เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตแวะไปแถวๆ ยุโรป ไปดูพวก “อียู-อีย้วย” เขาไว้สักหน่อย เพราะการหวนกลับมาเป็นประธานาธิบดีอเมริกาอีกรอบของ “ทรัมป์บ้า” คงไม่ใช่เรื่องที่ “พูดกันสนั่นเมือง” แต่เฉพาะในประเทศอเมริกาเท่านั้น เพราะอย่างที่การ์ตูนนิสต์มือวางอันดับหนึ่งของบ้านเรา คุณพี่ “เบื๊อก-บัญชา คามิน” ท่านเปรียบเปรยไว้ในเว็บไซต์ “ผู้จัดการ” เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมานั่นแหละว่า การกลับมาของ “ทรัมป์บ้า” อาจเป็นอะไรที่น่าสยดสยอง น่ากลัว น่าอกสั่นขวัญแขวน สำหรับพวกอียู-อีย้วย หรือบรรดาประเทศยุโรปตะวันตกทั้งหลาย ยิ่งกว่า “ปูติน” เอาเลยก็ไม่แน่!!!
หรืออย่างที่ผู้นำประเทศสโลวาเกีย นายกรัฐมนตรี “Robert Fico” ผู้ที่ยังอุตส่าห์รอดตายมาได้จากการถูกบุกยิงกลางเมืองเมื่อเดือนพฤษภาคมที่เพิ่งผ่านมานี่เอง เนื่องจากดันไปประกาศว่าไม่คิดจะช่วยเหลือ สนับสนุนทางทหารให้ประเทศยูเครนสู้กับรัสเซียต่อไปอีกแล้ว ได้ออกมาพูดถึงชัยชนะของ “ทรัมป์บ้า” ในการเลือกตั้งคราวนี้ไว้ค่อนข้างเข้าท่า น่าคิด น่าสะกิดใจมิใช่น้อย นั่นก็คือ...ถือเป็น “a defeat of liberal and progressive ideas” หรือเป็นความพ่ายแพ้ในแง่แนวคิด อุดมคติ อุดมการณ์ ของพวกเสรีนิยมและผู้ที่คิดว่าตัวเองเป็นพวกหัวก้าวหน้า หรือบรรดาพวก “ลิเบอร่าน” ทั้งหลายนั่นเอง!!!
คือไม่ใช่แต่เฉพาะรัฐบาลเดโมแครตของคุณปู่ “โจ ซึมเซา” และ “นางกมลา แฮร์ริส” เท่านั้นที่แพ้ แต่บรรดารัฐบาลเสรีนิยมในยุโรปแต่ละราย ไม่ว่าจะอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส ฯลฯ ที่ยึดมั่น ถือมั่น อยู่กับแนวคิด อุดมการณ์ อุดมคติ ว่าโลกใบนี้ไม่มีพรมแดน ไม่เหลือเส้นเขตแดนใดๆ ต่อไปอีกแล้ว เนื่องมาจากอำนาจ อิทธิพลของ “ทุนนิยม” หรือบรรดา “บรรษัทข้ามชาติ” ทั้งหลาย ที่สามารถลอดรัฐ-ข้ามรัฐ ยักย้าย ถ่ายเททุนและแรงงานได้โดยเสรี จนทำให้ความเป็นรัฐชาติ อธิปไตยแห่งชาติหรือแม้แต่เอกลักษณ์ อัตลักษณ์ของชาติ แทบไม่มีความหมายใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ต่างก็ออกอาการ “แพ้แล้ว-เจ๊งแล้ว” หรือ “ใกล้แพ้-ใกล้เจ๊ง” ไม่ต่างอะไรไปจากรัฐบาลอเมริกันนั่นแล...
ล่าสุด...รัฐบาลเยอรมนีของ “นายOlaf Scholz” ที่ประกอบไปด้วยพรรคการเมือง 3 พรรค คือพรรค “SDP” (Social Democrat Party) พรรค “Green” และพรรค “FDP” (Free Democratic Party) ก็ทำท่าว่าจะไปแหล่-มิไปแหล่ อันเนื่องมาจากการตัดสินใจ “ถีบทิ้ง” รัฐมนตรีคลังของพรรค “FDP” “นายChristian Linder” ออกจากรัฐบาลผสม เพราะดันไปขัดอก-ขัดใจต่อการขอเพิ่มเงินงบประมาณช่วยเหลือประเทศยูเครน ส่งผลให้พรรคดังกล่าวเลยต้องถอนตัวออกจากรัฐบาลจนต้องกลายสภาพเป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ คือทั้งๆ ที่ “เศรษฐกิจเยอรมนี” ถึงขั้นใกล้เจ๊ง ใกล้ฉิบหาย ระบบอุตสาหกรรมทั้งระบบกำลังพังทลาย แต่ด้วยความเป็น “ลิเบอร่าน” หรือความยึดมั่นอุดมการณ์ อุดมคติแบบ “เสรีนิยมใหม่” ชนิดแทบไม่ได้สนใจต่อ “เศรษฐกิจที่แท้จริงของเยอรมนี” ดังที่รัฐมนตรีคลัง “นายChristian Linder” ต้องออกมาตำหนิติติง กล่าวหาผู้นำเยอรมนีไปในแนวนี้ นั่นเอง...
ด้วยเหตุนี้...รัฐบาลของ “นายOlaf Scholz” จะอยู่-จะไป คงต้องไปวัดตัดสินในการโหวต “ไว้วางใจ-ไม่ไว้วางใจ” ช่วงกลางเดือนมกราคมที่ใกล้จะมาถึง ว่าจะรอด-ไม่รอด ถ้าหากไม่รอดก็หนีไม่พ้นต้องยุบสภาเลือกตั้งกันใหม่ในเดือนมีนาคมปีหน้า โดยโอกาสที่จะหวนกลับมาเป็นผู้นำรัฐบาลเยอรมนีอีกครั้งแบบเดียวกับ “ทรัมป์บ้า” ต้องเรียกว่า...แทบมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แม้แต่นิด เพราะเท่าที่ผ่านมา “คะแนนนิยม” ของพรรครัฐบาลอย่าง “SDP” และพรรค “Green” แทบไม่เหลือติดชักโครกเอาเลยก็ว่าได้ ส่งผลให้ประธานร่วมจากพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามอย่าง “AfD” (Alternative for Germany) “นางAlice Weidel” และ “Tino Chrupulla” อดไม่ได้ต้องออกมาแสดงความร่าเริง ยินดี ด้วยการทวีตข้อความในเว็บไซต์ “X” ถึงขั้นว่าความพังพินาศของรัฐบาลผสม 3 พรรค ถือเป็นการ “ปลดปล่อยประเทศเยอรมนี” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ส่วนอังกฤษนั้น...ถ้ามองจากความพ่ายแพ้ของพรรคอนุรักษนิยมซึ่งครองความเป็นรัฐบาลมานานนับเป็นทศวรรษ ก็ต้องเรียกว่า “เจ๊ง” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทิ้งให้อดีตจักรวรรดิที่เคยได้ชื่อว่า “พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน” อาจถอยกลับไปสู่ความเป็น “ประเทศโลกที่สาม” อย่างที่นายกรัฐมนตรีรายใหม่แห่งพรรคแรงงาน “นายKeir Starmer” ต้องออกมาปรารภ รำพึง เอาเลยก็ไม่แน่ และอาจด้วยเหตุแห่งความตกต่ำ ต่ำตม ไม่ว่าในทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม หรือไม่? อย่างไร? แล้วแต่จะคิด เลยทำให้ผู้อำนวยการข่าวกรอง “MI5” ของอังกฤษ “นายKen McCallum” ต้องออกมากล่าวหา มาโยนบาปไปให้กับประเทศหมีขาวรัสเซีย ว่ามี “เป้าหมาย” ที่จะก่อให้เกิดจลาจลบนท้องถนนในเกาะอังกฤษและบรรดาประเทศยุโรปทั้งหลาย ชนิดที่ผู้สื่อข่าวสำนักข่าว “BBC” ต้องหยิบเอามาใช้เป็นคำถามต่อประธานาธิบดี “ปูติน” ระหว่างการประชุมกลุ่มประเทศ “BRICS” ครั้งที่ 16 ที่เมือง “Kazan” เล่นเอาผู้นำรัสเซียถึงกับต้องสรุปว่า...นี่คือข้อกล่าวหาที่ไร้สาระระดับสุดติ่งกระดิ่งแมว (utter nonsense) เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
และมันก็น่าจะจริงอย่างที่ประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านว่าเอาไว้นั่นแหละ คือ “เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นบนท้องถนนในอังกฤษหรือในบรรดาประเทศยุโรปทั้งหลาย คือผลพวงจากแนวนโยบายภายในของประเทศนั้นๆ” ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับรัสเซียเอาเลยแม้แต่น้อย หรือ “เหตุที่เศรษฐกิจยุโรปต้องโซซัดโซเซใกล้จะถึงจุดภาวะถดถอยและบางประเทศอาจถึงขั้นถดถอยไปแล้วนั่นไม่ใช่ความผิดใดๆ ของรัสเซีย แต่มันเกิดจากการตัดสินใจของตะวันตกเอง ที่ปฏิเสธพลังงานจากรัสเซีย” อันกลายเป็นเงื่อนไขและเหตุปัจจัย หรือเป็นผลพวงที่อาจก่อให้เกิดการจลาจลขึ้นมาในท้องถนนของแต่ละประเทศ ส่วนรัสเซียเองนั้น... “เราไม่ได้คิดจะสู้กับใคร ไม่ได้ต้องการที่จะเผชิญหน้าใครๆ ทั้งสิ้น เราเพียงแต่เดินไปตามหนทางของเรา ด้วยการสร้างสรรค์กลไกใหม่ๆ ในการร่วมมือกับประเทศต่างๆ บนพื้นฐานแห่งความเสมอภาคและเคารพในประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย” นี่...ต้องเรียกว่าด้วยคำตอบทำนองนี้เล่นเอาผู้สื่อข่าว “BBC” แทบหงายท้องคาห้องแถลงข่าว เอาเลยก็ว่าได้!!!
สำหรับฝรั่งเศสนั้น...ถึงแม้ผู้นำอย่างประธานาธิบดี “Emmanuel Macron” ยังไม่ถึงกับ “เจ๊ง” แต่โดยลักษณะอาการของรัฐบาลทั้งรัฐบาล น่าจะอยู่ในสภาพ “ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี” อยู่แล้วแน่ๆ เพราะถ้าว่ากันตามผลสำรวจความนิยมช่วงเดือนตุลาคม (9-17 ต.ค.) ของสำนัก “IFOP” ซึ่งได้รับการเปิดเผยโดยหนังสือพิมพ์ “Le Journal Du Dimanche” เมื่อไม่นานมานี้ จากกลุ่มตัวอย่างประมาณ 2,008 ราย โดยมีระดับความผิดพลาดเพียงแค่ 1-1.4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง สรุปได้ว่าบรรดาชาวฝรั่งเศสจำนวนถึง 78 เปอร์เซ็นต์ ต่างรู้สึกผิดหวังและรับไม่ได้กับผู้นำประเทศตัวเองไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งพวง จนแม้แต่นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส “นายMichel Barnier” ก็ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างอะไรไปจากกัน คือมีชาวฝรั่งเศสถึง 60 เปอร์เซ็นต์ที่ไม่เอาแล้ว ไม่ไหวแล้ว!!! ต่อการบริหารงานของคณะรัฐบาลชุดนี้...
เรียกว่า...ไล่มาตั้งแต่รัฐบาลอเมริกาไปจนถึงบรรดาพันธมิตร “พรมเช็ดเท้า” หลักๆ ในยุโรป ไม่ว่าเยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส ล้วนแล้วแต่ “นอนมาโดยมีพระสวดนำหน้า” ก่อนแบกขึ้นไปบนเมรุเพื่อเผาหลอก-เผาจริงด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งเมื่อ “ทรัมป์บ้า” ดัน “นอนมาโดยไม่ต้องมีพระสวดนำหน้า” แถมยังป่าวประกาศออกมาดังๆ บนเวทีฉลองชัยชนะอีกด้วยว่า... “สี่ปีนับจากนี้เราจะไม่มี...สงคราม...อีกต่อไป” ขณะที่ประธานสหภาพยุโรป คุณป้ามหาภัย “นางUrsula Von der Leyen” กลับออกมาป่าวประกาศไปถึงบรรดาสมาชิกอียู-อีย้วยทั้งหลายว่า “การลงทุนที่ดีที่สุดของยุโรป...คือการลงทุนเพื่อความมั่นคงของยูเครน” รวมทั้งได้มอบหมายให้ผู้ที่ตัวเองแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคง “นายAndrius Kubilis” อดีตนายกรัฐมนตรีลิทัวเนีย ประเทศเล็กๆ ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของอดีตสหภาพโซเวียต ออกมาตอกย้ำอีกแรงว่า... “วาระสำคัญสูงสุดของคณะผู้บริหารสหภาพยุโรปชุดใหม่ ก็คือการสร้างความมั่นใจในตนเอง เพื่อพร้อมที่จะรับมือกับ...สงคราม!!!” โดยเฉพาะสงครามอันมีที่มาจาก “ความก้าวร้าวของรัสเซีย”...
สรุปง่ายๆ ว่า...ขณะที่ผู้ซึ่งเคยอาศัยยุโรปเป็น “พรมเช็ดเท้า” มาโดยตลอด อย่างคุณพ่ออเมริกา ไม่คิดจะเอาแล้วกับสงคราม กับการใช้ “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างยูเครนเล่นงานประเทศรัสเซีย แต่บรรดาประเทศเสาหลักทั้งหลายในยุโรป ที่ล้วนแล้วแต่ “กรอบเป็นข้าวเกรียบเมืองเพชร” ไปด้วยกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะเมื่อต้องเติมเงิน-เติมอาวุธให้กับยูเครน ชนิดหมดเงินไปแล้วไม่น้อยกว่า 120,000 ล้านยูโร หรือ 128,800 ล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2022 เป็นต้นมา ส่งผลให้แต่ละประเทศถึงขั้นใกล้เจ๊ง หรือเจ๊งไปแล้วเป็นประเทศๆ แต่ดันกลับพยายามหันมาปลุกขวัญ ปลุกใจ พยายาม “สร้างความมั่นใจในตนเอง” เพื่อที่จะก่อสงครามกับหมีขาวรัสเซีย และอาจรวมไปถึงจีน อิหร่าน ไปจนถึงเกาหลีเหนืออีกด้วยก็เป็นได้ ดังที่อดีตรัฐมนตรีกลาโหมอังกฤษเคยออกมาแสดงความคิดเห็นไปในแนวนี้ อันนี้...เลยต้องเรียกว่า ออกจะเป็นอะไรที่น่าสมเพช น่าเวทนา และน่าสังเวช เป็นอย่างยิ่ง!!!