ปิดท้ายสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตกลับไปตรวจสอบ “แนวรบ” สำคัญๆ ทั้ง 3 แนวรบ ไม่ว่า “แนวรบยุโรปตะวันออก” “ตะวันออกกลาง” และ “ทะเลจีนใต้” กันดูอีกรอบ เพราะเมื่อถึงทุกวันนี้คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ ว่ามันออกจะมี “ความเปลี่ยนแปลง” อย่างมี “นัยสำคัญ” พอสมควรทีเดียว...
คือสำหรับ “แนวรบยุโรปตะวันออก” ที่เยิ่นกันไป-เยิ่นกันมาในฉากสงครามระหว่าง “รัสเซีย-ยูเครน” เกือบ 3 ปีเข้าไปแล้ว มาถึง ณ ขณะนี้ หรือขณะที่ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกา อย่าง “ทรัมป์บ้า” กำลังใกล้จะหวนกลับมาเป็นผู้นำสูงสุดเป็น “ประมุขโลก” กันอีกเที่ยว ในช่วงกลางเดือนมกราคมปีหน้า โอกาสที่ “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างยูเครน จะหาทาง “ยื้อต่อ” ในสภาพเดิมตลอดช่วงที่พวก “บ้าสงคราม” อย่างคุณปู่ “โจ ซึมเซา” ยังคงเป็นประธานาธิบดีอเมริกา คงน่าจะยากเอามากๆ เพราะถ้าหากผู้สนับสนุนรายใหญ่อย่างคุณพ่ออเมริกา ที่ผู้นำรายใหม่ย้ำแล้ว-ย้ำเล่าว่าคิดจะ “ปิดฉากสงครามยูเครน” ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง ไม่คิดเดินหน้าตามแนวเดิมๆ ต่อไปอีกแล้ว ถึงแม้พวก “พรมเช็ดเท้า” ในยุโรปตะวันตก อย่างพวกอียู-อีย้วยทั้งหลาย จะพยายามออกแรงฮึดเพียงใดก็ตาม ก็มีแต่จะลำบากยากเย็นยิ่งขึ้นไปเท่านั้น หรือมีแต่จะเพิ่มปัญหาให้กับตัวเอง ทั้งที่แต่ละประเทศล้วนแล้วแต่ “กรอบเป็นข้าวเกรียบเมืองเพชร” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งพวง ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...
ฉากสถานการณ์ในแนวรบด้านนี้...จึงน่าจะเป็นไปในแบบที่อดีตประธานาธิบดีรัสเซีย “นายDmitry Medvedev” ท่านเคยวาดจินตนาการเอาไว้ล่วงหน้า หรือแบบที่เรียกๆ กันว่า “Korean Scenario” อะไรทำนองนั้น คือต่างฝ่ายต่างต้องหันไปตรึงกันไป-ตรึงกันมา อยู่หลัง “เส้นขนานที่ 38” ต้องเปลี่ยนมาทำศึกยืดเยื้อ ที่อาจพอช่วยลดระดับ “สงครามร้อน” ให้กลายเป็น “สงครามเย็น” ระหว่างกันและกันไปตามมี-ตามเกิด โดยจะยืดเยื้อ คาราคาซัง ไปอีกสักกี่ปี กี่ทศวรรษ แบบเมื่อครั้งสงครามเย็นยุคอดีต ก็แล้วแต่ “พระผู้เป็นเจ้า” จะเป็นผู้ชี้ขาดกันในอนาคตเบื้องหน้า...
ส่วนแนวรบที่ 2 หรือ “แนวรบตะวันออกกลาง” มาถึง ณ ขณะนี้ หรือขณะหลังจากการล่มสลายของรัฐบาลประธานาธิบดี “Bashar al-Assad” ที่ได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรรายสำคัญ อย่างรัสเซียและอิหร่านมาโดยตลอด ก็คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า ย่อมก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมี “นัยสำคัญ” ไม่น้อยทีเดียว เนื่องมาจากการ “ทิ้งทวน” ด้วยการอาศัย “ผู้ก่อการร้าย” เป็นเครื่องมือในการ “เปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์” ของคุณปู่ “โจ ซึมเซา” เขานั่นแหละ อย่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียว่าไว้ ส่งผลให้พื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญเอามากๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างซีเรีย ที่คุณน้ารัสเซียท่านอุตส่าห์ทุ่มทุน ทุ่มแรงจัดตั้งฐานทัพเอาไว้ถึง 2 แห่ง ไม่ว่าฐานทัพอากาศ “Khmeimim” และฐานทัพเรือ “Tartus” มาถึงทุกวันนี้...ก็ยังแทบไม่รู้หมู่-รู้จ่าว่าจะยังคงเหลือเศษ-เหลือซาก ยังสามารถดำรงพลังอำนาจอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวได้มาก-น้อยขนาดไหน? หรือยังคงต้องหาทางเจรจากับอดีตผู้ก่อการร้าย อย่างพวก “HTS” (Hayat Tahrir-al-Sham) กันต่อไป ดังที่โฆษกเครมลิน “นายDmitry Peskov” ออกมาสรุปไว้เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา (16 ธ.ค.) ไม่งั้น...ก็อาจต้องย้าย ต้องถอยไปตั้งหลักอยู่แถวๆ ประเทศลิเบียไปโน่นเลย...
ส่วนพันธมิตรอีกรายอย่างอิหร่านที่เคยอาศัยพื้นที่ดังกล่าวเป็น “ทางผ่าน” หรือกระทั่งเป็น “ฐานที่มั่น” ให้กับการสร้างความเป็นปึกแผ่น แน่นหา ของ “อักษะแห่งการต่อต้าน” (Axis of Resistance) ได้อย่างสะดวกลื่นไหลมาโดยตลอด สามารถส่งกำลังบำรุง ส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ ให้กับพวก “Hezbollah” ในเลบานอน และเชื่อมต่อพวก “นักรบชีอะห์” ในอิรัก รวมทั้งยังปักหลักตั้งฐานบัญชาการทางทหารในพื้นที่เหล่านี้กว่า 100 แห่ง ชนิด “หนวดปลาหมึก” ของอิหร่าน ยุ่มย่าม ยั้วเยี้ยไปแทบทั่วทั้งตะวันออกกลาง แต่จู่ๆ...เมื่อรัฐบาล “al-Assad” ดันล่มสลายเอาดื้อๆ!!! โอกาสที่พันธมิตรอย่างอิหร่านจะดำรงรักษาศักยภาพต่างๆ โดยอาศัยพื้นที่ดังกล่าว ก็ย่อมต้องลดน้อยถอยลงไปเป็นธรรมดา...
แถมเมื่อศัตรู-คู่อาฆาต อย่างคุณปู่อิสราเอล ฉวยจังหวะ “นาทีทอง” บุกถล่มขจัดกวาดล้างแสนยานุภาพทางทหารในพื้นที่แห่งนี้ซะแทบเกลี้ยง หรือประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของขีดความสามารถทางทหาร ตามที่อิสราเอลเขาได้ “สมรักษ์ คำสิงห์” เอาไว้ อีกทั้งด้วยเหตุเพราะ “แบ็กดี” เลยไม่จำเป็นต้องสนใจกับ “เสียงนก-เสียงกา” ไม่ว่าเสียงต่อต้านคัดค้านของบรรดาชาติอาหรับและชาวโลกทั้งหลายเอาเลยแม้แต่น้อย ส่งรถถังเข้าไปยึดพื้นที่ที่เคยเป็น “เขตปลอดทหาร” ในที่ราบสูงโกลันซะเกลี้ยง!!! แล้วยังเตรียมจะส่งประชากรชาวยิวไปตั้งถิ่นฐานในพื้นที่เหล่านี้เพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ชนิดอนุมัติงบประมาณเพื่อการนี้ไว้แล้วถึง 40 ล้านเชเกล (11 ล้านดอลลาร์) อีกทั้งยังพยายามเกลี้ยกล่อมประชากรพื้นเมืองอย่างพวก “Druze” ให้ยอมที่จะผนวกตัวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอิสราเอล โดยไม่คิดจะดิ้นรนต่อต้านใดๆ ต่อไปอีกแล้ว แบบเดียวกับที่ชาวไครเมีย หรือชาว 4 เขต 4 แคว้นของยูเครนที่พูดภาษารัสเซีย ยอมผนวกตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียนั่นแหละ เลยยิ่งส่งผลให้บทบาทของอิสราเอลในพื้นที่ยุทธศาสตร์แห่งนี้ ยิ่ง “แข็งโป๊ก” ยิ่งๆ ขึ้นไปอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย...
ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อพันธมิตรรายสำคัญของอิสราเอล หรือผู้นำรายใหม่อเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ผู้เคยให้การยอมรับว่าที่ราบสูงโกลัน ไปจนถึงกรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล ได้หวนกลับมาเป็นประธานาธิบดีอเมริกากันอีกรอบ โอกาสที่จะเห็นดี-เห็นงาม “เห็นควรด้วย” กับการล่วงละเมิดกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศของพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอล ย่อมมีความเป็นไปได้สูงยิ่งขึ้นไปเท่านั้น ดังที่ผู้นำอิสราเอล “นายBenjamin Netanyahu” ได้ออกมาพูดถึงการยกหูโทรศัพท์ไปคุยกับ “ทรัมป์บ้า” เมื่อวัน-สองวันมานี้ ว่าเป็นการสนทนาเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ ที่เต็มไปด้วยความ “very friendly, very warm, and very important conversation” หรือเต็มไปด้วยความไหลลื่น สะดวกคล่องคออิสราเอลเป็นอย่างยิ่ง
แม้แต่ “กูรู-กูรู้” หรือผู้เชี่ยวชาญชาวจีน...อย่าง “นายNiu Xinchun” ผู้อำนวยการบริหารสถาบัน “The China-Arab Research Institute of Ningxia University” ยังอดไม่ได้ที่จะลงความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ระหว่างการเสวนาในเวที “The Global Times Annual Conference-2025” เมื่อช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา (13 ธ.ค.) ว่าตะวันออกกลางทั้งภูมิภาคกำลังเข้าสู่ช่วงภาวะแห่ง “การเปลี่ยนผ่านพลวัตทางอำนาจ” ที่ทำให้ 1. อิทธิพลของรัสเซียต้องลดลงแบบฮวบๆ ฮาบๆ ในขณะที่บทบาทของอเมริกากำลังแผ่ขยายเพิ่มเติม 2. แม้บทบาทของผู้เล่นในภูมิภาค อย่างอิหร่านและอิสราเอลยังคงต้องขัดแย้งกันต่อไป แต่การล่มสลายของรัฐบาลซีเรียก็จะกลายเป็นตัวกัดกร่อนอำนาจของกลุ่มอักษะแห่งการต่อต้านที่อิหร่านให้การสนับสนุน และเพิ่มอำนาจของอิสราเอล โดยมีตัวผู้เล่นใหม่ๆ อย่างตุรกี-ตุรเคีย ผู้สนับสนุนรายสำคัญของพวก “HTS” และ “SNA” (Syria National Army) อันเป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในการโค่นรัฐบาล “al-Assad” จะเข้ามีบทบาทในพื้นที่ดังกล่าวอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย และ 3. อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของกลุ่มอำนาจต่างๆ ในตะวันออกกลาง เช่นกลุ่ม “Hezbollah” จะอ่อนแอลง จนอาจถึงขั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจภายในประเทศเลบานอน โดยเฉพาะในช่วงการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงช่วงเดือนมกราคมปีหน้า ไปจนกระทั่งอาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มต่อต้านอื่นๆ ไม่ว่าในเยเมน หรืออิรักก็ตาม และโดยการเปลี่ยนแปลงในแนวรบด้านนี้นี่เอง ที่ทำให้ฉากสถานการณ์โลกได้มาถึง “จุดตัด” (Crossroad) อันมี “นัยสำคัญ” เป็นอย่างยิ่ง!!! นี่...จริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ ก็ลองต้องไปใคร่ครวญ พิจารณาเอาเองก็แล้วกัน...
ส่วนใน “แนวรบทะเลจีนใต้” เองนั้น...ไม่ว่าจะโดยอาศัย “ภาษี” หรือ “สงครามเศรษฐกิจ-เทคโนโลยี” เป็น “เครื่องมือ” หรือโดยกรรมวิธีอื่นๆ ก็แล้วแต่ แต่ก็เป็นที่แน่ชัดอยู่แล้วว่า โดยแนวคิด แนวทาง ของผู้นำรายใหม่อเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ที่ได้ป่าวประกาศต่อหน้าผู้สื่อข่าวคนดังอย่าง “นายTucker Carlson” และต่อหน้าผู้สนับสนุนตัวเองในรัฐฟลอริดา ก็คือความพยายามที่จะหาทาง “ตอกลิ่ม” ให้เกิดความขัดแย้ง แตกแยกระหว่างสองมหาอำนาจคู่แข่งของอเมริกา อย่างจีนและรัสเซียให้จงได้!!! แม้ประเทศทั้งสองจะกระชับความสัมพันธ์กันแบบชนิดเหนียวแน่น หนึบหนับ ระดับที่เรียกๆ กันว่า “พันธมิตรที่ไร้ขีดจำกัด” เพียงใดก็ตาม อันถือเป็นการ “ท้าทาย” ความเป็น “พันธมิตรทางยุทธศาสตร์” ของประเทศทั้งสอง ที่ไม่ได้เป็นเพียงเพื่อสนองตอบต่อผลประโยชน์ของแต่ละประเทศเท่านั้น แต่เพื่อ “เปลี่ยนโลกทั้งโลก” หรือ “เปลี่ยนระเบียบโลก” เอาเลยถึงขั้นนั้น ว่าสุดท้ายแล้ว...จะ “เสร็จทรัมป์บ้า” หรือ “ไม่เสร็จทรัมป์บ้า” หรือไม่? ประการใด? อันเป็นสิ่งที่คงต้องพยายามจับตาอย่างมิอาจกะพริบตาได้โดยเด็ดขาด...
อย่างไรก็ตาม...ในการกล่าวบรรยายถึงสถานการณ์โลกของผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “ปูติน” ต่อคณะกรรมการป้องกันประเทศรัสเซีย เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา (16 ธ.ค.) นอกจากจะได้กล่าวถึงบรรยากาศทางการเมือง-การทหารของโลกที่กำลังอยู่ในช่วงระหว่าง “การท้าทายและความไม่มีเสถียรภาพ” อันแสดงให้เห็นจากความขัดแย้งและความตึงเครียดที่แผ่กระจายอยู่ในหลายๆ ภูมิภาคแล้ว ประธานาธิบดีผู้นี้ยังได้พยายามชี้ให้เห็นถึง “เหตุปัจจัย” ที่ก่อให้เกิดฉากสถานการณ์ดังกล่าวเอาไว้ด้วยว่า เนื่องจากความพยายามที่จะดำรงรักษาระเบียบโลกในแบบที่อเมริกาและประเทศตะวันตกต้องการหรือแบบที่ตัวเองเรียกว่า “กฎ” ที่เอาไว้ใช้บีบบังคับผู้อื่น แต่สำหรับตัวเองแล้วไม่ได้ถือเป็น “กฎ” ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย และสิ่งนี้นี่เอง...ที่กำลังเป็นตัวสร้าง “ความเสี่ยง” ให้กับโลกทั้งโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างพลังอำนาจเพื่อรองรับพฤติกรรมเช่นนี้ ด้วยการติดตั้งขีปนาวุธพิสัยกลางไว้ในยุโรปและเอเชีย-แปซิฟิก รวมทั้งพยายามกดดันรัสเซียในทุกๆ หนทางแม้แต่การ “ข้ามเส้นตาย” อันทำให้ “การตอบโต้ของเรา” นำไปสู่การสร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้ที่ถูกทำให้เป็นโรคกลัวรัสเซียทั้งหลายยิ่งขึ้นไปอีก...
ดังนั้น... “ด้วยความตึงเครียดของภูมิรัฐศาสตร์โลกที่เพิ่มขึ้นๆ จึงเป็นแรงกดดันที่ทำให้เรา (รัสเซีย) ต้องเพิ่มมาตรการเพื่อรับประกันความมั่นคงปลอดภัยให้กับเราและพันธมิตรของเรา” ชนิดเผลอๆ...อาจได้เห็นการติดตั้งขีปนาวุธรุ่นล่าสุดอย่าง “Oreshnik” ทั้งในยุโรปหรือในคาบสมุทรเกาหลีวันใด-วันหนึ่งเอาเลยก็ไม่แน่ โดยทั้งนั้น ทั้งนี้... “เราจะกระทำสิ่งเหล่านี้ด้วยความระมัดระวังและความเอาจริง-เอาจังเป็นอย่างยิ่ง โดยไม่ได้หวังว่าการกระทำดังกล่าวจะนำไปสู่การแข่งขันทางอาวุธเต็มรูปแบบ จนทำให้เราต้องสูญเสียโอกาสในการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมลงไปด้วย” แต่ก็นั่นแหละ...แม้จะสุขุมรอบคอบ ระมัดระวังถึงขั้นไหน แต่ก็ยังดันไปเผลอไปพลั้งพลาดใน “แนวรบตะวันออกกลาง” จนได้ ด้วยเหตุนี้...ความเป็นไปของฉากสถานการณ์โลกนับจากนี้จะเป็นไปในแบบไหน? อย่างไร? คงหนีไม่พ้นมีแต่ต้องหันไปถาม “พระผู้เป็นเจ้า” ของใคร-ของมัน เอาเองก็แล้วกัน!!!