ไม่ว่าจะเป็นอาการ “บ้าสงคราม” ของรัฐบาลแห่งพรรคเดโมแครต ภายใต้การนำของคุณปู่ “โจ ซึมเซา” ที่หนักไปในทางทหารอันส่งผลให้เกิดการสูญเสียชีวิต เลือดเนื้อ ของผู้คนนับเป็นหมื่นๆ แสนๆ อย่าง “สงครามยูเครน” ที่อาศัย “ตัวตลก-ตัวแทน” อเมริกาเป็นเครื่องมือ หรือการหวังจะรื้อฟื้น “สงครามกลางเมือง” ในซีเรียขึ้นมาใหม่ ด้วยการหันไปอาศัยอดีตผู้ก่อการร้าย “อัล-กออิดะห์” อย่างกลุ่มกบฏ “HTS” (Hayat Tahrir al-Sham) เป็นตัวฮือโหมไฟนรกในตะวันออกกลาง ให้ลุกพึ่บๆ พั่บๆ ขึ้นมาอีกครั้งให้จงได้ หรือจะโดยอาการของว่าที่ประธานาธิบดีอเมริกันรายใหม่ อย่าง “ทรัมป์บ้า” ที่แม้จะไม่ได้หนักไปในทางทหาร แต่ก็ออกจะ “บ้า...ก็...บ้าวะ” อย่างมิอาจปฏิเสธได้ สำหรับการป่าวประกาศไว้ล่วงหน้าว่าคิดจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของประเทศกลุ่ม “BRICS” ถึงระดับ 100 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น!!! ถ้าหากยังคิดที่จะ “De-Dollarization” หรือคิดที่จะเป็นอิสระไปจากอิทธิพลของเงินยูเอสดอลลาร์ หรือที่เรียกๆ กันว่า “เผด็จการดอลลาร์” นั่นแล...
โดยลักษณะอาการเช่นนี้...แม้ว่าจะมีความผิดแผกแตกต่างกันไปบ้าง ในแง่ฉลากสินค้า แต่ก็คงแทบไม่ต่างอะไรไปจากความแตกต่างของน้ำอัดลมชื่อดัง อย่าง “เป๊ปซี่” กับ “โคล่า” นั่นแหละท่าน คือถึงแม้จะคนละขวด คนละยี่ห้อ แต่ต่างล้วนแล้วออกไปทาง “น้ำดำ” ไปด้วยกันทั้งคู่!!! โอกาสที่จะก่อให้เกิดอาการท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยว กรดไหลย้อน ฯลฯ สำหรับใครต่อใครที่ดันสวาปามเข้าไปโดยไม่คิดจะบันยะบันยัง ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ เพราะโดยคุณสมบัติ โดยธาตุพื้นฐาน ของน้ำดื่มประเภทนี้ มันมีที่มาจาก “ความเชื่อ” หรือความหลงละเมอเพ้อพกในลักษณะเดียวกันนั่นเอง นั่นคือความเชื่อที่ว่าจักรวรรดิอเมริกาก็คือ “จ้าวโลก-ประมุขโลก” คือประเทศที่ประชาชาติใดๆ จะขาดเสียมิได้ (Indispensable Nations) หรือมิอาจปฏิเสธได้ ใครที่คิดปฏิเสธคิดยืนอยู่ตรงข้ามกับอเมริกาย่อมมีสิทธิ์กลายเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งปวง...
ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้นักประวัติศาสตร์เยอรมนีและนักเขียนชื่อดัง อย่าง “นายTarik Cyril Amar” เขาอดรนทนไม่ไหว ถึงขั้นต้องออกมาร่ายเรียงข้อเขียน บทความ ชนิดยาวอีเหลนเป๋น ว่าด้วยเรื่อง “Trump’s dollar threat against BRICS show the US hasn’t learned anything” ไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ หรือประมาณว่าการคิดจะเล่นงานประเทศกลุ่ม “BRICS” ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าไปยังอเมริกาถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ถ้าหากคิดละทิ้งเงินดอลลาร์ ของว่าที่ประธานาธิบดีรายใหม่ อย่าง “ทรัมป์บ้า” นั้น สะท้อนให้เห็นค่อนข้างชัดเจนว่า...เท่าที่ผ่านมาประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกาแทบไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย ไม่ได้รู้ว่าโลกที่ตัวเองยังคิดว่ากูคือจ้าวโลก คือประมุขโลก อยู่นั้น มันได้เปลี่ยนแปลงไปเยอะแล้ว หรือมันไม่ใช่ “โลกขั้วอำนาจเดียว” อีกต่อไปแล้ว แต่กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ซึ่งปรากฏให้เห็นอย่างเป็นที่ประจักษ์แจ้ง ชัดเจน...
และก็คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ดังที่นักเขียนรายนี้ เขาได้หยิบยกเหตุผลมาอ้างอิงเอาไว้นั่นแหละว่า แม้ว่าตลอด 3 ศตวรรษที่ผ่านมา กลุ่มประเทศรวยๆ ที่เคยดำรงสถานะไม่ต่างอะไรไปจากจ้าวโลก-ประมุขโลก อย่างกลุ่มประเทศ “G7” อันประกอบไปด้วยอเมริกา-อังกฤษ-ฝรั่งเศส-เยอรมนี-แคนาดา-อิตาลี และญี่ปุ่นจะมีพลังอำนาจทางเศรษฐกิจรวมๆ กันแล้วถึง 66 เปอร์เซ็นต์ของ “GDP โลก” แต่นับจากกลุ่มประเทศ “BRICS” ได้ก่อร่างสร้างตัว ได้ผงาดขึ้นมาเป็นทางเลือก-ทางไปของบรรดากลุ่มประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย อัตราส่วน “GDP” ระหว่างประเทศ “G7” กับกลุ่มประเทศ “BRICS” ก็เริ่มผกผันกลายเป็นกลุ่มประเทศ “G7” มีอัตราส่วน “GDP” รวมกันอยู่ที่ 45 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับ “GDP โลก” ขณะที่กลุ่มประเทศ “BRICS” ยังมีอัตราส่วน “GDP” รวมกันอยู่ที่ 24 เปอร์เซ็นต์ของ “GDP โลก” แต่เมื่อมาถึงทุกวันนี้...ที่โลกมันได้เปลี่ยนไปแบบพลิกหลังตีนเป็นหน้ามือ ขณะที่อัตราส่วน “GDP” ของกลุ่มประเทศ “G7” ลดฮวบๆ ฮาบๆ เหลืออยู่แค่ 29 เปอร์เซ็นต์ของ “GDP โลก” อัตราส่วนโดยรวมของกลุ่มประเทศ “BRICS” กลับพุ่งพรวดพราดถึงระดับ 34 เปอร์เซ็นต์ของ “GDP โลก”...
หรือนั่นเท่ากับแสดงให้เห็นอย่างเป็นที่ประจักษ์แจ้ง ชัดเจน ว่าการรวมตัวของบรรดาประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายไม่ว่า บราซิล-รัสเซีย-อินเดีย-จีนและแอฟริกาใต้ ที่มีจำนวนประชากรรวมกันประมาณ 46 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก หรือกว่า 3,600 ล้านคน มีแหล่งพลังงานสำรองสูงถึง 40 เปอร์เซ็นต์ของแหล่งพลังงานทั่วทั้งโลก มีปริมาณการค้า-ขายกับบรรดาประเทศต่างๆ ไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของปริมาณการค้าโลก ฯลฯ สามารถที่จะสร้าง “พลังอำนาจทางเศรษฐกิจ” อย่างมาแรงแซงโค้ง แซงหน้ากลุ่มประเทศรวยๆ หรือ “คนเคยรวย” อย่างกลุ่มประเทศ “G7” ที่เคยครอบงำเศรษฐกิจโลกมาโดยตลอดช่วง 3 ศตวรรษที่ผ่านมา ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หรืออย่างมิอาจปฏิเสธได้อีกต่อไปแล้ว!!!
ดังนั้น...การคิดว่าตัวกูเองยังคงเป็นจ้าวโลก เป็นประมุขโลก ด้วยการคิดจะใช้อัตราภาษีเล่นงานผู้อื่น ผู้ที่ไม่คิดจะศิโรราบให้กับ “ตัวกู-ของกู” อีกต่อไป เอาไป-เอามาแล้ว...มันอาจนำไปสู่ฉากสถานการณ์แบบที่บรรณาธิการ “Russia Today” “นายAbbas Duncan” เขาได้ตั้ง “คำถาม” เอาไว้เลยก็ไม่แน่ นั่นก็คือ “Trump threatens BRICS with massive tariffs, but who will suffer the most?” หรือสุดท้ายแล้ว...ใคร??? ที่จะกลายเป็นฝ่ายบาดเจ็บ เป็นฝ่ายที่ต้องรากเขียว รากเหลือง กันแน่ ระหว่างผู้ที่คิดว่าตัวกูเองยังคงเป็นจ้าวโลก-ประมุขโลก กับฝ่ายที่เห็นว่าโลกไม่ได้มีมหาอำนาจสูงสุดเพียงรายเดียวอีกต่อไป แต่เป็นโลกที่ประกอบไปด้วยอำนาจอันหลากหลาย หรือเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ที่แต่ละฝ่ายจะต้องพยายามหาทางอยู่ร่วมกันโดยสันติ ต้องสร้าง “สมดุลทางอำนาจ” ระหว่างกันและกัน โดยมีความเท่าเทียม ความเสมอภาค และการเล็งเห็นถึงผลประโยชน์ของแต่ละฝ่าย ที่ต้อง “Win-Win” ไปด้วยกัน ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งเสีย-ฝ่ายหนึ่งได้ หรือฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ปกครองโลกทั้งโลก ขณะที่อีกฝ่ายเป็นได้แค่ “ประเทศบริวาร” ไปโดยตลอดจะอีกกี่ต่อกี่ศตวรรษก็ยังมิอาจสรุปได้...
โดยที่บรรณาธิการ “Russia Today” รายนี้...เขาอุตส่าห์ลงทุนไปค้นคว้าหยิบเอาชนิดและประเภทของสินค้าเข้า-สินค้าออกของบรรดาประเทศกลุ่ม “BRICS” และประเทศอเมริกา มาเทียบเคียงให้เห็นกันจะจะว่าแต่ละประเทศจะเป็นฝ่ายได้-ฝ่ายเสียอะไรกันมั่ง และโดยสรุปแล้ว...น่าจะเป็นคุณพ่ออเมริกาผู้ที่คิดจะขึ้นภาษีขาเข้า 100 เปอร์เซ็นต์นั่นแหละ ที่น่าจะอ้วกแตก อ้วกแตน รากเขียว รากเหลือง กว่าใครเพื่อน โอกาสที่จะเกิดภาวะเงินเฟ้อระดับฉุดยังไงก็ฉุดไม่อยู่ สินค้าแต่ละอย่างแพงแสนแพงระดับทะลุเพดาน ทะลุหลังคา ไปจนเกิดภาวะ “ขาดแคลน” ต่อสินค้าในบางประเภท ย่อมเป็นไปได้สูงเอามากๆ ในขณะที่บรรดาประเทศกลุ่ม “BRICS” ที่พยายามหันมาค้าขาย แลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกันและกัน จะมี “ความยืดหยุ่น” ในการเผชิญหน้าต่อความ “บ้า...ก็...บ้าวะ” ของ “ทรัมป์บ้า” ได้พอประมาณ...
จริง-ไม่จริง...ก็ลองไปคิดคำนวณเอาเองก็แล้วกัน แต่ที่แน่ๆ ก็คือความ “บ้า...ก็...บ้าวะ” ของประธานาธิบดีอเมริการายใหม่ในลักษณะทำนองนี้ ได้ทำให้หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์เศรษฐกิจมหภาค แห่งธนาคาร “Saxo Bank” ของเดนมาร์ก อย่าง “นายJohn Hardy” ถึงกับต้องคาดเดาและทำนายเอาไว้ล่วงหน้า ว่าโอกาสที่จะเกิด “วิกฤต” ระดับร้ายแรงเอามากๆ ต่อตลาดการเงินในปี ค.ศ. 2025 ย่อมมีความเป็นไปได้สูง เพราะแนวคิดและแนวนโยบายของ “ทรัมป์บ้า” รวมทั้งผู้ใกล้ชิดอย่าง “Elon Musk” นั้น ออกจะเป็นอะไรที่ “อันตราย” ต่อระบบการเงินโลก อย่างมิอาจเพิกเฉยได้เลย โดยเฉพาะความพยายามที่จะ “ปกป้องเงินดอลลาร์” หรือพยายามที่จะให้โลกทั้งโลกต้องตกอยู่ภายใต้ “เผด็จการดอลลาร์” อย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยแม้แต่น้อย...
เพราะถ้าว่ากันโดย “ข้อเท็จจริง” แล้ว...ความเสื่อมของเงินดอลลาร์ก็คงไม่ต่างอะไรไปจากความเสื่อมของจักรวรรดิอเมริกาหรือจักรวรรดินิยมรายอื่นๆ ที่เคย “เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-และดับไป” มาแล้วนั่นเอง เพราะโดยตัวของมันเองนั่นแหละ...ที่ก่อให้เกิด “ความเสื่อม” หรือ “ความเสี่ยง” ต่อบรรดาผู้ที่เคยยึดมั่น ถือมั่น ต่อสกุลเงินชนิดนี้ ไม่ว่าจะด้วยการสร้างหนี้ สร้างสิน ให้กับประเทศอเมริกาชนิดชดใช้อีกกี่ชาติต่อกี่ชาติก็ยังใช้ไม่หมด หรือปาเข้าไปกว่า 36 ล้านล้านดอลลาร์เข้าไปแล้วในทุกวันนี้ ด้วยการพิมพ์เงินดอลลาร์เพิ่มขึ้นๆ เพื่อเอาไปช่วยพยุงสถานะของธนาคาร สถาบันการเงิน จนดอลลาร์ท่วมโลก ล้นโลก ไปแล้วก็ว่าได้ หรือด้วยการแปรสภาพ “เงินตรา” ให้กลายเป็น “อาวุธ” อีกชนิดหนึ่ง เพื่อเอาไว้ใช้เล่นงานใครต่อใครที่อเมริกาไม่ชอบขี้หน้า จนส่งผลให้บรรดาประเทศเหล่านั้นไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องหันมา “De-Dollarization” อย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการ ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย-อิหร่าน-เวเนซุเอลา ฯลฯ ที่ถูกอเมริกา “แซงชั่น” อย่างชนิดมหาโหดมาโดยตลอด...
ด้วยเหตุนี้....ไม่ว่าจะเป็น “สงครามทางทหาร” ตามแบบ “โจ ซึมเซา” หรือ “สงครามทางเศรษฐกิจ” ตามแบบฉบับ “ทรัมป์บ้า” ก็ตาม แต่ตราบใดที่มันยังตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่าอเมริกาคือจ้าวโลก-ประมุขโลก คือมหาอำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว โอกาสที่จะนำมาซึ่งความ “ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย” ไม่ว่าต่อประเทศอเมริกาเอง หรือต่อบรรดาชาวโลกทั้งหลาย ย่อมมีสิทธิ์เป็นไปได้ด้วยกันทั้งสิ้น ดังที่อดีตประธานาธิบดีและรองประธานสภาความมั่นคงรัสเซีย “นายDmitry Medvedev” ท่านอดไม่ได้ต้องออกมา “เตือนสติ” เอาไว้ตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมานั่นแหละว่า... “อเมริกาควรละทิ้งความคิดที่จะครองโลกได้แล้ว!!! มิฉะนั้น...มันจะกลายเป็นการเพิ่มอัตราเสี่ยงอันจะนำไปสู่การล้างผลาญอย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ เพราะสิ่งที่โลกทุกวันนี้ต้องการ ก็คือ...ความสมดุลทางอำนาจ มากกว่าที่ฝ่ายใด-ฝ่ายหนึ่งจะครอบงำอีกฝ่าย การไม่ยอมรับความจริง หรือไม่ยอมรับสมดุลทางอำนาจ ย่อมนำไปสู่การปะทะ ขัดแย้ง หรือการเผชิญหน้าที่จะเป็นตัวทำลายล้างมวลมนุษยชาติในท้ายที่สุด”...นั่นเอง!!!