xs
xsm
sm
md
lg

2025 เปิดประตู(นรก)สู่“สงครามโลกครั้งที่ 3”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส
ช่วงปิดท้ายสัปดาห์นี้...ถือว่าตรงกับช่วงปีหน้า ฟ้าใหม่ พอดิบพอดี ด้วยเหตุนี้เลยคงต้องขออนุญาต ถือโอกาสชวนมาร่วมทบทวน ใคร่ครวญ ถึง “ความเป็นไปของโลก” กันให้ชัดๆ ว่าสุดท้ายแล้ว...มันจะออกมาแนวไหน? อย่างไร? อีกสักเที่ยว เพราะบางรายยังอาจ “โลกสวย” หรือยังพยายามมองโลกให้สวยๆ เข้าไว้ จะด้วยเหตุเพราะความสนุกสนาน เพลิดเพลิน หรือด้วยเหตุใดๆ ก็แล้วแต่ ส่วนบางรายอาจหนักไปทาง “โลกซวย”หรือมองอะไรออกไปทางร้ายๆ ซะหมด อันเนื่องมาจากความเคร่งเครียด ซีเรียส หรืออะไรต่อมิอะไรก็ตามที ดังนั้น...การ “มองโลกในแง่จริง” หรือมองจากความเป็นจริงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จึงน่าจะเป็นสิ่งที่มี “ประโยชน์” สำหรับช่วงปีใหม่ ฟ้าใหม่ ไม่มาก-ก็น้อย...
 
คือมีนักคิด นักวิเคราะห์ นักสังเกตการณ์ หลายต่อหลายราย...เขาเคยนำเอาคำพูด แนวคิด ที่อาจถือเป็น “ทฤษฎี” ชนิดหนึ่งก็คงพอได้ ของนักรัฐศาสตร์ชาวอเมริกัน ที่ชื่อว่า“นายGraham T. Allison” ซึ่งเคยเขียนไว้ในข้อเขียน บทความ ที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ “The Financial Times” เมื่อช่วงราวๆ ปี ค.ศ. 2012 มาใช้ในการอรรถาธิบายถึงสถานการณ์ความเป็นไปของโลกในช่วงหลังๆ นี้ เอาไว้อย่างน่าคิด น่าสะกิดใจ มิใช่น้อย และออกจะมี “น้ำหนัก” ให้ต้องใคร่ครวญ ทบทวน อย่างเป็นจริง-เป็นจังอยู่พอสมควร นั่นก็คือคำว่า “กับดักทูซิดิดีส” หรือ “Thucydides Trap” อันมีความหมายเกี่ยวโยงไปถึงข้อเขียน คำอธิบาย ข้อสรุป ของอดีตนักประวัติศาสตร์ชาวกรีก ที่มีชีวิตอยู่ตั้งแต่เมื่อช่วง 460-400 ปีก่อนคริสต์ศักราชโน่นเลยหรือผู้ที่รู้จักกันในนาม “Thucydides” แห่งกรุงเอเธนส์ ผู้ได้รังสรรค์ประวัติศาสตร์ว่าด้วยเรื่อง “History of the Peloponnesian War” หรือประวัติศาสตร์สงครามระหว่าง 2 อาณาจักรกรีก คือ “สปาร์ตา” กับ “เอเธนส์” ที่รบพุ่งกันมานับเป็นสิบๆ ปี คือตั้งแต่ 431-404 ปีก่อนคริสต์ศักราช จนสุดท้าย...พวกเสรีนิยม พวกนักประชาธิปไตยอย่าง “เอเธนส์” ก็มีอันต้อง “เสร็จ” พวกอำนาจนิยม พวกเผด็จการ อย่าง “สปาร์ตา” ไปจนได้...
 
แต่การที่ทั้งสองอาณาจักร...ต้องหันมาฆ่าฟันกันเองทั้งๆ ที่เป็นชาวกรีก หรือชาว “Peloponnesian” ไปด้วยกันทั้งคู่ อันนี้นี่แหละที่ทำให้ข้อสรุปและคำอธิบายของ “Thucydides” เลยถูกนำมาใช้เรียกขานถึงฉากสถานการณ์ที่เป็นไปในลักษณะดังกล่าวว่า “Thucydides Trap” ด้วยประการละฉะนี้ หรือถือเป็น “ธรรมชาติแห่งความสับสนวุ่นวายอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้” อันจะอุบัติขึ้นมาเมื่อ “อำนาจใหม่” ได้กลายเป็นตัวสร้างแรงกดดันต่อกฎระเบียบต่างๆ ที่ “อำนาจเดิม” เคยวางเอาไว้ หรือเมื่อ“อำนาจใหม่” ได้กลายเป็นภัยคุกคามที่จะเข้ามาแทนที่“อำนาจเดิม” โดยจะก่อให้เกิดความรุนแรงแห่งการปะทะและขัดแย้งกันในระดับโครงสร้างอย่าง “ไม่มีข้อยกเว้น” ใดๆเอาเลยแม้แต่น้อย...
 
อันนี้นี่เอง...ที่ถูกนำมาใช้เปรียบเทียบ-เปรียบเปรย อุปมา-อุปไมย ถึงการอุบัติขึ้นมาของ “มหาอำนาจคู่แข่ง” คุณพ่ออเมริกาอย่างคุณพี่จีนและคุณน้ารัสเซีย ชนิดไม่ต่างอะไรไปจากอาณาจักร “สปาร์ตา” กับ “เอเธนส์” ที่ยังไงๆ...ย่อมหนีไม่พ้นต้อง “ปะ-ฉะ-ดะ” ไม่วันใด-วันหนึ่งกันจนได้ แม้จะเคยมี “บทเรียนทางประวัติศาสตร์” ไม่รู้กี่ต่อกี่พันปีมาแล้วก็ตาม หรือด้วยเหตุเพราะ “อำนาจเดิม” อย่างคุณพ่ออเมริกาและบรรดาพันธมิตรแห่งโลกตะวันตกทั้งหลาย ต่างกำลังต้องเจอกับ “แรงกดดัน” ของ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างจีนและรัสเซีย ไม่ว่าในทางการเมือง-เศรษฐกิจ-การทหาร-เทคโนโลยี ฯลฯ ซึ่งกำลังเข้ามาแทนที่ในแต่ละด้าน จนรัฐบาลอเมริกันไม่ว่าจะยุคเดโมแครต หรือรีพับลิกันก็ตาม ตลอดไปจนบรรดาพันธมิตร “พรมเช็ดเท้า” ในแต่ละราย ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า “อำนาจใหม่”อย่างจีนและรัสเซีย ถือเป็น “ภัยคุกคาม” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งปวง...
 
อันเนื่องมาจาก...นับจากช่วงสิ้นยุค “สงครามเย็น” เป็นต้นมา หรือหลังจาก “โลกสังคมนิยม” ล่มสลายลงไปเรียบร้อยแล้วโลกในทัศนะของคุณพ่ออเมริกาก็คือโลกที่มี “ขั้วอำนาจ” เหลืออยู่เพียงขั้วเดียว นั่นคือโลกที่ต้องเป็น “ทุนนิยมประชาธิปไตย”ไปด้วยกันทั้งแผง ไม่ว่าเร็วหรือช้า อีกทั้งยังต้องเป็นประชาธิปไตยที่ถูกขับเคลื่อนโดย “ลัทธิเสรีนิยมใหม่” อันเป็นสิ่งที่จะทำให้บรรดา “รัฐชาติ” ทั้งหลาย จำต้องเปิดช่อง เปิดทาง ให้กับพลังอำนาจของ “ชาติแห่งคลื่นลูกที่สาม” ดังเช่นคำนิยามของนักทฤษฎีเสรีนิยมใหม่ อย่างประเภท “นายAlvin Toffler” เป็นต้น ที่สรุปไว้ถึงขั้นว่า “ขณะที่เศรษฐกิจกำลังถูกแปลงสภาพโดยคลื่นลูกที่สามอยู่นั้น ระบบเศรษฐกิจเหล่านี้จะถูกบีบบังคับให้ต้องยอมจำนน หรือต้องยอมสละความเป็นเอกราชบางส่วนของตน และต้องยอมรับให้อีกฝ่ายล่วงล้ำเข้ามา ไม่ว่าในทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือแม้แต่ทางวัฒนธรรมของตนมากขึ้น อันทำให้ขณะที่กวีและปัญญาชนแห่งภูมิภาคที่มีความล้าหลังทางเศรษฐกิจ กำลังประพันธ์เพลงชาติของตนอยู่นั้น กวีและปัญญาชนแห่งคลื่นลูกที่สาม ก็กำลังครวญบทเพลงว่าด้วยคุณค่าของโลกไร้พรมแดน และสำนักแห่งความเป็นโลกใบเดียวกัน...” นี่...ต้องเรียกว่าไปไกล เตลิดเปิดเปิง ไปได้ถึงขั้นนั้น...
 
แต่ด้วยเหตุที่พวก “อำนาจนิยม” ไม่ว่า “ทุนนิยมเผด็จการ” ในจีน หรือ “มาเฟียประชาธิปไตย” ในรัสเซีย กลับไม่ได้ล้มหายตายจากลงไปซะเกลี้ยง ปี ค.ศ. 2008 จีนได้กลายเป็น “เจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุด” ของอเมริกา ด้วยการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ มากถึง 600,000 ล้านดอลลาร์ และปี ค.ศ.2010 ก็ได้กลายมาเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก ขณะที่รัสเซียภายใต้การนำของประธานาธิบดี “ปูติน” อาศัยความเป็นมาเฟียหรืออะไรก็แล้วแต่ พลิกฟื้นเศรษฐกิจยึดกิจการของบรรดาพวกนักธุรกิจที่โน้มเอียงไปทางตะวันตก จนกลับมามีฤทธิ์ มีเดช มีศักยภาพโดยเฉพาะในทางทหารไม่น้อยไปกว่ายุคที่ยังคงเป็นสหภาพโซเวียตเอาเลยก็ว่าได้...
 
ดังนั้น...บรรดา “กฎระเบียบ” ต่างๆ ที่ “อำนาจเดิม” หรือคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรโลกตะวันตกเคยกำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้ ไปๆ มาๆ แล้ว...กลับถูกปฏิเสธ หรือถูกอธิบายโดยผู้นำรัสเซีย อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ว่าเป็นแค่ “กฎ” ที่เอาไว้ใช้บีบบังคับผู้อื่น แต่ไม่เคยถูกนำมาใช้บังคับ “ตัวกูเอง” หรือผู้ที่ตัวเองให้การอุ้มชู ฟูมฟัก เอาเลยแม้แต่น้อย หรือพูดง่ายๆว่า...เป็นกฎที่มีอยู่ “สองมาตรฐาน” มาโดยตลอด อันเป็นสิ่งที่จำต้องเปลี่ยนแปลงและแก้ไขอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ไม่ต่างไปจากคุณพี่จีน ที่มิอาจเปลี่ยนแปลง หรือไม่คิดเปลี่ยนแปลงตัวเองจาก “ทุนนิยมเผด็จการ” เป็น “ทุนนิยมประชาธิปไตย” เอาเลยแม้แต่น้อย โดยพยายามหันไปเรียกร้องให้อำนาจเดิมยอมรับ “ความแตกต่าง” ของอำนาจที่กำลังอุบัติขึ้นมาใหม่ หรือให้ยอมรับว่าโลกยุคใหม่ก็คือ “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไม่ใช่ “โลกขั้วอำนาจเดียว” อีกต่อไปแล้ว!!!
 
แต่ถึงจะจัดให้มีการจับเข่า จับหัวหน่าว ปรึกษาหารือ แบบที่เรียกว่า “การสนทนาทางยุทธศาสตร์” (Strategic Dialogue)ระหว่างจีน-อเมริกามาแล้วไม่รู้จะกี่ต่อกี่สิบครั้ง หรือนับตั้งแต่ปีค.ศ. 2005 โน่นเลย การหา “จุดลงตัว” ระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ยังคงหาไม่เจอจนตราบเท่าทุกวันนี้ อันเนื่องมาจาก “ความแตกต่าง” ระหว่างอำนาจเดิมกับอำนาจใหม่ มันก็คือความขัดแย้งแตกต่างในระดับ “โครงสร้าง” นั่นเอง ไม่ต่างไปจากความขัดแย้งแตกต่าง ตามนิยามความหมายของสิ่งที่เรียกว่า “Thucydides Trap” นั่นแหละ โอกาสที่จะเกิดการประนีประนอม ยอมความ ระหว่าง “สปาร์ตา” กับ “เอเธนส์” ที่เป็นไปไม่ได้มาตั้งแต่ไม่รู้จะกี่ต่อกี่พันปีมาแล้ว มันจึงกำลังกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ หรือ “ประวัติศาสตร์แห่งอนาคต” ที่บรรดาเราๆ-ทั่นๆ ทั้งหลาย อาจต้องถูกฉุดกระชากลากถูให้ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องจนได้ ไม่ว่าจะในฐานะ “หญ้าแพรก” หรือในฐานะใดๆ ก็แล้วแต่...
 
อันนี้นี่แหละ...ที่น่าจะเป็น “โลกแห่งความเป็นจริง” โดยที่มันจะออกไปทาง “สวย” หรือ “ซวย” คงต้องไปนั่งนึก นั่งคิด เอาเองก็แล้วกัน ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่บรรดา “สงคราม” ซึ่งอุบัติขึ้นมาในแนวรบต่างๆ ไม่ว่า “สงครามยูเครน-รัสเซีย” ในแนวรบยุโรปตะวันออก “สงครามอิสราเอล-ฮามาสหรือเฮซบอลเลาะห์” ในแนวรบตะวันออกกลาง แม้ว่าจะเป็นสงครามแบบจำกัดเขต หรือยังไม่ถึงกับลุกลาม ใหญ่โต ชนิดสามารถลากเอาโลกทั้งโลกเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แต่นั่นก็ใช่ว่า...มันจะสิ้นสุด ยุติ จนไม่อาจกลายสภาพไปเป็น “สงครามโลกครั้งที่ 3” ได้เลย เพราะถ้าว่ากันตามทัศนะประมุขทางจิตวิญญาณแห่งศาสนจักรโรมันคาทอลิก พระสันตะปาปา “ฟรานซิส” ที่ได้พูดไว้เมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว สิ่งที่เรียกว่า “สงครามโลกครั้งที่ 3” นั้น มันได้เกิดขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้อุบัติขึ้นมาเต็มรูปเต็มแบบ แต่จะค่อยๆ “ยกระดับ” ขึ้นไปเป็นขั้นๆ โดยจะปรากฏขึ้นมาแบบครบถ้วน สมบูรณ์ เมื่อไหร่? ตอนไหน? คงต้องคอยนั่งนับนิ้ว คาดคำนวณ นับตั้งแต่ปีใหม่ ฟ้าใหม่ หรือนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2025 เป็นต้นไป นั่นแหละสหายเอ๋ย!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น