คดีของนักโทษชายทักษิณที่มีผู้ร้องต่อ ป.ป.ช.กรณีพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจยาวนานถึง 6 เดือนโดยไม่ติดคุกยังไม่มีทีท่าว่าจะไปถึงไหน และมีแนวโน้มว่าจะล่าช้าเหมือนกับคดีอื่นที่ตกถึงมือ ป.ป.ช.แถมในระหว่างที่กำลังรวบรวมหลักฐานนี้กลับไม่ได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลตำรวจในการขอข้อมูลรักษาตัวของทักษิณ โดยอ้างว่าเป็นความลับของผู้ป่วยไม่สามารถเปิดเผยได้
ทั้งนี้ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ 2550 มาตรา 7 ระบุว่า ข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคลเป็นความลับส่วนบุคคลผู้ใดจะนำไปเปิดเผยในประการที่น่าจะทำให้บุคคลนั้นเสียหายไม่ได้ เว้นแต่การเปิดเผยนั้นเป็นไปตามความประสงค์ของบุคคลนั้นโดยตรงหรือมีกฎหมายเฉพาะบัญญัติให้ต้องเปิดเผยแต่ไม่ว่าในกรณีใดๆ ผู้ใดจะอาศัยอำนาจหรือสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการหรือกฎหมายอื่นเพื่อขอเอกสารเกี่ยวกับข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคลที่ไม่ใช่ของตนไม่ได้
อ่านดีๆ มาตรา 7 ก็พอจะมีช่องให้เปิดเผยที่บอกว่า “หรือมีกฎหมายเฉพาะบัญญัติให้ต้องเปิดเผย” เมื่อ ป.ป.ช.มีหน้าที่ที่จะต้องสอบสวนความประพฤติมิชอบของข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่มีช่องทางใดที่จะทำให้แพทย์ต้องเปิดเผยเวชระเบียนของคนไข้ เพื่อสอบสวนว่ามีการใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลหรือไม่บ้างเลยหรือ
ใครจะมาขอเวชระเบียนทักษิณที่รักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ทางแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจคือ พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ ก็ยืนกรานอย่างเดียวว่าให้ไม่ได้ไม่ว่า ป.ป.ช.หรือแพทยสภาก็ตาม วันนี้พล.ต.ท.โสภณรัชต์ยังได้รับการอวยยศเป็นกรรมการอิสระของบริษัท ไออาร์พีซี บริษัทด้านพลังงานในเครือของ ปตท.ด้วย ทั้งที่ตำแหน่งนี้ต้องมีความรู้ความสามารถด้านพลังงานที่เป็นธุรกิจหลักของบริษัท
มาตรานี้กำลังกลายเป็นเครื่องมือของโรงพยาบาลตำรวจในการป้องกันตัวเองจากความผิดอันอาจจะเอื้อประโยชน์ให้กับทักษิณเหนือนักโทษคนอื่นตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มีความเห็นว่า การที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและโรงพยาบาลตำรวจกำหนดให้นายทักษิณพักรักษาตัวที่ห้องพิเศษของโรงพยาบาลตำรวจอย่างต่อเนื่องโดยเรือนจำฯ ไม่ได้โต้แย้งจนกระทั่งนายทักษิณออกจากโรงพยาบาลเป็นการดำเนินการโดยอาศัยช่องว่างของกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 ทำให้นายทักษิณได้รับประโยชน์นอกเหนือกว่าสิทธิที่ควรได้รับถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักความเสมอภาคและเป็นการเลือกปฏิบัติอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ทั้งนี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนระบุว่า หากนายทักษิณป่วยจนอยู่ในระดับวิกฤตตามที่มีการชี้แจงจริงก็ควรต้องได้รับการดูแลจากบุคลากรทางการแพทย์อย่างใกล้ชิดและพักในห้องสำหรับผู้ป่วยฉุกเฉินแต่นายทักษิณกลับพักในห้องพิเศษ ซึ่งตามปกติควรมีไว้สำหรับผู้ป่วยที่พ้นจากภาวะวิกฤตและสามารถช่วยเหลือตัวเองได้บ้างแล้ว
ผมเคยเปิดเผยไปแล้วว่า สิ่งที่กรมราชทัณฑ์ใช้ในการส่งตัวทักษิณไปรักษานอกเรือนจำ ก็คือ กฎกระทรวงการส่งผู้ต้องหาไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 ซึ่งออกในสมัยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และเมื่อดูกฎกระทรวงข้อ 2 ก็พบว่า มีหลักคือคุ้มครองคนที่อยู่ร่วมกันจำนวนมาก คือมีโรคติดต่อ หรือมีปัญหาทางสุขภาพจิต ซึ่งกรณีของทักษิณตามอาการป่วยที่อ้างนั้นไม่เข้าข่ายจึงไม่สามารถนำกฎกระทรวงนี้มาใช้อ้างเพื่อส่งผลตัวทักษิณได้
เมื่ออาการของทักษิณไม่ใช่โรคติดต่อหรือมีอาการป่วยทางจิต จึงใช้กฎกระทรวงฉบับนี้กับทักษิณไม่ได้ แต่ไม่มีใครพูดถึงประเด็นนี้นัก กรณีของทักษิณนั้นจริงๆ แล้วต้องใช้กฎหมายวิอาญามาตรา 246 คือต้องไปขออนุญาตจากศาลเสียก่อน
แล้วถามว่ามีใครเชื่อบ้างไหมว่า ทักษิณป่วยจริงเชื่อว่าไม่มีใครเชื่อเลย มีแต่คนเชื่อว่า เป็นการช่วยเหลือเพื่อไม่ให้ทักษิณไม่ต้องรับโทษในเรือนจำเช่นเดียวกับนักโทษคนอื่นๆ นั้น วันนี้ในวันที่ทักษิณออกจากคุกแล้วไม่ปรากฏให้เห็นเลยว่า ทักษิณเป็นนักโทษที่อาจจะวิกฤตจนเสี่ยงต่อการจะเสียชีวิต
ในคืนแรกที่ทักษิณเข้าเรือนจำและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลตำรวจอย่างเร่งด่วนนั้น กรมราชทัณฑ์อ้างว่า มีอาการนอนไม่หลับแน่นหน้าอกวัดความดันโลหิตสูงระดับออกซิเจนปลายนิ้วต่ำ ซึ่งอาการแบบนี้หากอยู่ใกล้มือหมอแล้วไม่ใช่อาการที่จะวิกฤตจนถึงแก่ชีวิตหรือต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลถึง 6 เดือนเลย
แน่นอนแหละว่า เพื่อหาเหตุให้ทักษิณได้รักษาอยู่ในโรงพยาบาลมีการอ้างว่ามีการผ่าตัดทักษิณ 2 ครั้ง ซึ่งไม่ว่าจะผ่าตัดอะไรก็ไม่มีเหตุที่จะนอนอยู่ในโรงพยาบาลนานถึง 6 เดือน เช่นเดียวกันแถมยังเป็นนักโทษที่ได้นอนพักในห้องพิเศษที่ได้ชื่อว่าเป็นห้องพักที่ดีที่สุดของโรงพยาบาลตำรวจด้วย
แต่ถามว่าแม้จะมีคนร้องเรียนทักษิณ ร้องเอาผิดโรงพยาบาลตำรวจ และกรมราชทัณฑ์ แต่ทักษิณกลัวไหม เรากลับพบว่า ทักษิณไม่แสดงอาการหวาดกลัวออกมาให้เห็นเลย เขาแสดงให้เห็นเหมือนกับว่า ใครจะเอาผิดเขาได้ คนที่เป็นข้าราชการทั้งกรมราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจก็เป็นข้าราชการที่ต้องขึ้นต่ออำนาจรัฐที่อยู่ในมือของทักษิณ ไม่มีใครกล้าที่จะไปเป็นพยานเพื่อให้โทษกับทักษิณแน่ เพราะเสี่ยงต่อชีวิตการรับราชการ
คดีนี้จึงดูเหมือนว่า เป็นคดีที่ยากมากที่จะทำความจริงให้ปรากฏเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคมแบบที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนว่ามา แม้สังคมทั้งสังคมจะจับตาว่า ป.ป.ช.จะสามารถทำความจริงเรื่องนี้ให้กระจ่างเพื่อให้เกิดความยุติธรรมได้ไหม หรือว่าไต่สวนความผิดไปแล้วชี้ว่า ไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้ทักษิณ แต่ทักษิณมีอาการใกล้ตายระหว่างที่มีโทษจำคุกจริง ก็ต้องทำให้สังคมเชื่อให้ได้ว่า นี่ไม่ใช่ขบวนการต้มตุ๋นแหกตาประชาชนเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และไม่ขัดแย้งกับสภาพของทักษิณตอนนี้ที่ไม่มีอาการอย่างที่ว่าเลยเมื่อพ้นโทษออกมาจากคุก
แต่สำหรับผมคิดว่า เรื่องนี้มีทางออกถ้าหากว่า ป.ป.ช.ไม่มีกฎหมายหรือช่องทางที่จะเอาเวชระเบียนของทักษิณมาตรวจสอบได้ ก็ให้ทางโรงพยาบาลตำรวจแจ้งมาสิครับว่า แพทย์ท่านไหนของโรงพยาบาลตำรวจที่เป็นเจ้าของไข้ทักษิณ แม้ว่าทักษิณจะถูกอ้างว่ามีอาการป่วยหลายโรค ก็แจ้งมาเลยว่า แต่ละอาการของทักษิณที่มีแพทย์เจ้าของไข้นั้นมีใครบ้าง ก็เรียกแพทย์เหล่านั้นมาสอบสวน เพราะนี่ไม่ใช่ความลับที่จะต้องปิดบัง
อยากรู้เหมือนกันว่าจะมีแพทย์โรงพยาบาลตำรวจรายไหนรับว่าตัวเองเป็นเจ้าของไข้ทักษิณบ้าง และถ้ามีแพทย์ท่านใดท่านหนึ่งรับก็ดูว่า แพทย์ท่านนั้นมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางตรงกับโรคที่อ้างว่าทักษิณกำลังใกล้ตายบ้าง เช่น ถ้านายแพทย์ใหญ่ พล.ต.ท.โสภณรัชต์ รับว่าตัวเองเป็นเจ้าของไข้ทักษิณ แต่นายแพทย์ใหญ่ท่านมีความเชี่ยวชาญด้านสมองก็ไม่ใช่โรคที่ทักษิณถูกอ้างถึงจึงไม่สอดคล้องกับความจริง
ป.ป.ช.ใช้อำนาจสอบถามไปที่โรงพยาบาลตำรวจเลยครับว่า ใครคือแพทย์เจ้าของไข้ของทักษิณแล้วเรียกมาสอบ เรื่องแบบนี้ปิดบังกันไม่ได้ และไม่มีกฎหมายไหนคุ้มกันเอาไว้ ซึ่งได้ข่าวมาเหมือนกันว่า ตอนนี้ไม่มีแพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของไข้ทักษิณ
ชี้ช่องไว้แบบนี้แต่ไม่รู้ว่าจะหวังพึ่ง ป.ป.ช.ได้ไหมในวันที่อำนาจของทักษิณกำลังล้นฟ้า ณ เวลานี้
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan