เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นต้องแวะไปดู “เลือกตั้งอเมริกา” กันอีกนั่นแหละทั่น!!! เพราะไม่เพียงแต่จะเลือกกันในวันพรุ่งนี้ (5 พ.ย.) แต่การตัดสินใจของบรรดาอเมริกันชน ว่าจะเอา “กมลา” หรือจะเอา “ทรัมป์บ้า” ไม่เพียงแต่จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ภายในประเทศตัวเองเท่านั้น แต่ยังน่าจะมีส่วนเกี่ยวพันต่อความเป็นไปของโลกทั้งโลกอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ด้วยเหตุเพราะความเป็นจ้าวโลก ประมุขโลก หรือความพยายามหาทางที่จะกลับมา “Great Again” ให้จงได้นั่นเอง...
โดยไม่ว่าใครแพ้-ใครชนะ ใครจะนอนมา-ไม่นอนมา ชนิดต้องมี “พระ” สวดนำหน้าหรือไม่? ประการใด? ก็ตามที แต่ถ้าว่ากันโดยสีสันบรรยากาศรวมๆ แล้ว น่าจะออกมาในแนวอย่างที่ผู้นำประเทศเบลารุส ประธานาธิบดี “Alexander Lukashenko” ท่านว่าเอาไว้เมื่อวัน-สองวันมานี้นั่นแหละว่า “This is a terrible, stupid election” คือเป็นอะไรที่น่าสยดสยองและออกจะโง่เง่า เต่าตุ่น เนื่องจาก “Both US presidential candidates are idiots” ไปด้วยกันทั้งคู่นั่นแล และอาจด้วยเหตุเพราะแนวๆ มันดูจะประมาณนี้ เลยทำให้บรรดาอเมริกันชนจำนวนถึง 76 เปอร์เซ็นต์ หรือทุกๆ 7 คนใน 10 คน ออกอาการทั้ง “ผิดหวัง” ทั้ง “กลุ้มอก-กลุ้มใจ” หรือกระทั่ง “กลัว” ไปเลยก็ยังมี...
อันนี้...ถ้าว่ากันผลสำรวจ-วิจัยของบรรดาสำนักโพลทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นสำนักข่าว “AP” และ “NORC Center for Public Affairs Research” ที่ร่วมกันเปิดเผยผลสำรวจถึงความรู้สึกของบรรดาอเมริกันชนที่เป็นไปในลักษณะดังกล่าว เมื่อช่วงวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา ไปจนถึงผลสำรวจแบบมุ่งวิเคราะห์เจาะลึกไปถึงหัวจิต หัวใจ ของผู้คน โดยสถาบัน “American Psychological Association” ที่ระบุไปถึงขั้นว่า “กลัวว่าการเลือกตั้งครั้งนี้...อาจเป็นจุดจบของประชาธิปไตยอเมริกา!!!” เอาเลยถึงปานนั้น โดยไม่ว่าจะเป็นสำนักไหน? ต่อสำนักไหน? ต่างเห็นพ้องต้องกันถึง “ความรุนแรง” ซึ่งอาจระเบิดเถิดเทิงขึ้นมาในสังคมอเมริกันหลังการเลือกตั้ง อีกทั้งไม่ใช่แค่บรรดาสำนักโพลทั้งหลายเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสำนักข่าวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น “CNN”, “Vox”, “Politico”, “Forbes” ฯลฯ หรือแม้แต่สำนักนักคิด-นักวิชาการที่มีบทบาททั้งด้านกว้าง ด้านลึกต่อสังคมอเมริกันและสังคมโลกมาโดยตลอด อย่าง “CFR” (Council on Foreign Relations) ก็ยังเห็นพ้องต้องกัน เป็นไปในแนวเดียวกัน ต่ออุบัติการณ์ “ความรุนแรงทางการเมือง” ที่อาจไปไกลถึงขั้น “สงครามกลางเมือง” เอาเลยก็ไม่แน่!!!
ด้วยเหตุเพราะการ “แบ่งขั้ว-แบ่งฝ่าย” ในแวดวงการเมืองอเมริกาช่วงหลังๆ มันออกจะเป็นไปในแบบ “สุดติ่งกระดิ่งแมว” ซะยิ่งกว่าบรรดาพวก “ติ่งเหลือง” “ติ่งแดง” หรือ “ติ่งส้ม” ในบ้านเราไม่รู้จะกี่เท่าต่อกี่เท่า ชนิดแม้แต่บรรดาพวก “คนดัง” หรือพวก “Celebrity” ทั้งหลาย ต่างดาหน้าออกมา “อวย” ออกมา “เชียร์” ถือหางฝ่ายที่ตัวเองชอบใจ ถูกใจ พร้อมๆ กับ “รุมถล่ม” หรือ “ทัวร์ลง” ฝ่ายที่ตัวเองไม่ชอบใจ ไม่ถูกใจ แบบกะจะให้เละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊กให้จงได้ อย่างที่สำนักข่าว “Sputnik” ของรัสเซีย เขาไปหยิบเอาคำพูด คำจา ของบรรดาพวก “คนดัง” ทั้งหลาย ฝ่ายละประมาณ 5 คน มาแสดงให้เห็นเป็น “ตัวอย่าง” ไล่มาตั้งแต่พวก “ติ่งกมลา” อันประกอบไปด้วยอดีตพระเอก “คนเหล็ก” อย่าง “Arnold Schwarzenegger” ที่แม้ว่าจะเคยเป็นผู้ว่ารัฐแคลิฟอร์เนียสังกัดพรรครีพับลิกัน แต่กลับหันไป “เชียร์กมลา” แล้ว “ด่าทรัมป์บ้า” ซะเฉยเลย หรือพระเอกสุดหล่อ “George Clooney” นักร้องสาวสุดแสบ อย่าง “Beyonce” หรือ “Queen Bee” พิธีกรหญิงผิวสีที่เรตติ้งกำลังตก อย่าง “Oprah Winfrey” ไปจนแหบมหาเสน่ห์ อย่าง “Bruce Springsteen” ฯลฯ ที่ต่างออกอาการ “เลียร์เช็ด” และ “ด่าตะเม็ด” ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
ไม่ต่างไปจาก “ติ่งทรัมป์บ้า” ไล่มาตั้งแต่ “Dana White” เจ้าของรายการมวย “UFC” (Ultimate Fighting Championship) พระเอกเรื่อง “Mad Max” อย่าง “Mel Gibson” นักมวยปล้ำผู้โด่งดังอย่าง “Hulk Hogan” นักจิตวิทยาพิธีกรรายการสุขภาพและบุคลิกภาพ อย่าง “Dr.Phil McGraw” ไปจนถึงอดีตนักบินอวกาศคนที่สองที่เคยไปเหยียบดวงจันทร์มาแล้ว อย่าง “Buzz Aldrin” ฯลฯ ต่างก็พร้อมที่จะ “ด่ากมลา” แบบสาดเสีย-เทเสีย ถึงขั้น “อีโง่” หรือชวนให้ไปวัด “IQ” เอาเลยก็ยังมีก่อนที่จะหันมา “อวยทรัมป์บ้า” แบบชนิดสุดลิ่มทิ่มริดสีดวงทวารเอาเลยถึงขั้นนั้น โดยบรรยากาศทำนองนี้นี่เอง...มันเลยทำให้บรรดาพวก “ติ่งของติ่ง” ทั้งหลาย หรือพวกที่ชื่นชม “คนดัง” อันเนื่องมาจากถูก “Hollywood” ล้างสมองมาโดยตลอด ก็เลยหนีไม่พ้นต้องออกอาการ “สุดขั้ว” ไปกับการ “แยกขั้ว-แยกฝ่าย” จนแม้แต่พวกที่ถนัดในการใช้เหตุ-ใช้ผล หรือบรรดาสมาชิกรัฐสภาอเมริกันในแต่ละราย ไม่ว่าจะรีพับลิกันหรือเดโมแครตก็ตาม ต่างออกอาการหนักอก-หนักใจไม่น้อยไปกว่ากัน หรืออย่างที่สำนักข่าวเว็บไซต์ “Axios” เขานำมาเสนอเป็นรายงานข่าวถึงความวิตกกังวล ของบรรดานักการเมืองอเมริกันทั้งหลาย ที่ต่างกลัวว่าจะเกิด “ช่วงเวลาแห่งความโกลาหล” หลังเลือกตั้งประธานาธิบดีวันที่ 5 พ.ย.เป็นต้นไป...
อย่างไรก็ตาม...ด้วยเหตุเพราะความพยายามที่จะพิทักษ์รักษา ความเป็นจ้าวโลก ประมุขโลก ต่อไปให้จงได้ หรือพยายามที่จะทำให้ “America Great Again” ขึ้นมาอีกครั้ง การเลือกตั้งอเมริกาจะส่งผลกระทบต่อโลกกันในแนวไหน? แบบไหน? อันนี้นี่แหละ...ที่น่าสนใจยิ่งกว่า เพราะโลกทุกวันนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมไปแล้วมิใช่น้อย หรือไม่ใช่ “โลกของอเมริกา” ไปแล้วก็ว่าได้ ชนิดแม้แต่อดีตประธานเสนาธิการทหารอเมริกัน 2 ยุค 2 สมัย คือทั้งสมัยยุค “ทรัมป์บ้า” และยุค “โจ ซึมเซา” อย่าง “พลเอกMark Milley” ที่เพิ่งเกษียณอายุราชการไปเมื่อไม่นานมานี้ ยังต้องออกมาสารภาพต่อบรรดานายธนาคารทั้งหลาย ณ ที่ประชุมสมาคมนักการธนาคารอเมริกัน (The American Bankers Association) ในกรุงนิวยอร์ก เมื่อช่วงวันอังคารที่ผ่านมา (29 ต.ค.) ประมาณว่า...โลกทุกวันนี้ไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่โลกที่ประกอบไปด้วย “อภิมหาอำนาจ 2 ราย” เหมือนอย่างยุคหลัง “สงครามโลกครั้งที่ 2” และไม่ใช่โลกที่เหลืออภิมหาอำนาจอยู่เพียงรายเดียว คือสหรัฐอเมริกา หลังจากที่ “สงครามเย็น” ได้ยุติลงไปแล้ว แต่เป็นโลกที่ประกอบไปด้วย “อภิมหาอำนาจ 3 ราย” เป็นอย่างน้อย นั่นคือสหรัฐอเมริกา-จีน-และรัสเซีย!!!
หรือพูดง่ายๆ ว่า...อดีตประธานเสนาธิการทหารอเมริกันรายนี้ ได้ยอมรับสารภาพอย่างตรงไป-ตรงมา ว่าโลกทุกวันนี้ก็คือ “โลกหลายขั้วอำนาจ” อย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่ “โลกขั้วอำนาจเดียว” ที่มีอเมริกาเป็นผู้ครอบครอง ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง หรือเป็นโลกที่ “ซับซ้อนและยุ่งยากเกินกว่าที่อเมริกาจะอาศัยกฎระเบียบแบบเดิมๆ (rules-based order) ในการควบคุมแต่ละสิ่งแต่ละอย่างได้อีกต่อไป” เพราะกฎระเบียบแบบที่เรียกๆ กันว่า “rules-based order” ได้ถูกอธิบายขยายความโดยประธานาธิบดี “ปูติน” แห่งรัสเซียไว้ค่อนข้างชัดเจนว่า เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง!!!...เนื่องจากมันสามารถถูกเปลี่ยนแปลงไปตาม “ความต้องการของตะวันตก” ได้เสมอๆ ดังนั้น...ถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องสร้าง “ระเบียบโลกแบบใหม่” ที่เป็นประชาธิปไตยมากกว่าเดิม ครอบคลุมกว่าเดิมและมีความหลากหลายที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งกฎหมายระหว่างประเทศขึ้นมาแทนที่....
ด้วยเหตุนี้...ไม่ว่าบรรดาอเมริกันชนทั้งหลายจะตัดสินใจเลือก “กมลา” หรือ “ทรัมป์บ้า” แต่โอกาสที่จะดำรงรักษาความเป็นจ้าวโลก ประมุขโลก หรือจะนำพาประเทศอเมริกาให้หวนกลับมาสู่ “ความยิ่งใหญ่” แบบเดิมๆ น่าจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วแน่ๆ เพราะแค่จะประคองตัวให้รอดจาก “ปัญหาความขัดแย้งภายใน” ที่ใกล้จะเข้าสู่ “สงครามกลางเมืองครั้งใหม่” อยู่รอมร่อ หรือจาก “ปัญหาหนี้สิน” ที่ปาเข้าไปถึงกว่า 35 ล้านล้านดอลลาร์ ชนิดถึงเกิดใหม่อีกสี่-ซ้า-ห้าชาติก็ยังใช้หนี้ไม่หมด หรืออย่างที่คุณ “ทนง ขันทอง” ท่านสรุปไว้ในรายการทีวีผู้จัดการ เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมานั่นแหละว่า ถ้าจะยอมปล่อยให้เงินเฟ้อเพื่อให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (Inflation) ไม่เกิดภาวะถดถอย ก็มีแต่จะยิ่งพังยิ่งขึ้นไปใหญ่ แต่ถ้าคิดจะหันตัดลดงบประมาณระดับ 2 ล้านล้านดอลลาร์ ดังที่ผู้สนับสนุน “ทรัมป์บ้า” อย่าง “นายElon Musk” ชี้แนะ ชี้นำ เอาไว้ หรือยอมให้เกิดภาวะเงินฝืด เพื่อช่วยไม่ให้ค่าเงินดอลลาร์กลายเป็นแบงก์กงเต็กโดยเร็วไว (Deflation) หรือยิ่งถ้าคิดขึ้นภาษีสินค้าจีน สินค้านำเข้าต่างๆ ให้สูงๆ เข้าไว้ ก็ยิ่งหนักหนา-สาหัสยิ่งขึ้นไปอีก...
สรุปรวมความแล้ว...ไม่ว่าจะ “กมลา” หรือ “ทรัมป์บ้า” ต่างก็ยากส์ส์ส์ที่จะดำรงรักษาความยิ่งใหญ่ หรือความเป็นจ้าวโลก ประมุขโลก ของอเมริกาได้อีกต่อไป ด้วยเหตุเพราะโลกใบนี้มันไม่ใช่โลกใบเดิมๆ อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นโลกที่ประกอบไปด้วยขั้วอำนาจอันหลากหลาย ที่ประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกามีแต่จะต้อง “ยอมรับความจริง” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ มิฉะนั้นไม่ใช่แต่เฉพาะ... “ประชาธิปไตยอเมริกา” เท่านั้น ที่อาจต้องพบ “จุดจบ” ภายหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่กระทั่งประเทศอเมริกาทั้งประเทศอาจต้องถึงกาลล่มสลาย หรือถึงขั้น “อวสานอเมริกา” เอาเลยก็เป็นได้!!!