xs
xsm
sm
md
lg

การ“ตอกลิ่ม”ความขัดแย้งจีน-รัสเซียได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


สี จิ้นผิง—วลาดิมีร์ ปูติน
“โลกกำลังอยู่ริมขอบเหวแห่งการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้า-คว่ำดิน...โดยเรากำลังเป็นประจักษ์พยานต่อการล้มละลายของกลุ่มประเทศมหาอำนาจอย่าง EU และกำลังจะได้เห็นว่าระบบเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างสหรัฐฯ ล่มสลายลงไปได้อย่างไร และนี่เอง...ที่เป็นตัวบ่งชี้ถึงการสิ้นสุดของระเบียบโลกแบบเดิม ดังนั้น ในช่วงอีกประมาณ 10 ปีนับจากนี้ เราจะมีโอกาสได้เห็นระเบียบโลกอีกแบบซึ่งไม่เหมือนกับที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้ โดยมี...กุญแจสำคัญ...ที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมา นั่นก็คือ...ความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระหว่างจีนกับรัสเซีย...”
 
คำปราศรัยของ “สี จิ้นผิง” ช่วงครบรอบ 95 ปีแห่งการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2016
 
เหตุที่ต้องนำเอาคำพูด คำปราศรัย ของผู้นำจีน ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ที่เคยนำเสนอมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง มาเกริ่นนำไว้ในช่วงปิดท้ายสัปดาห์นี้กันอีกเที่ยว ก็คงไม่มีอะไรมากมายหรอกทั่น แต่อาจเพราะชักเริ่มได้กลิ่นตุๆ ขึ้นมามั่งแล้ว สำหรับความพยายาม “ตอกลิ่ม” เพื่อให้เกิดความขัดแย้ง แตกแยกระหว่างสองอภิมหาอำนาจคู่แข่งของคุณพ่ออเมริกา อย่างจีนและรัสเซีย ที่ไม่เพียงจับมือถือแขนกันอย่างแน่นเหนียวหนึบหนับ ระดับถือเป็น “พันธมิตรที่ไร้ขีดจำกัด” เอาเลยถึงขั้นนั้น หรือเป็น “กุญแจสำคัญ” สำหรับการเปลี่ยนโลก เปลี่ยนระเบียบโลกจากแบบหนึ่งไปสู่อีกแบบหนึ่ง ดังที่ผู้นำจีนรายนี้ได้กล่าวเอาไว้ต่อบรรดาสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว...
 
แต่ท่ามกลางการผงาดกลับคืนมาสู่ตำแหน่งประมุขโลก ตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกาของ “ทรัมป์บ้า” ว่าที่ผู้นำประเทศมหาอำนาจสูงสุดรายนี้ ก็ได้กล่าวเอาไว้ชัดเจนต่อหน้าเหยี่ยวข่าวชาวอเมริกันอย่าง “นายTucker Carlson” และบรรดาผู้สนับสนุนในรัฐฟลอริดา หลังได้ชัยชนะต่อคู่แข่งทางการเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ว่าจะต้องเพียรพยายามหาทางตอกลิ่มเพื่อให้เกิดความขัดแย้ง แตกแยกระหว่างรัสเซียและจีนให้จงได้!!! ด้วยเหตุเพราะการปล่อยให้ประเทศอย่างจีน รัสเซีย อิหร่าน เกาหลีเหนือ ไหลไปรวมกันแบบแน่นเหนียว หนึบหนับ ยิ่งขึ้นเท่าไหร่ ย่อมเป็น “อันตราย” ต่อผู้นำโลก ประมุขโลก อย่างคุณพ่ออเมริกายิ่งขึ้นไปเท่านั้น...
 
ดังนั้น...เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ใคร? ที่มีโอกาสได้อ่านข้อเขียน บทความ ของนักข่าวแห่งสำนักข่าว “Asia Times” ผู้มีนามกรว่า “Yong Jian” ว่าด้วยเรื่อง “First salvo of a Russia-China trade war” หรือที่สำนักข่าว “ผู้จัดการ” นำมาแปลและเผยแพร่ในชื่อเรื่อง “เกิดขึ้นแล้ว! ลั่นกระสุนชุดแรกของสงครามการค้าระหว่างจีน-รัสเซีย” เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (22 ธ.ค.) ที่ผ่านมา คงน่าจะเริ่มรู้สึกได้กลิ่นตุๆ หรือเริ่มอดนึกไปถึงแนวทาง แนวนโยบาย ของว่าที่ประธานาธิบดีอเมริกันอย่าง “ทรัมป์บ้า” ผู้หวังที่จะสร้างความขัดแย้ง แตกแยก ระหว่างมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนและรัสเซีย ให้ต้องอุบัติขึ้นมาให้จงได้ เพราะโดยเนื้อหา รายละเอียดของข้อเขียน บทความ ที่ว่านี้ ไม่เพียงแต่ไปหยิบเอาข่าวคราวจากนิตยสาร “Forbes” ว่าด้วยการขึ้นภาษีของแผนกศุลกากรเมืองวลาดิวอสต็อก ประเทศรัสเซีย ต่อสินค้าชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์ของจีน (furniture sliding rail components) ที่ส่งเข้าไปขายในดินแดนรัสเซีย จาก 0 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นไปถึง 55.65 เปอร์เซ็นต์ ยังพยายามขยายผลด้วยการตามไปสัมภาษณ์บรรดาพ่อค้าชาวจีนแต่ละราย ที่หันมา“ด่ารัสเซีย” ชนิดด่าเช็ด ด่าตะเม็ด ลำเลิกบุญคุณทวงถามความกตัญญูรู้คุณ จนอาจบานปลาย ปลายบาน กลายเป็นความขัดแย้ง แตกแยก ขึ้นมาวันใด-วันหนึ่งก็ย่อมได้...
 
และไม่ใช่แต่ข้อเขียน บทความ ชิ้นนี้เท่านั้น...ล่าสุด หรือเมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา “นายYong Jian” รายที่ว่านี้ ยังได้เผยแพร่ข้อเขียนว่าด้วยเรื่อง “China’s new Silk Road might go through Syria, skipping Russia” โดยจับเอาฉากเหตุการณ์ความล่มสลายของรัฐบาลประธานาธิบดี “al-Assad” แห่งซีเรีย ที่มีรัสเซียให้การสนับสนุนมาโดยตลอด มาเป็นตัวบ่งชี้ถึงบทบาท อิทธิพล ของรัสเซียในตะวันออกกลางที่ต้องลดน้อยถอยลงไปเพียงเท่านั้น แต่ยังไปจับแพะมาชนกับแกะหรือไปหยิบเอาเรื่องราวการพบปะระหว่างอดีตประธานาธิบดีรัสเซียหรือรองประธานสภาความมั่นคงรัสเซีย “นายDmitry Medvedev” ที่เดินทางไปเยือนจีนเมื่อช่วงวันที่ 12 ธ.ค. ว่าได้พบปะสนทนากับผู้บริหารระดับสูงด้านกิจการต่างประเทศพรรคคอมมิวนิสต์จีน “นายLiu Jianchao” แบบชนิด “หาจุดลงตัว” กันไม่เจออะไรประมาณนั้น ก่อนที่จะไปอ้าง “แหล่งข่าว” หรือ “รายงานข่าว”ว่าด้วยความเป็นไปได้ที่ประเทศจีนจะตัดสินใจเปลี่ยนโครงการ“เส้นทางสายไหมใหม่” จากเส้นทางที่เคยตัดผ่านประเทศคาซัคสถาน ไปยังรัสเซีย เบลารุส แล้วทะลุออกไปทางโปแลนด์ให้กลายมาเป็นเส้นทางจากจีนไปยังคาซัคสถาน อุซเบกิสถาน ผ่านอิหร่านเข้าไปในอิรักและทะลุออกมาทางซีเรีย หรือคิดจะกระโดดข้ามรัสเซียแบบไม่คิดสนใจ ไม่คิดจะให้ความสำคัญใดๆ ต่อไปอีกแล้ว!!!
 
นี่...ต้องเรียกว่า ไม่ว่า “นายYong Jian” รายนี้จะเป็นใคร? เป็นนักข่าวสำนักไหนต่อสำนักไหนก็ตามที แต่ช่างเป็นอะไรที่ดูจะค่อนข้างตอบสนองต่อแนวคิด แนวทาง ของว่าที่ประธานาธิบดีอเมริกัน อย่าง “ทรัมป์บ้า” แบบชนิดสุดลิ่มทิ่มกระดานอยู่พอสมควรทีเดียว นั่นก็คือการลด “อันตราย” ของสิ่งซึ่งจะมากระทบต่อความเป็นจ้าวโลก ประมุขโลก ของอเมริกา ด้วยการหาทางทำให้ “มหาอำนาจคู่แข่งทั้งสอง” อย่างจีนและรัสเซีย ต้องขัดแย้ง แตกแยกขึ้นมาจนได้ โดยไม่ว่าข่าวคราวที่ผู้สื่อข่าวรายนี้หยิบเอามาอ้าง มานำเสนอ จะเป็นเฟคนิวส์ ฟักนิวส์ หรือแฟคนิวส์ ก็แล้วแต่ แต่ถ้าฟังจากคำพูด คำจา คำปราศรัยของผู้นำจีน อย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ต่อบรรดาสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในช่วงครบ 95 ปีแห่งการก่อตั้งพรรค ดังที่นำมาเกริ่นเอาไว้ข้างต้น คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า...สัมพันธภาพระหว่างจีน-รัสเซีย ที่ผู้นำรายนี้ถือว่าเป็น“กุญแจสำคัญ” ในการเปลี่ยนโลก หรือเปลี่ยนระเบียบโลกเอาเลยนั้น มันไม่ได้เป็นเพียงความสัมพันธ์ที่มุ่งจะตอบสนอง “ผลประโยชน์” ของฝ่ายใด-ฝ่ายหนึ่ง ประเทศใด-ประเทศหนึ่ง โดยลำพัง แต่เป็นความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับชะตากรรมของโลกทั้งโลก เอาเลยก็ว่าได้...
 
ด้วยเหตุนี้...ไม่ว่า “แผนกศุลกากรเมืองวลาดิวอสต็อก”จะขึ้นภาษีสินค้าจีนไปอีกสักกี่เปอร์เซ็นต์ หรืออิทธิพลของรัสเซียที่ลดน้อยถอยลงไปในตะวันออกกลาง จะทำให้จีนคิดจะกระโดดข้าม หรือคิดเปลี่ยนเส้นทางสายไหมใหม่ด้วยการหันไปต่อสายกับผู้มีบทบาท อิทธิพลรายใหม่ในซีเรียกันแทนที่ หรือไม่? ประการใด? ก็ตามที แต่นั่น....ก็ไม่น่าจะส่งผลให้แนวคิด ทัศนคติ โดยเฉพาะในแง่ “ยุทธศาสตร์” ทั้งของจีนและรัสเซียต่อความเป็นไปของโลก เกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแต่อย่างใด นั่นก็คือ...การมองเห็นล่วงหน้าถึงความเปลี่ยนแปลงในระดับพลิกฟ้า-คว่ำดิน ที่จะเกิดขึ้นต่อบรรดาโลกตะวันตกหรือพวก “โลกขั้วอำนาจเดียว” ทั้งหลาย และการอุบัติขึ้นมาของ “ระเบียบโลกแบบใหม่” ที่มี “โลกแบบหลายขั้วอำนาจ” เป็นตัวรองรับต่อความเปลี่ยนแปลงนั้นๆ....
 
ยิ่งโดยเฉพาะประเทศรัสเซียภายใต้การนำของประธานาธิบดี “ปูติน” แล้ว คงต้องยอมรับว่า...ความคิดที่จะรับมือต่อความเปลี่ยนแปลงในลักษณะดังกล่าว ไม่ได้เพิ่งอุบัติขึ้นมาภายในวัน-สองวัน หรือหลังจากประเทศตัวเองถูกพวกโลกตะวันตกและมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริการุมเหยียบ รุมกระทืบ รุมแซงชั่นแบบชนิดที่ไม่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ เลยต้องบากหน้าไปพึ่งจีน หรือไปเป็นพันธมิตรกับจีนแบบชนิดกะทันหัน เพราะถ้าหากลองไปไล่เรียงความคิด ความอ่าน ของผู้นำรายนี้ ตั้งแต่เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว หรือตั้งแต่ปีค.ศ. 2013 โน่นเลย ในการพูดจาปราศรัย ณ เวที “St. Petersburg International Forum” เมื่อช่วงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2013 ประธานาธิบดีรัสเซียรายนี้ ท่านได้เปิดเผยถึงความในใจเอาไว้อย่างเด่นชัด ถึงการหันไป “Looking to the Asia-Pacific region rather than to its traditional markets in Europe” เอาเลยถึงขั้นนั้น หรือหันไปหาเอเชีย ปักธงเอาไว้ในเอเชีย ย่อมดีกว่าการยึดมั่นอยู่กับตลาดเดิมๆ อย่างตลาดยุโรปเป็นไหนๆ...
 
เพราะแม้รัสเซียจะถือเป็นประเทศที่มีพื้นที่ใหญ่โตที่สุดในโลก...แต่ในทางภูมิรัฐศาสตร์แล้ว ก็อาจเป็นดังที่เหยี่ยวข่าวชาวอังกฤษ อย่าง “นายTim Marshall” เคยกล่าวไว้ในหนังสือเรื่อง “Prisoners of Geography” นั่นแหละว่า แทบไม่ต่างอะไรไปจาก “นักโทษ” หรือ “เชลย” ที่ถูกกักขังเอาไว้ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ คือแม้พื้นที่ที่อยู่ประชิดติดพันกับยุโรปจะมีขนาดเพียงแค่ 25 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ แต่เป็นที่อยู่อาศัยของชาวหมีขาวถึง 75 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่พื้นที่เกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ประเทศอยู่ในเอเชีย แต่มีชาวหมีขาวอาศัยอยู่เพียง 22 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง การดิ้นรนออกจากความเป็นนักโทษ หรือความเป็นเชลยในลักษณะเช่นนี้ จึงหนีไม่พ้นต้องหันไปทุ่มทุนทุ่มเท หันไปหาเอเชียปักธงไว้ในเอเชียนั่นแหละเป็นสำคัญ...
 
อันเป็นสิ่งที่อดีตนักวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ นักฟิสิกส์-เคมี กวี นักเขียนและนักปรัชญาชื่อดังชาวรัสเซีย ผู้มีชีวิตอยู่เมื่อช่วงปี ค.ศ. 1711-1765 อย่าง “Mikhail Lomonosov” เคยถึงกับคาดการณ์ พยากรณ์ ไว้ตั้งแต่เมื่อ 200 กว่าปีที่แล้วเอาเลยว่า“รัสเซียจะร่ำรวยขึ้นมา...จากไซบีเรีย” เอาเลยถึงขั้นนั้น ส่วนแนวคิดในการหันไปหาเอเชียของประธานาธิบดี “ปูติน” จะมาจากอิทธิพลที่สืบทอดจากนักวิทยาศาสตร์รายนี้หรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่จะว่ากันไป แต่ในระหว่าง “ตอบคำถามมาราธอน” ของผู้นำรัสเซียคราวล่าสุด เมื่อถูกถามว่าในห้องทำงานของตัวเองมีรูปภาพ ภาพถ่าย ของใครเอาไว้เป็นที่รำลึกบ้างหรือเปล่า? คำตอบก็คือ...ไม่มี มีแต่รูปปั้นครึ่งตัวของนักวิทยาศาสตร์รัสเซีย ผู้ชื่อว่า “Mikhail Lomonosov” รายนี้นี่เอง...
 
การทุ่มทุน ทุ่มเท ให้กับพื้นที่ด้านที่เป็นเอเชียของรัสเซีย ด้วยการยกระดับทางรถไฟ “Tran-Siberian” ผลักดันรัฐวิสาหกิจพลังงานอย่าง “Rosneft” ให้เอาจริง-เอาจังกับการขายพลังงานให้กับจีน ประกาศสร้างเมืองใหม่ๆ ขึ้นในภูมิภาคตะวันออกพร้อมระบบสาธารณูปโภค ฯลฯ จึงเป็นสิ่งผู้นำรัสเซียรายนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามมาตั้งแต่หลายต่อหลายสิบปีที่แล้วยิ่งในช่วงปี ค.ศ. 2023 ภายใต้ความเป็น “พันธมิตรที่ไร้ขีดจำกัด” ระหว่างจีนและรัสเซีย ส่งผลให้ระหว่างการพบปะของสองผู้นำดังกล่าว นำไปสู่ความร่วมมือลงทุนโดยตรงต่อโครงการถึง 79 โครงการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 160,000 ล้านดอลลาร์ ไม่ว่าด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน เทคโนโลยีข้อมูล-ข่าวสาร พลังงาน สินแร่ และอื่นๆ อันทำให้เรื่องการขึ้นภาษีสินค้าเฟอร์นิเจอร์จากจีนโดยศุลกากรวลาดิวอสต็อก หรือการเปลี่ยนเส้นทางสายไหมใหม่ กลายเป็นเรื่อง “ขี้ปะติ๋ว” ไปโดยทันที...
 
ยิ่งต้องเจอกับการรุมเหยียบ รุมกระทืบรัสเซีย โดยบรรดาประเทศในโลกตะวันตกแบบชนิดไม่คิดจะยั้งมือ ยั้งตีนใดๆ อีกต่อไปแล้ว ยิ่งทำให้สัมพันธภาพระหว่างรัสเซียกับโลกตะวันตก กลายเป็นสิ่งที่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายSergey Lavrov” ถึงกับสรุปไว้เมื่อไม่นานมานี้ ว่าอาจต้องใช้ช่วงเวลาถึงหนึ่งชั่วอายุคนเป็นอย่างน้อย (at least one generation) ถึงจะฟื้นฟูให้กลับคืนสู่ความเป็นปกติขึ้นมาได้ การคิดจะ “ตอกลิ่ม”ให้เกิดความขัดแย้ง แตกแยกระหว่างสองมหาอำนาจตามแนวคิดของว่าที่ประมุขโลกรายใหม่อย่าง “ทรัมป์บ้า” ในขณะที่โลกตะวันตกแทบทั้งแผง กำลังตกอยู่ในสภาพดังที่ผู้อำนวยโครงการสโมสรนักคิด “Valdai Club” รัสเซีย อย่าง“นายTimofey Bordachev” ถึงกับสรุปไว้ในข้อเขียน บทความล่าสุด ว่าด้วยเรื่อง “Half of the west is Doomed” หรือครึ่งหนึ่งของโลกตะวันตกกำลังใกล้ “วาระสุดท้าย” เข้าไปแล้ว!!!มันจึงไม่น่าจะถึงกับปอกกล้วยเข้าปากเอาง่ายๆ...


กำลังโหลดความคิดเห็น