ไม่ใช่แค่ตามล้าง ตามผลาญ ตาม “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ชาวปาเลสไตน์ในเขตฉนวนกาซา-เวสต์แบงก์เท่านั้น หรือไม่ใช่แค่บุกเล่นงานพวก “Hezbollah” ในเลบานอน ไปจนการบั่นทอน ทำลาย ศักยภาพทางทหารในดินแดนซีเรียหลังการล่มสลายของรัฐบาล “al-Assad” อย่างเป็นเรื่อง เป็นราว ท่ามกลางบรรยากาศการหวนกลับมาเป็นประธานาธิบดีอเมริกันรอบใหม่ของ “ทรัมป์บ้า” ผู้ที่บรรดาชาวยิวประเภท “สุดโต่ง” ทั้งหลาย ถึงกับยกย่องสรรเสริญ ชนิดไม่ต่างไปจากอดีตพระจักรพรรดิเปอร์เซียอย่าง “ไซรัสมหาราช” ผู้เคยอนุมัติให้เชลยชาวยิวกลับมาสร้างบ้านเกิดโน่นเลย แนวโน้มที่บรรดาลูกหลานชาวยิว จะไปไกล ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี ถึงขั้นคิดชิงจังหวะ “บุกโจมตีก่อน” หรือ “Preemptive Strikes” ต่อโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน ในอีกไม่ช้า-ไม่นาน นับจากนี้ ดูๆ ชักจะมีความเป็นไปได้...สูงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ!!!
ดังที่หนังสือพิมพ์ “Times of Israel” ได้รายงานข่าวไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ด้วยการอ้าง “แหล่งข่าว” ทางทหารของกองทัพอิสราเอลว่าถึงขั้นเตรียมตัว เตรียมการที่จะชิงโจมตีโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน ในช่วงจังหวะที่อาจถือเป็น “นาทีทอง” ของอิสราเอลเอาเลยก็ว่าได้ นั่นก็คือภายใต้ช่วงจังหวะแห่งการล่มสลายของรัฐบาลประธานาธิบดี “Bashar al-Assad” ที่ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้สนับสนุนรายสำคัญของระบอบปกครองดังกล่าว อย่างเช่นอิหร่านและพวก “Hezbollah” ต้องอ่อนเปลี้ยเพลียแรงกันไปมิใช่น้อย แต่ด้วยการเหยียบย่ำซ้ำเติม กระทืบซ้ำซีเรีย ไม่ว่าโดยปฏิบัติการทางอากาศครั้งใหญ่ที่สุด หรือที่สื่ออิสราเอลบางรายถึงกับเรียกว่า “ครั้งประวัติศาสตร์” เอาเลยถึงขั้นนั้น โดยการส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดพื้นที่ต่างๆ ในซีเรียไม่ว่าเมืองหลวง Damascus เมือง Homs, Tartous, Latakia และ Palmyra เมื่อช่วงวันพุธที่ผ่านมา (11 ธ.ค.) แบบชนิดซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าถึง 480 ครั้งด้วยกัน ในช่วงเวลา 48 ชั่วโมง ทำลายเรือรบ 15 ลำ หน่วยป้องกันภัยทางอากาศยาน โรงงานผลิตอาวุธ ไปจนสนามบิน Qamishli สนามบินที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ที่เมือง Homs รวมทั้งสนามบิน Mezzeh ในเมืองหลวง Damascus ฯลฯ หรือเท่ากับเป็นการทำลาย “ขีดความสามารถทางทหาร” ของซีเรียลงไปได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ตามราคาคุยของทางการอิสราเอล อันเท่ากับเป็นการเปิดทาง ปูทาง ให้กับการโจมตีอิหร่านได้อย่างถนัดมือ หรืออย่างสะดวกคอยิ่งขึ้นไปเท่านั้น!!!....
นั่นยังไม่รวมไปถึงการส่งกองทัพรถถังบุกเข้ายึดพื้นที่ “เขตกันชน” (Buffer Zone) ในที่ราบสูงโกลันที่มีเนื้อที่ประมาณ 1,800 ตารางกิโลเมตร แต่อิสราเอลยึดไปก่อนหน้านั้นแล้วถึง 1,200 ตารางกิโลเมตร โดยไม่ได้สนใจข้อห้าม ข้อท้วงติงของสหประชาชาติ หรือกฎหมายข้อตกลงระหว่างประเทศ กระทั่งพื้นที่ที่อุตส่าห์เหลือๆ เอาไว้เป็น “เขตปลอดทหาร” ก็ตามที ก็ยังถูกกองทัพอิสราเอลฉวยจังหวะบุกยึดเอาดื้อๆ ถึงบรรดาประเทศสันนิบาตอาหรับทั้งหลาย ไม่ว่าอิหร่าน อิรัก กาตาร์ จอร์แดน ตุรกี ไปจนถึงซาอุดีอาระเบีย ฯลฯ จะออกมาประณาม ตำหนิ ติติงเพียงใดก็แล้วแต่ กระทั่งโฆษกสหประชาชาติ “นายStephane Dujarric” จะออกมานั่งยัน นอนยัน ว่าการกระทำของอิสราเอลไม่ว่าจะอ้างเหตุผลใดๆ ก็เถอะ ถือเป็นการ “ละเมิดข้อตกลงอย่างเป็นเอกฉันท์” ในปี ค.ศ. 1974 แต่ในเมื่ออิสราเอลไม่คิดสนใจซะอย่าง บรรดาสุ้มเสียงต่างๆ ก็เลยมีอันต้องกลายเป็น “เสียงนก-เสียงกา” อย่างมิอาจปฏิเสธใดๆได้เลย...
อีกทั้งความเหิมเกริม ทะเยอทะยานของอิสราเอล ที่คิดไกล ไปไกล ถึงขั้นคิดจะ “บุกอิหร่าน” เอาเลยนั้น ก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรรองรับเอาเสียเลย เพราะถ้าว่ากันตาม “รายงานข่าว” ของสื่ออเมริกัน อย่าง “The Wall Street Journal” เมื่อไม่กี่วันมานี้ และสื่ออิสราเอลอย่าง “The Jerusalem Post” ถึงกับหยิบเอามาเป็นข่าวพาดหัวเมื่อช่วงวันศุกร์ (13 ธ.ค.) ที่ผ่านมา ก็ดูจะเอื้ออำนวยต่อแนวคิดดังกล่าวเอามากๆ นั่นคือรายงานข่าวว่าด้วย “ทีมงานช่วงเปลี่ยนผ่าน” ของว่าที่ประธานาธิบดีรายใหม่อเมริกา อย่าง “ทรัมป์บ้า” ที่กำลังสุมหัว “ประเมิน” กันอย่างเป็นงาน-เป็นการ ถึงความเป็นไปได้ในการ “ชิงโจมตี” ต่อโครงการพัฒนานิวเคลียร์อิหร่าน ชนิดถึงขั้นอ้างคำพูด คำจา ของ “ทรัมป์บ้า” กับผู้นำอิสราเอล “นายBenjamin Netanyahu” ว่าไม่ต้องการที่จะเห็นอิหร่านสามารถผลิตอาวุธนิวเคลียร์ ในช่วงขณะที่ตัวเองกำลังดำรงตำแหน่งประธานธิบดีอเมริกา หรือกำลังใคร่ครวญพิจารณา ว่าอาจต้องใช้ “มาตรการทางทหาร” ต่อสิ่งเหล่านี้ โดยเฉพาะถ้าไม่ต้องอาศัยกำลังทหารของอเมริกัน ก็ยิ่งดีไปใหญ่!!! อะไรทำนองนั้น...
คือแม้ว่า “ทรัมป์บ้า” นั้น...ไม่ถึงกับ “บ้าสงคราม” อย่างพวกเดโมแครต แต่การสนับสนุน การถือหางพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอลนั้น ต้องเรียกว่า...ออกจะสุดลิ่มทิ่มริดสีดวงทวารมาโดยตลอด ไม่ว่าการเริ่มต้นฉีกข้อตกลง “JCPOA” หรือ “Joint Comprehensive Plan of Action” ที่อเมริกาเองร่วมกับจีน-รัสเซีย-อังกฤษ-ฝรั่งเศส-เยอรมนี เคยตกลงไว้กับอิหร่านเมื่อช่วงปี ค.ศ. 2015 เอาดื้อๆ การสนับสนุนให้ย้ายสถานทูตอเมริกาไปอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มอันถือเป็นการรับรองความเป็นเจ้าของพื้นที่เหล่านี้ของอิสราเอลไปในตัว ไปจนการให้ความยอมรับต่อการยึดครองที่ราบสูงโกลันของอิสราเอลทั้งที่ขัดกับมติเอกฉันท์ของสหประชาชาติแบบคนละเรื่อง-คนละม้วน...
ดังนั้น...เพียงแค่การเปิด “ไฟเขียว” ต่อการโจมตีอิหร่านให้การอำนวยความสะดวกต่อการเติมน้ำมันเครื่องบินกลางอากาศตามที่กองทัพอเมริกันและอิสราเอลซ้อมรบร่วมกันมานานแสนนาน หรือคอยช่วงปกป้อง คุ้มครอง คอยปัดจรวดแต่ละลูกที่จะตอบโต้-เอาคืนต่ออิสราเอล เพียงเท่านี้ก็น่าจะพอที่ทำให้ความทะเยอทะยาน ความใฝ่ฝันที่อยากจะก่อร่างสร้างประเทศอิสราเอล ให้เป็นไปในแบบที่เรียกๆ กันว่า “Greater Israel” อันเป็นสิ่งที่ผู้ก่อตั้งองค์กรและลัทธิ “Zionism” อย่าง “นายTheodore Herzel” เคยป่าวประกาศเอาไว้แต่แรก นั่นก็คือประเทศอิสราเอลที่มีความกว้างขวางใหญ่โต ตั้งแต่ลุ่มแม่น้ำไนล์ในอียิปต์ ไปจนจรดลุ่มแม่น้ำยูเฟรติสในดินแดนอิรักโน่นเลย หรืออิสราเอลที่ผนวกรวมเอาพื้นที่บางส่วนในเลบานอน ซีเรีย จอร์แดน อิรัก ตุรกี อียิปต์ ไปจนถึงซาอุดีอาระเบียเข้าไว้ด้วยกัน อาจเป็นสิ่งที่ยั้งไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ กู่ไม่กลับ เอาเลยก็ไม่แน่!!!
อันนี้นี่แหละ...ที่จะยิ่งทำให้ความ “ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย” ย่อมมีสิทธิ์เป็นไปได้มากยิ่งขึ้นไปเท่านั้น เพราะเพียงแค่การคิดโจมตีโครงการนิวเคลียร์อิหร่านล้วนๆ โอกาสที่จะนำไปสู่การ “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” เกิดการลุกลามบานปลายกันในระดับ “สงครามโลกครั้งที่ 3” ย่อมมีสิทธิ์เป็นไปได้ทุกเมื่อ เพราะไม่ว่าอิหร่านเขาจะอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ลงไปถึงขั้นไหน แต่โดยความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ ที่ทำให้พี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลางรายนี้ มีความผูกพันแน่นเหนียวลึกซึ้งและดื่มด่ำอยู่กับสองมหาอำนาจคู่แข่งของคุณพ่ออเมริกา อย่างรัสเซียและจีน ชนิดมิอาจแยกขาด ตัดขาด ออกจากกันได้โดยเด็ดขาด การคิดจะเล่นงานอิหร่านแบบตรงไป-ตรงมา จึงแทบไม่ต่างไปจากการคิดจะเปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์ของโลกทั้งโลกนั่นเอง หรือการคิดที่จะล้างผลาญ ทำลาย การปรากฏตัวขึ้นมาของ “โลกหลายขั้วอำนาจ” เพื่อให้ต้องกลับไปตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ “โลกขั้วอำนาจเดียว” ไปจนจวบชั่วกาลปาวสาน...นั่นแล...
แต่ก็นั่นแหละ...ถ้ามองจากมุมมองของพวกโลกขั้วอำนาจเดียว หรือโลกตะวันตก การเปิดศึกโดยตรงกับอิหร่านโดยอาศัยเหตุผล ข้ออ้าง เรื่องโครงการพัฒนานิวเคลียร์ แบบเดียวกับที่เคยอ้างเรื่องการสะสมอาวุธร้ายแรงของอิรัก ทั้งที่ไม่เคยมีอยู่จริง หรือเป็นเรื่องโกหกล้วนๆ ก็เคยอุบัติขึ้นมาแล้วอย่างเป็นที่ประจักษ์ ด้วยเหตุนี้...ก่อนหน้าที่รัฐบาล “al-Assad” แห่งซีเรียจะล่มสลายลงไปด้วยซ้ำ การออกมาร่วมแถลงข่าวของหัวหน้าหน่วยข่าวกรองต่างประเทศฝรั่งเศส (The French Foreign Intelligence Service) “นายNicolas Lerner” และหัวหน้าหน่วยข่าวกรองอังกฤษ (The British Intelligence Service) “นายRichard Moore” เมื่อช่วงต้นเดือน ธ.ค. ว่าอิหร่านกำลังใกล้จะผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้ภายในชั่วระยะเวลาแค่อีกไม่กี่เดือนนับจากนี้ อันถือเป็น “ภัยคุกคามที่ร้ายแรง...ของบรรดาเราทั้งปวง” ไม่ว่าจริง-ไม่จริง หรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่ แต่ย่อมถือเป็นการช่วยเพิ่ม “ความชอบธรรม” ให้กับอิสราเอลในการเล่นงานอิหร่านยิ่งขึ้นไปเท่านั้น ยิ่งรัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกาเชื้อสายยิว อย่าง “นายAnthony Blinken” ของคุณปู่ “โจ ซึมเซา” ยิ่งหนักไปกว่านั้น คือเคยถึงขั้นป่าวประกาศเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมเอาเลยถึงขั้นว่า อิหร่านอาจสามารถผลิตอาวุธนิวเคลียร์ในเวลาแค่ “ไม่กี่สัปดาห์” นับจากนี้...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...โดยอากัปกิริยา โดยท่าทีของบรรดาพวก “โลกขั้วอำนาจเดียว” ทั้งหลาย ดูๆ น่าจะไม่คิดลด-ละ-เลิกต่อการ “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” หรือการฉุดกระชากลากถูให้โลกทั้งโลกต้องเข้าสู่ “สงครามโลกครั้งที่ 3” ให้จงได้!!! แม้ว่าผู้นำสูงสุดแห่งโลกตะวันตก อย่าง “ทรัมป์บ้า” ว่าที่ประธานาธิบดีรายใหม่ของอเมริกา จะป่าวประกาศว่าไม่เอาสงคราม ไม่คิดจะ “บ้าสงคราม” เพียงใดก็ตามที แต่ถ้าหากผู้ที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลอเมริกามาในทุกยุคทุกสมัยและบรรดารัฐบาลเสรีนิยมในโลกตะวันตกทั้งหลาย ต้องการที่จะให้โลกต้องเป็นไปเช่นนั้นกันจริงๆ แล้วล่ะก็ โอกาสที่เราทั้งหลาย หรือบรรดาประเทศ “หญ้าแพรก” ในแต่ละราย จะหลบรอดชะตากรรมดังกล่าว ก็ออกจะเป็นอะไรที่น่าจะ...ยากส์ส์ส์...เอามากๆ!!!