“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
ก่อนที่เราจะไป “อ่าน” ความคิดของ “สี จิ้นผิง” เรามารู้เรื่องของผู้มีอำนาจใน “แดนมังกร” หรือ “ชาติจีน” กันคร่าวๆ สักหน่อยดีไหม?
หลังประธาน “เหมา เจ๋อตุง” ได้อำลาจากโลกไป นอกเหนือจากนายกรัฐมนตรี “โจว เอินไหล” ในยุคประธาน “เหมา เจอตุง” ชาติจีนมี “ผู้นำเติ้ง เสี่ยวผิง” ที่ถือเป็นบุคคลสำคัญอีกคน
เพราะ “เติ้งฯ” ได้วางทั้ง “ยุทธศาสตร์” และ “ยุทธวิธี” กระทั่งวางตัว “ผู้นำจีน”ไว้อย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาชาติจีน จากที่ล้าสมัยและอ่อนแอในทุกด้าน กลับกลายเป็น “ชาติมหาอำนาจ” ที่ทันสมัยและเจริญล้ำหน้า ชนิดก้าวกระโดดทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยีในหลากหลายมิติ
ขนาดที่บางมิติ ทำให้ “อเมริกา” และ “ชาติยุโรป” ถึงกับต้องยกธงขาว “ยอมแพ้” เมื่อเห็นท่าไม่ดี..“อินทรีมะกัน” ก็ใช้วิธีประกาศให้ “ชาติจีน” เป็น “ศัตรูหมายเลขหนึ่ง” ต้องใช้ “แผนปิดล้อมจีน” แทบทุกด้าน หมายจะหยุดยั้งมิให้ชาติจีนแซงหน้าขึ้นเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก
ประธานาธิบดีจีนที่ชาวโลกรู้จักมักคุ้น ได้แก่ “หลี่ เซียนเนี่ยน” ตามด้วย“หยาง ซั่งคุน” และ “เจียง เจ๋อหมิง” กับ “หู จิ่นเทา” แต่ที่โด่งดังมีอำนาจอยู่ในวันนี้ คือ “สี จิ้นผิง” ซึ่งเป็น “ประธานาธิบดีถึง 3 สมัย” อีกทั้งเป็น “เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน” ด้วย
ตอนหนึ่งของคำปราศรัย ในพิธีรับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 3 “สี จิ้นผิง” กล่าวว่า
“ขณะนี้เราได้ก้าวอย่างมั่นใจในการที่จะเปลี่ยนจีนให้เป็นประเทศสังคมนิยมสมัยใหม่ในทุกๆด้าน เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายของศตวรรษที่ 2 และโอบรับการฟื้นฟูครั้งใหญ่ของชาติจีนในทุกด้าน และเพื่อวิถีจีนที่ทันสมัย”
“สีฯ” ยังได้กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า “จีนไม่สามารถพัฒนาได้หากปราศจากโลก และโลกก็ต้องการจีนเช่นกัน”
“หลังความพยายามอย่างไม่ลดละ เพื่อปฏิรูปและเปิดกว้างเป็นเวลากว่า 40 ปี พวกเราได้สร้างความมหัศจรรย์ 2 ด้าน คือ การพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และความมั่นคงทางสังคมในระยะยาว”
นั่นเป็นคำพูดของประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ผู้คุมอำนาจสูงสุดใน “แดนมังกร” หรือ “ชาติจีน”
คราวนี้เราหันมาดูประวัติ “สี จิ้นผิง” ก่อนจะอ่านคำคมความคิดของ “สีฯ” เพื่อจะได้เข้าใจความเป็นไปเป็นมาของ “ผู้นำจีน” คนปัจจุบันพอสังเขปนะครับ..
“สี จิ้นผิง” เป็นบุตรของ “สี จงชุน” ผู้เคยเป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรีจีน ที่ใกล้ชิดกับประธาน “เหมา เจ๋อตุง”
แต่..“สี จงชุน” ถูกปรับลดตำแหน่งลงเป็นเพียงกรรมกร ภายหลังจากได้อนุมัติให้มีการตีพิมพ์หนังสือที่วิจารณ์ “เหมา เจ๋อตุง” ประวัติ “สีฯ ผู้พ่อ” จึงด่างพร้อย ทำให้สมาชิกครอบครัว “สี จิ้นผิง” ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากในชีวิต
“สี จิ้นผิง” เกิดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2496 และเติบโตในหมู่บ้านเล็กๆทางเหนือของจีน
ในยุคสมัยที่จีนได้สถาปนาขึ้นเป็นสาธารณรัฐ เนื่องด้วย “สี จงชุน” มีประวัติด่างพร้อย ทำให้ในวัยเรียน.. เด็กน้อย “สี จิ้นผิง” จึงถูกผู้คนรอบข้างกลั่นแกล้งอยู่เสมอ “หลิง หลิง” พี่สาวของสีฯ ก็ถูกกลั่นแกล้งอย่างหนักเช่นกัน จนเกิดผลกระทบกดดันจิตใจอย่างรุนแรง จนสุดท้ายเธอตัดสินใจ “ฆ่าตัวตาย”!
ต่อมา.. “สี จิ้นผิง” ได้เป็นหนึ่งใน 29,000 ปัญญาชนชุดแรก ที่ถูกกวาดต้อนให้เข้ารับการศึกษา ต้องใช้ชีวิตเรียนรู้การทำไร่ ทำนา ทำปศุสัตว์ ต้องอาศัยอยู่ในถ้ำที่เหลียงเจี่ยเหอ ณ หมู่บ้านเล็กๆทางเหนือของมณฑลชานซี
แต่ด้วย “สี จิ้นผิง” มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นสมาชิก “พรรคคอมมิวนิสต์จีน” โดยเขาได้เขียนจดหมายสมัครเป็นสมาชิก พคมจ.ถึง 10 ครั้ง แต่ถูกปฏิเสธถึง 9 ครั้ง
และในครั้งที่ 10 “สี จิ้นผิง” ที่รับราชการมาตลอด ก็ได้เข้าเป็น “สมาชิก พคมจ.” สมใจ
หลังการอสัญกรรมของ “ประธานเหมา เจ๋อตุง” ชีวิตของ “สี จงชุน” และภาพลักษณ์ของเขาได้ฟื้นกลับขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ทำให้ “สี จิ้นผิง” ได้กลับมาศึกษาต่อ จนจบด้านเคมีจาก “มหาวิทยาลัยชิงหวา” และเริ่มมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลในกองทัพจีน ก่อนจะได้เข้าไปรับใช้พรรคใน “มณฑลเหอเป่ย” ในฐานะ “ผู้เชี่ยวชาญในการผสมพันธุ์สุกร”
“สี จิ้นผิง” ได้ขยับตำแหน่งทางการเมืองอีกครั้ง ที่มณฑลชายฝั่งทะเลของจีน โดย “สีฯ” ได้เป็นผู้ว่าการของ “มณฑลฝูเจี้ยน” ตั้งแต่ปี 2542 ถึงปี 2545 จากนั้น “สีฯ” ได้เข้าดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคของมณฑลเจ้อเจียงระหว่างปี 2545 ถึงปี 2550
ในปี 2550 “สี จิ้นผิง” ถูกโอนย้ายไปอยู่ที่ “เซี่ยงไฮ้” ในตำแหน่งรักษาการ “เลขาธิการพรรคเซี่ยงไฮ้” ช่วงสั้นๆ ประมาณ 7 เดือน
ที่เซี่ยงไฮ้ “สี จิ้นผิง” เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับ “ไต้หวัน” และช่วงที่รักษาการ “เลขาธิการพรรคเซี่ยงไฮ้” นี้เอง ที่ “สี จิ้นผิง” ได้สร้างและพัฒนาความสัมพันธ์อย่างดีอย่างต่อเนื่อง กับ “เจียง เจ๋อหมิง” อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเป็น “แกนนำรุ่นที่ 3 ของชาติจีน”
ถึงตอนนี้หลายคนอาจอยากรู้ถึงชีวิตส่วนตัวของ “ผู้นำจีน สี จิ้นผิง” กันแล้วล่ะ
“สี จิ้นผิง” แต่งงานครั้งแรกแต่ต้องหย่าร้างกัน เป็นที่ทราบกันว่า ทั้งสามีและภรรยาทะเลาะกันเกือบทุกวัน จนต้องเลิกร้างจากกัน “นางเค่อ หลิงหลิง” เป็นลูกสาวของ “เค่อหัว” เอกอัครราชทูตจีนประจำสหราชอาณาจักร หลังหย่าร้างกัน “เค่อ หลิงหลิง” ได้ย้ายกลับไปอยู่ในประเทศอังกฤษอย่างถาวร
ในปี พ.ศ.2530 “สี จิ้นผิง” ได้แต่งงานใหม่กับ “เผิง ลี่หยวน” นักร้องโอเปราชื่อดังประจำกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน โดยมีพ่อสื่อแม่ชักแนะนำให้ทั้งสองรู้จักกัน
“สี จิ้นผิง” ขอให้ฝ่ายหญิงสอนเทคนิคการร้องเพลงแก่เขา ทั้งสองฝ่ายจึงสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น จนทั้งคู่ตัดสินใจแต่งงานกัน
“เผิง ลี่หยวน” ช่วยทำให้ “สี จิ้นผิง” สื่อสารกับประชาชนดีมากขึ้นกว่าเดิม โดยแนะนำให้ “สีฯ” ใช้คำพูดเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น ช่วยให้เข้าถึงประชาชนทุกหมู่เหล่า
แม้การทำงานต้องแยกกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ในฐานะ “สตรีหมายเลขหนึ่งของจีน” เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน “เผิง ลี่หยวน” ทำหน้าที่ได้สมกับ “ชาวจีนวางใจ” “เผิงฯ” ได้ต้อนรับ “มิเชล โฮบามา” “สตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐ” ได้อย่างงดงาม เมื่อครั้งมาเยือนจีนในเดือนมีนาคม ปี พ.ศ.2557
แม้นมี “เส้นสายดี” ทว่า หาก “ไร้ความสามารถ” อาจเป็น “ผลร้าย” มากกว่า “ผลดี”!
แต่สำหรับ “สี จิ้นผิง” ผู้มี “ความสามารถ” การมีเส้นสายดีจึงสร้าง “ผลงานความสำเร็จ” ให้ปรากฎแก่ “ผู้นำ พคมจ.” และ “สมาชิก พคมจ.” ได้เห็นเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งมาตลอด ในปี พ.ศ. 2554 แม้แต่หนังสือพิมพ์ Washington Post ของมะกันยังบรรยายถึง “สี จิ้นผิง” ว่า..
“เขาเป็นคนปฏิบัติจริง เอาจริงเอาจังกับการงาน และมีความระมัดระวังในการทำงาน เขายังคงทำงานหนัก ติดดิน และถ่อมตนตลอดเวลา” เขาได้รับการอธิบายว่า เป็นมือที่ดีในการแก้ปัญหา และ “ดูเหมือนไม่สนใจในการใช้อำนาจจากตำแหน่งอันสูงของเขา”
จึงไม่น่าแปลกใจที่ตำแหน่งของ “สี จิ้นผิง” จึงเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว “สี จิ้นผิง” ใช้เวลา 5 ปีนับแต่ปี พ.ศ.2550 ในฐานะรองประธานาธิบดี สร้างผลงานที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง จนได้เป็น “ผู้สืบทอด” ต่อจาก “ประธานาธิบดี หู จิ่นเทา”
ในที่สุด “สี จิ้นผิง” ก็ได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง “เลขาธิการ พคมจ.” และ “ประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลางของจีน” ใน “เดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ.2555” !
“สี จิ้นผิง” ทำสำเร็จ...!
“สี จิ้นผิง” ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง “ประธานาธิบดีแดนมังกรจีน” กุมอำนาจเบ็ดเสร็จของจีนถึง 3 สมัย !!!