลยแม้แต่น้อย...
 
และด้วยฉากสถานการณ์ทำนองนี้นี่เอง...ที่ “นายColin Winston” พยายามสร้างความน่าหวาดเสียว น่าขนลุกขนพองให้กับ “โครงการนิวเคลียร์” ของอิหร่าน ด้วยการไปอ้างข้อมูลจาก “DNI” (US Director for National Intelligence) และ“IAEA” (International Atomic Energy Agency) ว่าการยกระดับสมรรถนะยูเรเนียมให้ขึ้นไปถึงจุดที่สามารถนำเอามาผลิต “อาวุธนิวเคลียร์” หรือ “HEU” (Highly Enriched uranium)ของอิหร่าน มาถึงจุดที่ใกล้ที่จะ “Breaking out” หรือจาก 60 เปอร์เซ็นต์ ใกล้จะถึงระดับกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ที่สามารถแตกระเบิดออกมาเป็นขีปนาวุธนิวเคลียร์ ภายในช่วงเวลาไม่ใช่แค่ระดับเป็น “เดือนๆ” เท่านั้น แต่อาจแค่อีกไม่กี่ “สัปดาห์”เอาเลยก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้...การที่ว่าที่ผู้นำรายใหม่ของอเมริกา คิดจะส่งคนสนิทอย่าง “นายElon Musk” ไปเจรจากับทูตอิหร่านประจำยูเอ็น เพื่อหวังปลดชนวนความตึงเครียดระหว่างอเมริกาและอิหร่าน ย่อมถือว่าไม่เข้าท่า เข้าทางไปด้วยกันทั้งสิ้น เพราะอิหร่านต้องการอาศัยการเจรจาเพื่อที่จะ “ซื้อเวลา” ให้กับการบรรลุเป้าหมายของตัวเองภายในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกลนับจากนี้ ดังนั้น... “หนทางที่ดีที่สุดก็คือการใช้กำลังทหารบุกทำลายโครงการดังกล่าวโดยไม่ต้องเจรจาใดๆ อีกต่อไป” นี่...ต้องเรียกว่าอะไรจะ “เสี้ยน” เท่านี้ย่อมไม่มีอีกแล้ว!!!
 
แถมยังพยายามชี้แนะ ชี้นำ เอาไว้อีกด้วยว่า...ความพยายามซุกซ่อนการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อิหร่านเอาไว้ในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยภูเขาและอุโมงค์ อย่างเมือง “Fordow” และ“Natanz” นั้น แม้ว่าจะสามารถปกปิดสายตาการตรวจสอบใครได้ง่ายๆ แต่ถ้าอาศัยความร่วมมือระหว่างอเมริกาและพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอล ที่เคยบุกโจมตีที่ตั้งทางทหารครั้งล่าสุดของอิหร่านโดยไม่ต้องสูญเสียเครื่องบินแม้แต่ลำเดียว และโดยไม่ต้องพึ่งพาน่านฟ้าประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง ย่อมทำให้โอกาสที่จะล้างผลาญ ทำลาย โครงการดังกล่าวไม่ให้ผุด-ไม่ให้เกิดอีกต่อไป ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ โดยเฉพาะถ้าหากอาศัยอานุภาพของระเบิด “GBU-57 A/B” ของสหรัฐฯ หรือ “ระเบิดทะลวงบังเกอร์” (Bunker Buster) บรรทุกไว้ในเครื่องบิน “USAF-B-2” หรือเครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน (Stealth Aircraft) อะไรทำนองนั้น ย่อมทำให้ “นักบินอเมริกัน”สามารถที่จะบินกลับมายังประเทศได้แบบวีรบุรุษ ไม่ต้องกลับมาในโลงศพ เพราะไม่จำเป็นต้องส่งทหารภาคพื้นดินเข้าไปในดินแดนแห่งนี้เอาเลยแม้แต่น้อย หรือไม่ต้องกลัวว่าจะกลายเป็นการ “ยกระดับความตึงเครียด” อันอาจก่อให้เกิดสงครามระหว่างอเมริกากับอิหร่าน อย่างที่ผู้นำอเมริกาเคยพยายามเพรียกหา “สันติภาพ” มาตลอดช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง...
 
พูดง่ายๆ ว่า...ใครที่บ้าสงคราม กระหายสงคราม หรือประเภท “ติ่ง” ที่ชอบเชียร์ฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใด พอๆ กับเชียร์บอล เชียร์มวย อะไรทำนองนั้น คงต้องลองคลิกไปหาอ่านรายละเอียดเอาเองก็แล้วกัน แต่โดยสรุปรวมความแล้ว...ความพยายามปลุกเร้า ปลุกระดม ชี้แนะ ชี้นำ ในลักษณะดังกล่าว น่าจะเป็นอะไรที่ออกจะผิดแผกแตกต่างไปจากความคิด ความเห็นของนักข่าวสืบสวน-สอบสวนชาวอิสราเอลเอง อย่าง “นายAlon Ben-David” ที่ออกตระเวนสำรวจตรวจสอบ ความเป็นไปของฉากสถานการณ์สงคราม ไม่ว่าในเขตฉนวนกาซา หรือในภาคใต้ของเลบานอน ระหว่างอิสราเอลกับพวก “Hamas” หรือนักรบ “Hezbollah” แบบชนิด “คนละเรื่อง-คนละม้วน” เอาเลยก็ว่าได้ เพราะโดยความรู้สึกที่เหยี่ยวข่าวรายนี้สะท้อนเอาไว้ตั้งแต่แรก ด้วยคำพูดที่ว่า... “แม้ประเทศของเราได้จบปี ค.ศ. 2024 ด้วยความสำเร็จอย่างน่าประทับใจทางทหาร แต่ความสำเร็จเหล่านี้ไม่ได้ถูกแปลความว่าหมายถึงการสรรค์สร้างสิ่งที่ดีกว่า และทำให้ประเทศอิสราเอลเป็นประเทศที่ดีในการใช้ชีวิตอยู่ ตรงกันข้าม...ทุกสิ่งทุกอย่างกลับแย่ลงๆ แบบวันต่อวัน เหมือนกับเรากำลัง...จม...ลงไปในหลุมที่เราขุดขึ้นมาเอง ไม่ว่าในเขตฉนวนกาซา เลบานอน หรือซีเรีย ก็ตาม!!!”
 
คือเท่าที่เหยี่ยวข่าวรายนี้เขาได้ตระเวนไปดูสภาพความเป็นจริง ข้อเท็จจริง ไม่ว่าด้านเหนืออิสราเอลแถวๆ เมือง “Metula” ใกล้ๆ ภาคใต้เลบานอน ในเขตฉนวนกาซา หรือแม้แต่ในพื้นที่ยึดครองแห่งใหม่ ณ ที่ราบสูงโกลันของซีเรีย ต่างก่อให้เกิดความรู้สึกแบบแห้งๆ เหี่ยวๆ พอๆ กับพวงองุ่นหรือต่อมลูกหมากกำลังโดนผ่า โดนเจี๋ยน อะไรประมาณนั้น เพราะแถบพื้นที่ชายแดนอิสราเอลด้านที่ติดต่อกับเลบานอน ซึ่งต้องอพยพลูกหลานชาวยิวนับเป็นแสนๆ ออกจากพื้นที่หลังการเกิดสงครามกับพวก “Hezbollah” นั้น แต่แม้ว่าจะเกิด “ข้อตกลงหยุดยิง” ระหว่างอิสราเอลกับนักรบกลุ่มนี้ไปเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่นักข่าวรายนี้พบเห็นก็คือมีบรรดา “ชาวยิวแก่ๆ” แค่ประมาณ 10 คนเท่านั้น ที่กล้ากลับไปใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวดังเดิมแถมยังอาจไม่รู้เหนือ-รู้ใต้ รู้ชะตากรรมที่แน่นอน เพราะเมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่อิสราเอล“นายIsrael Katz” ยังต้องออกมาขู่คำรามเอาไว้ซะอีกว่า ถ้าพวก “Hezbollah” ยังไม่ยอมถอนตัวจากเขตแม่น้ำ “Litani”ด้านเหนือของอิสราเอลและภาคใต้เลบานอน ก็อาจต้องหันไปรบกันแบบฉิบหาย-วายวอด อีกต่อไปจนได้...
 
หรือในพื้นที่เขตฉนวนกาซาที่นักข่าวรายนี้บรรยายสภาพให้เห็นอย่างน่าหดหู่ น่าอเนจอนาถเวทนาเอามากๆ ว่า “พื้นที่ส่วนใหญ่ทั่วพื้นผิวด้านเหนือของฉนวนกาซาไม่หลงเหลือพลเรือนแม้เพียงรายเดียว หอคอย Beit Lahiya ที่เจ้าหน้าที่ยูเอ็นและพวกหมอเคยอยู่อาศัยถูกพังเสียราบเรียบ ไม่มีบ้านหลังใดหลงเหลืออยู่ในสภาพสมบูรณ์ทั่วทั้งเมือง Netiv, HaAsara หรือ Sderot ส่วน Jabalia ก็กลายเป็นเมืองร้างได้ยินแต่เสียงสุนัขเห่าและคุ้ยขยะหาอาหาร อยู่เบื้องหลังกองกำลัง IDF ที่ลาดตะเวนอยู่เต็มพื้นที่” แต่ก็นั่นแหละ...ภายใต้สภาพเช่นนี้ นักข่าวอย่าง“Ben-David” อดไม่ได้ที่จะสรุปว่า... “มันมีค่าพอที่จะกล่าวซ้ำๆ ว่า อย่างไรก็ตาม เราคงไม่สามารถที่จะฆ่าพวกที่ถูกเรียกว่า Hamas ได้หมดทุกคน พวกเขามีจำนวนเกินกว่าที่จะนับได้ เราไม่อาจทำลายจรวดอาร์พีจีลูกสุดท้าย ตราบใดที่เรายังไม่สามารถยึดอาวุธเหล่านี้ได้หมด เรายังคงต้องหวาดกลัวและต้องหลั่งเลือดต่อไปอีกไม่รู้จะกี่ปีต่อกี่ปี โดยปราศจากความหวังและปราศจากการกู้ชีวิตตัวประกันที่อาจยังมีชีวิตอยู่อีกบ้างเล็กๆ น้อยๆ กลับคืนมาได้อย่างที่ตั้งความหวังเอาไว้ โดยเฉพาะถ้าผู้นำของเราไม่ได้มียุทธศาสตร์ที่หนักแน่น มั่นคง อันทำให้กองกำลัง IDF เริ่มพบว่าตัวเองกำลัง...ติดหล่ม...และต้องหลั่งเลือดต่อไป ในกับดักของเขตฉนวนกาซา เลบานอน หรือแม้กระทั่งซีเรีย ตลอดชั่วนิจนิรันดรก็เป็นได้!!!”นี่...ฟังแล้ว ชักเริ่ม “หายบ้า” ขึ้นมามั่งหรือยัง???
 
และสิ่งที่ “Ben-David” สรุปไว้ในช่วงสุดท้าย ต้องถือว่าสำคัญเอามากๆ คือคำพูดที่ว่า... “สำหรับบางคนแล้ว การยึดครองหรือการมีอำนาจเหนือผู้อื่นแบบทื่อๆ-ง่ายๆ มันอาจเป็นสิ่งน่าเย้ายวนใจอยู่พอสมควร แต่ประวัติศาสตร์ของเราก็ได้พิสูจน์ครั้งแล้ว-ครั้งเล่า ว่าการยึดครอง การมีอำนาจเหนือผู้อื่นนั้น จะต้องชดใช้ด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงเอามากๆ และโดยทั่วไปแล้วบรรดาผู้ครอบครองทั้งหลายที่เข้าไปในลักษณะของผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งได้รับการสรรเสริญเยินยอ มักจะต้องลาจากไปในลักษณะที่หางของตัวเองต้องม้วนอยู่ในระหว่างขาทั้งสองข้าง...” อันนี้...ใครที่คิดจะเถียงคงต้องไปหาประวัติศาสตร์อิสราเอลตั้งแต่ต้นจนจบ หรือจนกระทั่งต้องกลายสภาพเป็นชนชาติที่บ้านแตกสาแหรกขาดมานับเป็นพันๆ ปีมาลองทบทวนกันเอาเอง...
 
สรุปรวมความแล้ว...ฉากสถานการณ์ในตะวันออกกลางนับแต่นี้ต่อไป จะถือเป็นจังหวะ “นาทีทอง” ของอิสราเอลหรือไม่? อย่างไร? ก็คงต้องขึ้นอยู่กับการคิด การตัดสินใจของผู้นำอเมริกาและพันธมิตรอันศักดิ์อิสราเอล ว่าพร้อม “เปิดประตูนรก” หรือ “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” ขึ้นมาเมื่อไหร่? ตอนไหน? เพราะถ้าว่ากันตามคำพูด คำจาของรัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านที่ใกล้จะลงนามใน “ข้อตกลงทางยุทธศาสตร์” กับรัสเซียช่วงกลางเดือนมกราคมที่จะถึงนี้ และได้เดินทางไปเยือนประเทศจีนเพื่อขอคำปรึกษา แนะนำ สำหรับฉากสถานการณ์ในตะวันออกกลางเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา รัฐมนตรีรายนี้ หรือ“นายAbbas Araghchi” ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวจีนไว้อย่างชัดถ้อย-ชัดคำว่า...“เราได้เตรียมพร้อมแบบเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ต่อความเป็นไปได้ที่อิสราเอลจะเปิดการโจมตีอิหร่านครั้งใหม่ และหวังไว้ว่าอิสราเอลคงรู้จักยับยั้งชั่งใจ ต่อการกระทำที่บ้าระห่ำทั้งหลาย เพราะถือเป็นการ...เสี่ยง...เอามากๆ ที่การกระทำอันไร้เหตุผลเหล่านี้ จะกลายเป็นตัวลั่นไกให้เกิดสงครามขนาดใหญ่ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้...” นี่...อะไรเกิด-อะไรไม่เกิด คงต้องไปสวดมนต์ภาวนา เอาเองก็แล้วกัน...


กำลังโหลดความคิดเห็น