“ศัตรูของกอไผ่ก็คือ พร้าที่มีด้ามทำด้วยต้นไผ่ พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์ อดีตอธิบดีกรมการศาสนา”
ข้อความข้างต้นเป็นข้อเขียนของ พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์ อดีตอธิบดีกรมการศาสนา ได้เขียนเกี่ยวกับศัตรูของกอไผ่ว่า วันหนึ่งสมาชิกของกอไผ่ได้ประชุมกัน และไผ่ชราได้ถามที่ประชุมว่า ศัตรูของกอไผ่คืออะไร ไผ่หนุ่มสาวได้ตอบว่า ไฟบ้าง ลมบ้าง น้ำบ้าง ไผ่ชราจึงพูดขึ้นว่า ผิดทั้งหมด และบอกว่าเป็นศัตรูแท้จริงของกอไผ่ก็คือ มีดพร้าที่มีด้ามทำด้วยต้นไผ่
โดยนัยแห่งเรื่องเล่าในเชิงอุปมาอุปไมยดังกล่าวข้างต้น ผู้เขียนต้องการชี้ให้เห็นว่าศัตรูภายในมีศักยภาพในการทำลายหมู่คณะมากกว่าศัตรูภายนอก
ในทำนองเดียวกัน ศัตรูของศาสนาพุทธที่ทำลายศาสนาพุทธให้เสื่อมสลายก็คือ ชาวพุทธ นั่นเอง ซึ่งตรงกับพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสตอบคำถามของพระกิมพิละที่กราบทูลถามพระพุทธองค์ว่า “ข้าแต่พระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว อะไรเป็นเหตุ เป็นปัจจัยทำให้พระสัทธรรมคำสอนของพระองค์ตั้งอยู่ไม่ได้นาน”
พระพุทธเจ้าได้ทรงตอบว่า “ดูก่อนกิมพิละ เมื่อเราตถาคตดับขันธปรินิพพานแล้ว พุทธบริษัท 4 ในพระธรรมวินัยนี้คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไม่เคารพยำเกรงในพระศาสนา ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ในการฝึกและไม่เคารพในกันและกัน นี่แล คือเหตุปัจจัยทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ไม่ได้นานเมื่อตถาคตปรินิพพานไปแล้ว”
ประเทศไทยเป็นที่มั่นของพุทธศาสนานิกายเถรวาท นับตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงรัตนโกสินทร์ ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศนับถือพุทธ และพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์เป็นพุทธมามกะ ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม และเป็นศาสนูปถัมภก จึงทำให้ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์อยู่เย็นเป็นสุขตลอดมา
แต่วันนี้ และเวลานี้สังฆมณฑลในประเทศไทยสั่นคลอน ไม่มั่นคงสถาพร เฉกเช่นในอดีต เนื่องจากพุทธบริษัท 4 ส่วนหนึ่งทั้งที่เป็นพระภิกษุ และคฤหัสถ์ได้ตั้งตนเป็นผู้รู้ธรรม และเผยแพร่สิ่งที่ตนรู้และเข้าใจผิดแผกไปจากคำสอนของพระพุทธองค์ ทั้งบางรูปบางคนได้ประดิษฐ์วาทกรรมขึ้นมาใหม่ และกล่าวหาผู้ที่พูดและทำต่างจากตนว่าไม่ถูกต้อง เป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งวุ่นวายเป็นอันตรายต่อวงการสงฆ์โดยรวม โดยเฉพาะพระภิกษุบางรูปที่ประพฤตินอกลู่นอกทาง อวดอ้างคุณวิเศษเพื่อจูงใจให้คนศรัทธา และแสวงหาลาภสักการะในลักษณะที่เรียกว่า อเนสนา แสวงหาอันไม่สมควรแก่เพศภาวะของนักบวชในพุทธศาสนา บางรูปถึงขั้นเรียกได้ว่าประทุษร้ายสกุล โดยการประจบสอพลอ ลดตัวลงรับใช้คฤหัสถ์เข้าข่ายเสี่ยงต่อการล่วงละเมิดสังฆาทิเสสข้อที่ 13
ส่วนคฤหัสถ์บางคนก็ไม่ด้อยไปกว่าภิกษุตั้งตนเป็นผู้รู้สอนธรรมด้วยวาทธรรมใหม่ๆ เพื่อเอาใจคนรุ่นใหม่ ไม่สนใจว่าเป็นวจีทุจริต ข้อพูดคำหยาบ สร้างบาปกรรมด้วยการพูดส่อเสียดคนอื่น ด้วยเข้าใจว่าตนเองกำลังพูดสิ่งที่เรียกว่า ธรรม
ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวแล้ว ถ้าปล่อยไปให้เป็นอยู่เช่นนี้ต่อไป พุทธศาสนาจะเสื่อมถอย ด้อยค่าในสายตาผู้รู้ ผู้เข้าใจในธรรมอันถ่องแท้
ดังนั้น จึงถึงเวลาแล้วที่สงฆ์ฝ่ายปกครองจะต้องลงมารับรู้ และหาทางแก้ไขด้วยการประชุมสงฆ์ ทำสังคายนาชำระพระธรรมวินัยให้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง โดยยึดหลักมรรคมีองค์ 8 เป็นแนวทางในการเผยแพร่ และในขณะเดียวกัน แก้ไข พ.ร.บ.สงฆ์ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงใจในปัจจุบัน โดยเฉพาะบทลงโทษผู้กระทำผิดพระวินัยไม่ควรปล่อยให้คนผิดเติบโตจนยากแก่การจัดการ เฉกเช่นในอดีต