ไหนๆ เริ่มต้นสัปดาห์นี้ด้วยเรื่องของ “อียู-อีย้วย” ...ปิดท้ายสัปดาห์นี้เลยคงต้องขออนุญาตไปตรวจสอบลักษณะอาการของบรรดาประเทศยุโรปตะวันตกทั้งหลายเพิ่มเติมอีกสักนิด เพราะการหวนกลับมาเป็นประธานาธิบดีอเมริกันใหม่อีกรอบของ “ทรัมป์บ้า” ดูๆ...จะส่งผลให้บรรดาผู้นำอียูแต่ละราย เกิดความหวาดผวาระส่ำระสายกันไปมิใช่น้อย แบบเดียวกับที่คุณพี่ “เบื๊อก-บัญชา คามิน” ท่านว่าเอาไว้นั่นแหละว่า เผลอๆ น่ากลัวซะยิ่งกว่า “ปูติน” ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า!!!
ไล่มาจากผู้นำฝรั่งเศสอย่าง “มาครง คนหนุ่ม” (Emmanuel Macron) ที่มีคิวไปปาฐกถา ไปแสดงความคิด ความเห็น ในที่ประชุมสุดยอดประชาคมการเมืองยุโรป ที่กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี หลังการเลือกตั้งอเมริกาผ่านไป 2 วัน หรือในวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยถึงกับต้องหยิบยกอุปมา-อุปไมยมาใช้เป็นตัวเปรียบเทียบ เปรียบเปรย สถานะความเป็นไปของโลกและของบรรดาประเทศยุโรปทั้งหลายทุกวันนี้แบบชนิดสุดแสนพิสดารเป็นอย่างยิ่ง คือประมาณว่า...ความเป็น “สังคมเปิด” หรือ “สังคมประชาธิปไตยเสรีนิยม” แบบ “ลิเบอร่าน” ของบรรดาประเทศในยุโรปนั้น อุปมา-อุปไมยไม่ต่างไปจากประเภทพวก “สัตว์กินพืช” เป็นอาหาร (Herbivore) ที่ถูกรายล้อมไว้ด้วยบรรดาพวก “สัตว์กินเนื้อ” (Carnivores) ต่างๆ ในแต่ละราย ด้วยเหตุนี้...ถ้าหากบรรดาฝรั่งยุโรปทั้งหลายต้องการที่จะ “เอาตัวรอด” หลังจากการผงาดขึ้นมามีอำนาจอีกรอบของ “ทรัมป์บ้า” ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องหาทางปรับตัว ปรับพฤติกรรมและอุปนิสัยต่างๆ ให้กลายเป็นพวกที่พร้อมจะกินในทุกสิ่งทุกอย่าง (Omnivorous) ไม่ว่าจะเป็นประเภทเนื้อ หรือผักก็ตาม!!!
หรือถ้าว่ากันตามคำพูดแบบคำต่อคำก็คือ... “สำหรับผมแล้ว ตัวอย่างง่ายๆ ก็คือโลกใบนี้ถูกสร้างขึ้นมาให้มีทั้งสัตว์กินพืชและสัตว์กินเนื้อ โดยถ้าหากเรายังคงตัดสินใจที่จะดำรงความเป็นสัตว์กินพืชอีกต่อไป ในที่สุด...พวกสัตว์กินเนื้อก็จะเป็นฝ่ายชนะ และเราก็จะกลายเป็นเพียงแค่...ตลาด...ของพวกเขา!!!” นี่...ต้องเรียกชักเกิดอาการ “บรรลุ” อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเกิดความคิด ความอ่าน ว่าถึงเวลาแล้ว...ที่บรรดาประเทศยุโรปทั้งหลายต้อง “เลิกพึ่งพา” ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา หรือจีนก็ตามโดยต้องเร่งหันมาเพิ่มบทบาทของตัวเองในเวทีโลกให้ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก หรือ “อียู...ควรยุติบทบาทของการเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตของใครต่อใครทั้งมวล เพราะความเป็นสังคมเปิด และสังคมประชาธิปไตยเสรีของเราก็คือเป้าหมายของพลังอำนาจที่ผิดแผกแตกต่างออกไป ที่พยายามแบ่งแยกเราทั้งหลายออกจากกัน...”
แม้แต่ความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาในด้านความมั่นคงจากองค์กรพันธมิตรทางทหารอย่าง “NATO” ที่มีอเมริกาเป็นผู้นำ บรรดาประเทศยุโรปทั้งหลายต้องพยายามหันมาแสดงบทบาทของตัวเองที่เป็นไปเพื่อชาวยุโรป เพราะ “เราไม่อาจเป็นเพียงแค่ตัวแทนความมั่นคงของอเมริกาไปตลอดชั่วนิจนิรันดร” พร้อมทั้งพยายามปลุกเร้า ปลุกกระตุ้น บรรดาประเทศยุโรปเอาไว้ด้วยว่า... “ทรัมป์ได้รับเลือกจากอเมริกันชนและเขาจะต้องพยายามปกป้องผลประโยชน์ของชาวอเมริกันเป็นหลัก อันเป็นสิ่งที่ถูกต้องและชอบธรรมแล้ว แต่คำถามก็คือ...แล้วเราล่ะ!!! เราพร้อมหรือยังที่จะปกป้องผลประโยชน์ของพวกเราชาวยุโรป???” ส่วนการเปลี่ยนอุปนิสัยใจคอ เปลี่ยนพฤติกรรมหันไปกินทั้งเนื้อ ทั้งผัก จะต้องเป็นไปในแบบไหน? อย่างไร? แม้ผู้นำฝรั่งเศสรายนี้จะไม่ได้ลงลึกในรายละเอียด แต่ก็น่าจะพอนึกภาพได้ไม่ยากว่า โอกาสที่จะรวมตัวกันแบบเหนียวแน่น หนึบหนับของ “โลกตะวันตก” หรือ “โลกขั้วอำนาจเดียว” โดยมีสายใย ความผูกพัน อันยืดเยื้อยาวนานระหว่างพวกอดีตจักรวรรดินิยมด้วยกัน ตลอดสองฟากฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก นับจากนี้...มันน่าจะ “เป็ง-ปาย-ม่าย-ล่าย” อีกต่อไปแล้ว!!!
ยิ่งโดยเฉพาะสภาพที่เศรษฐกิจยุโรปแทบทั้งยุโรป ต่างกำลัง “กรอบเป็นข้าวเกรียบเมืองเพชร” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งปวง โอกาสที่จะรวมมือ รวมตีน หันไปรุม “กระทืบรัสเซีย” ตามการชี้แนะ ชี้นำของคุณพ่ออเมริกา ก็น่าจะยิ่งลำบากยิ่งขึ้นไปอีก หรืออย่างที่อดีตประธานธนาคารกลางยุโรปและอดีตนายกรัฐมนตรีอิตาลี “นายMario Draghi” ออกมาให้ข้อสรุปไว้แบบตรงไป-ตรงมา ว่าวาระเร่งด่วนสำคัญของบรรดาประเทศยุโรปทั้งหลาย คงไม่ใช่การเตรียมตัวที่คิดจะไปเปิดศึก ทำสงคราม กับประเทศรัสเซีย อย่างที่ “คุณป้ามหาภัย” “นางUrsula Von der Leyen” ประธานสหภาพยุโรป หรือตัวแทนกรรมาธิการด้านความมั่นคง “นายAndrius Kubilius” ออกมาแสดงอาการติดเชื้อโรค “Russophobia” ไปเมื่อวัน-สองวันมานี้ เพราะที่สำคัญยิ่งกว่านั้นเอามากๆ ก็คือ...การที่จะต้องเร่ง “ยกเครื่องทางเศรษฐกิจ” กันแบบใหม่หมดทั้งด้าม ด้วยเหตุเพราะสภาพเศรษฐกิจของยุโรปทุกวันนี้ อยู่ในอาการ “หยุดนิ่ง” (Stagnating) ชนิดที่ต้องหันมาทุ่มเทการลงทุนทางเศรษฐกิจให้ยิ่งกว่าครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียอีก...
ส่วนสาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจยุโรปต้องหยุดนิ่งแบบ “เจ๊งแล้ว” หรือ “ใกล้เจ๊ง” เต็มที...ตามความเห็นของอดีตประธานธนาคารกลางยุโรปรายนี้ คงไม่มีอะไรมากไปกว่า “เพราะการขาดแคลนพลังงานราคาถูกจากรัสเซีย” นั่นเอง!!! แม้ว่าจะหันไปหาพลังงานจากอเมริกามาเป็นตัวทดแทน แต่ก็เป็นไปในแบบ “พันธมิตรของเราอย่างอเมริกา...เป็นฝ่ายได้เปรียบ” หรือต้องไปซื้อแพง-ขายแพงไม่ว่าจากอเมริกาหรือจากตัวแทนนายหน้าพลังงานรัสเซียสูงกว่าราคาตลาดไม่รู้จะกี่เท่าต่อกี่เท่า และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง ที่ทำให้ผู้นำรัสเซียอย่างประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” เลยอดไม่ได้ที่จะกล่าวไว้ในส่วนหนึ่งของปาฐกถาขณะที่ไปแสดงความคิด ความเห็น ต่อบรรดานักคิด-นักวิชาการชาวรัสเซียที่สโมสรเสวนา “Valdai International Discussion Club” ณ กรุงโซชิ เมื่อวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา แบบชนิด “ปวดแสบ-ปวดร้อน” เอามากๆ คือคำพูดที่ว่า “เมื่อผมพูดกับเพื่อนสนิทมิตรสหายและบรรดาผู้เชี่ยวชาญหลายต่อหลายราย...ว่าอะไรเป็นเหตุแห่งความขาดแคลนของบรรดาประเทศอียู คำตอบก็ดูจะเป็นไปในแนวเดียวกัน นั่นก็คือพวกเขาขาดแคลน...สมอง!!!”
นี่...ต้องเรียกว่า พอๆ กับแล่เนื้อเอาเกลือทาเอาเลยถึงปานนั้น แต่ผู้นำรัสเซียท่านก็ได้ยกเอาเหตุ-เอาผลมาอธิบายเป็นองค์ประกอบแบบชนิดแทบเถียงไม่ออกไว้ด้วยว่า “นั่นไม่ใช่เพราะเขาโง่...แต่เพราะการตัดสินใจทางเศรษฐกิจของพวกเขา ถูกกระทำโดยพวกนักการเมือง ผู้ซึ่งไม่รู้เรื่องอะไรเลยในทางเศรษฐกิจ” หรือ “เป็นการตัดสินใจที่แสดงให้เห็นถึงความป่วยไข้และการไม่ได้ตั้งมั่นอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แต่อยู่บนพื้นฐานการเมืองล้วนๆ” ...ก่อนที่จะพยายามชี้ให้เห็นถึง “ข้อเท็จจริง” แห่งความเป็นไปของโลกอีกด้วยว่า... “บรรดาประเทศตะวันตกทั้งหลายคงต้องยอมรับความจริงว่าโลกทุกวันนี้...ได้กลายเป็นโลกหลายขั้วอำนาจไปเรียบร้อยแล้ว และถึงเวลาแล้วที่ฝ่ายตะวันตกจะต้องละทิ้งความปรารถนา ความทะเยอทะยานที่จะควบคุมและครอบงำโลก หรือพยายามดำรงตนเป็นจ้าวโลกอีกต่อไป เพราะตะวันตกไม่ได้มีอำนาจที่เบ็ดเสร็จสมบูรณ์ (Absolute Power) เหมือนเดิมๆ ต่อไปอีกแล้ว...”
จริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ...คงต้องเก็บไปคิด ไปพิจารณากันเอาเอง แต่ที่แน่ๆ ก็คือความพยายามที่จะอาศัย “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างยูเครน เป็นตัวบั่นทอน ทำลาย ศักยภาพในทุกๆ ด้านของรัสเซีย ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่? หรือจะก่อให้เกิดความเจ็บปวดรวดร้าวกับตัวเองขนาดไหน? มาถึงทุกวันนี้...หรือเมื่อผู้นำสูงสุดของอเมริกากลายเป็น “ทรัมป์บ้า” ไปแล้วซะนี่!!! บรรดาความเพียรพยายามดังกล่าวก็ดูน่าจะสิ้นสุด ยุติ กันในอีกไม่นาน-ไม่ช้า ไม่เพียงแต่การคิดจะหาอาวุธร้ายๆ อย่างจรวดพิสัยไกลจากฝ่ายตะวันตก ยิงเข้าไปในดินแดนรัสเซีย อันเป็นสิ่งที่รัฐบาลและกองทัพยูเครนปรารถนาเสียเหลือเกิน แต่ถ้าว่ากันตาม “รายงานข่าว” ของหนังสือพิมพ์ “The Guardian” ของอังกฤษ เมื่อช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา (8 พ.ย.) เห็นว่า...นายกรัฐมนตรีรายใหม่จากพรรคแรงงานของอังกฤษ “นายKeir Starmer” ชักออกอาการยึกๆ-ยักๆ ไม่ยอมส่งจรวด “Storm Shadow” ไปให้ยูเครน แถมยังไม่คิดเดินทางไปเยี่ยมเยียน ให้กำลังใจ “ตัวตลก-ตัวแทน” กันถึงที่ ทั้งที่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนี้ร่วมๆ 4 เดือนเข้าไปแล้ว ส่งผลให้สัมพันธภาพระหว่างอังกฤษกับยูเครนตกต่ำกว่าครั้งใดเท่าที่เคยมีมา ยิ่งไปกว่านั้น..กระทั่งคุณพ่ออเมริกาผู้สนับสนุนรายสำคัญของยูเครน รัฐมนตรีกลาโหม “Lloyd Austin” ก็ยังได้ออกมาปฏิเสธคำขอร้อง วิงวอนของ “นายVolodymyr Zelensky” ผู้นำยูเครน ที่จะใช้จรวด “ATACMS” ของอเมริกาเล่นงานรัสเซียอีกต่างหาก เมื่อช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา (9 พ.ย.) จะด้วยเหตุเพราะคำพูดของผู้นำรัสเซียเข้าหูซ้ายแต่ไม่ได้ถึงกับทะลุออกไปหูขวา หรือไม่? อย่างไร? ก็ตามที โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า “ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดการใช้อาวุธนิวเคลียร์” นั่นแล...
สรุปเอาเป็นว่า...มาถึงช่วงระหว่างนี้ หรือช่วงที่ “ทรัมป์บ้า” หวนกลับมาเป็นประธานาธิบดีอเมริกาได้อีกครั้ง ส่งผลให้บรรดาผู้นำอียูในแต่ละราย ยิ่งออกอาการหนักไปทาง “อีย้วย” ยิ่งเข้าไปทุกทีแม้แต่ “พิชัย นริพทะพันธุ์ แห่งเยอรมนี” (หัวล้าน) อย่าง “นายOlaf Scholz” ยังต้องออกมาให้สัมภาษณ์กับโทรทัศน์ “ARD” ของเยอรมนีเมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (10 พ.ย.) ว่ากำลังเตรียมตัวที่จะต่อสาย ต่อโทรศัพท์ ไปพูดคุยกับผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “ปูติน” ในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกลนับจากนี้เพื่อ “หาหนทางที่จะให้มีการเจรจาสันติภาพระหว่างยูเครน-รัสเซีย” นี่...ช่างเป็นอะไรที่ลื่นไถล มันแผลบ แถมจุ๊กกรูๆ ยิ่งกว่า “ทนายเดชา” บ้านเราไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า!!!