ปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องแวะไปดูการประชุมสุดยอด “BRICS” ครั้งที่ 16 ที่เมือง Kazan เมืองหลวงของแคว้น Tatarstan ประเทศรัสเซียเขานั่นแหละทั่น เพราะไม่เพียงเป็นการประชุมในช่วงที่ฉากสถานการณ์โลกกำลังเข้าสู่หน้าข้าว-หน้าเหล้า หน้าสิ่ว-หน้าขวาน ไม่ว่ามองจาก “แนวรบ” ด้านไหนก็ตามที เพราะต่างสามารถเป็นตัว “จุดระเบิด” ขึ้นมาได้ทุกเมื่อ อีกทั้งเมื่อประธานกลุ่ม “BRICS” รอบนี้ ก็คือคุณน้ารัสเซียมหาอำนาจคู่แข่งคุณพ่ออเมริกาผู้รับอาสาเป็นเจ้าภาพ ก็ยิ่งทำให้การประชุมดังกล่าวเป็นอะไรที่คงต้องหันไปจับตาอย่างมิอาจกะพริบตาได้โดยเด็ดขาด...
หรือถ้ามองจากมุมมองของประธานและผู้ก่อตั้งองค์กร “The International African Black Defense League” อย่าง “นายEgountchi Behanzin” ที่อาจถือเป็นกระบอกเสียงบรรดาชาวแอฟริกันทั้งมวล ก็อาจต้องสรุปตามข้อเขียน บทความชิ้นล่าสุดที่ตั้งชื่อหัวเรื่องเอาไว้ว่า “A new world order in the making : Here’s why this BRICS summit will be special” หรือด้วยเหตุเพราะ “ระเบียบโลกแบบใหม่” กำลังก่อรูปก่อร่าง ถูกสร้างขึ้นมานั่นเอง เลยทำให้การประชุม “BRICS” ที่รัสเซียคราวนี้ เลยเป็นอะไรที่ “พิเศษ” เอามากๆ หรืออย่างที่ผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านสรุปไว้ก่อนหน้าที่จะเริ่มการประชุม ณ เวที “BRICS Business Forum” ที่กรุงมอสโก เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (18 ต.ค.) นั่นแหละว่า เพราะ “BRICS ไม่ใช่เป็นแค่การรวมตัวทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศต่างๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นช่องทางที่แสดงให้เห็นถึง...ทางเลือก...อื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากประวัติศาสตร์แห่งการครอบงำของโลกตะวันตก” นี่...ต้องเรียกว่าเป็นอะไรที่ชัดเจน ตรงไป-ตรงมา ส่วนจะสร้างความซี๊ดๆ ซ๊าดๆ ให้กับใครต่อใครหรือไม่? อย่างไร? นั่นคงต้องว่าไปตาม “รสนิยม” ของใคร-ของมันกันเอาเอง...
และแม้ว่าขณะที่เขียนต้นฉบับชิ้นนี้ยังไม่มีโอกาสได้รับรู้-รับทราบถึงผลสรุปแห่งการประชุมที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันอังคารที่ 22 ต.ค.ไปจนถึงวันพฤหัสฯ ที่ 24 ต.ค. ก็ตาม แต่โดยแนวๆ แล้ว....ก็น่าจะพอเห็นๆ ได้มั่งแล้วนั่นแหละว่า “ไผ-เป็น-ไผ” หรือ “ใคร-เป็น-ใคร” ที่แห่กันมาเข้าร่วมการประชุมคราวนี้ อย่างคึกคักโครมครามมิใช่น้อย อันเนื่องมาจากความเจริญเติบโตของกลุ่มประเทศดังกล่าวที่คงต้องยอมรับเอาจริงๆ ว่า ออกจะ “มาแรง-แซงโค้ง” เอามากๆ คือไม่เพียงแต่เป็นกลุ่มประเทศที่มีจำนวนประชากรรวมกันถึง 46 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก หรือปาเข้าไปประมาณ 3,600 ล้านคนเอาเลยถึงขั้นนั้น แต่ยังเป็นกลุ่มประเทศที่มีตัวเลขความเติบโตทางเศรษฐกิจรวมกันถึง 37.4 เปอร์เซ็นต์ของ “GDP โลก” แซงหน้ากลุ่มประเทศ “คนเคยรวย” หรือกลุ่มประเทศซีกโลกเหนือ อย่างกลุ่มประเทศ “G7” ที่มีมวลรวม “GDP” อยู่ที่ 29.3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง แถมยังเป็นกลุ่มประเทศที่มีแหล่งสำรองพลังงานรวมกันถึง 40 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนแหล่งพลังงานโลก เป็นกลุ่มประเทศที่มีการค้าๆ-ขายๆ กับใครต่อใครถึง 1 ใน 4 ของการค้าโลก ฯลฯ...
เพียงเท่านี้...ก็คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้นั่นแหละว่า จากกลุ่มประเทศที่เคยมีอยู่ด้วยกัน 5 ประเทศ คือบราซิล-รัสเซีย-อินเดีย-จีน และแอฟริกาใต้ ได้ก่อให้เกิดแรงดึงดูดจนทำให้อีกหลายต่อหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอิหร่าน-อียิปต์-เอธิโอเปีย-ยูเออี โดดเข้าร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกโดยสมบูรณ์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2024 เป็นต้นมา โดยอาจรวมไปถึงอภิมหาเศรษฐีน้ำมันอย่างซาอุดีอาระเบียที่แม้ยังไม่กล้าเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกด้วย จนกลายเป็นกลุ่มประเทศที่มีสมาชิกประมาณ 10 ประเทศไปแล้ว ณ ขณะนี้ แถมยังมีอีกถึง 34 ประเทศที่กำลังรอคิว จ่อคิว ที่จะโดดเข้าร่วมเป็นสมาชิกอย่างกระเหี้ยนกระหือรือเป็นอันมาก รวมทั้งประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาทั้งหลายอีกต่างหาก เพราะไม่ว่าจะมองจากมุมมองแบบไหน? แนวไหน? โอกาสที่จะ “ได้” มากกว่า “เสีย” ย่อมเป็นอะไรที่ค่อนข้างประจักษ์แจ้งชัดเจน ยิ่งถ้ามองจากมุมมองของผู้นำประเทศมาเลเซีย นายกรัฐมนตรี “Anwar Ibrahim” ที่เคยให้สัมภาษณ์สำนักข่าว “RIA Novosti” ขณะเดินทางไปพบปะผู้นำรัสเซียเมื่อไม่นานมานี้ ที่ระบุไว้ว่า... “BRICS คือเครื่องมือชิ้นสำคัญของประเทศโลกใต้ ในอันที่จะป้องกันการโจมตีจากประเทศอุตสาหกรรมที่ร่ำรวย” ก็ยิ่งเป็นอะไรที่น่าจะระเบิดเถิดเทิงยิ่งขึ้นไปใหญ่...
สรุปรวมความแล้ว...การรวมตัวของบรรดาประเทศต่างๆ ในซีกโลกใต้ จนกลายมาเป็นกลุ่มประเทศ “BRICS” จึงย่อมเป็นอะไรที่ “ไม่ธรรมดา” อยู่แล้วแน่ๆ!!! แม้ว่าโดยจุดมุ่งหมายของการรวมตัวจะเป็นไปดังที่ประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านสรุปเอาไว้แบบเก๋ๆ ไก๋ๆ และแสบๆ คันๆ มิใช่น้อย นั่นคือ “BRICS ไม่ได้ต่อต้านตะวันตก...เพียงแต่เป็นกลุ่มที่ไม่มีประเทศตะวันตกรวมอยู่ด้วย” ดังนั้น...การร่วมมือ-ร่วมใจประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใดๆ ไม่ว่าจะเป็น “เงินตราสกุลเดียว” (BRICS currency) หรือ “ความคิดริเริ่มต่อระบบการชำระบัญชีข้ามแดน” (The BRICS Cross-Border Payments Initiative-BCBPI) ฯลฯ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นไปเพื่อตอบสนอง “ข้อเท็จจริงขั้นพื้นฐาน” ของบรรดามวลสมาชิกทั้งหลายนั่นเอง ไม่ได้เพื่อคิดจะโค่นล้มเล่นงานผู้หนึ่ง-ผู้ใดเป็นการเฉพาะ หรือดังที่ผู้นำรัสเซียเขาได้สรุปไว้ในเวที “BRICS Business Forum” อีกนั่นแหละว่า... “เราไม่ได้คิดที่จะทิ้งเงินดอลลาร์ แต่เป็นเพราะเงินดอลลาร์ไม่ได้ต้องการเรา เราจึงจำเป็นต้องทำลายอุปสรรคและสิ่งกีดขวางและนั่นเองที่ทำให้ 95 เปอร์เซ็นต์ของการค้าต่างประเทศของรัสเซียทุกวันนี้ ใช้เงินตราสกุลท้องถิ่น...” อีกทั้งยังทำให้บรรดากลุ่มประเทศสมาชิก “BRICS” หันมาชำระบัญชีข้ามพรมแดน (BCBPI) ระหว่างกันและกันด้วยเงินตราสกุลท้องถิ่นจำนวนถึง 65 เปอร์เซ็นต์เข้าไปแล้วในทุกวันนี้...
ส่วนจะไปถึงขั้นร่วมแรง-ร่วมใจออกเงินตราสกุล “BRICS” มาใช้แทนเงินดอลลาร์กันเลยหรือไม่? อย่างไร? อันนี้...น่าจะเป็นไปอย่างที่ประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านว่าไว้นั่นแหละว่า คงต้อง “step-by-step” หรือเป็นขั้น-เป็นตอน ไม่ต่างไปจากการหันหลังให้กับการชำระหน่วยบัญชีระหว่างประเทศผ่านกลไก “SWIFT” ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือครอบงำของโลกตะวันตกมานานแสนนาน แต่ทั้งนั้น-ทั้งนี้...ด้วยเหตุเพราะ “เศรษฐกิจของโลกตะวันตกกำลังเข้าสู่จุดเสื่อม” ตามความเชื่อ ความเข้าใจของผู้นำรัสเซียที่ได้เน้นย้ำไว้ในเวที “The Russian Energy Week 2024 Forum” เมื่อไม่นานมานี้ ความร่วมมือ ร่วมใจของกลุ่มประเทศ “BRICS” นี่เอง จึงจะเป็นตัว “ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก” ในอนาคตเบื้องหน้า ส่วนใครที่ไม่ได้เชื่อ ไม่ได้เข้าใจตามนี้ คงต้องไป “วัดดวง” กันเอาเอง!!!
เพราะโดยข่าวคราวที่ไหลทะลักออกมาเป็นสายๆ ไม่ว่าโดยสื่อกระแสหลัก หรือกระแสรองก็ตาม ต่างก็ออกไปในแนวอย่างที่ผู้นำรัสเซียท่านว่าไว้นั่นแหละ ไม่ว่าจะพันธมิตรรายสำคัญของโลกตะวันตก อย่างอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส ฯลฯ ต่างออกอาการ “กรอบเป็นข้าวเกรียบเมืองเพชร” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งพวง อังกฤษนั้น...ถึงขั้นชักจะกลัวๆ ว่าอาจต้องถอยกลับไปเป็น “ประเทศโลกที่สาม” เอาง่ายๆ ส่วนเยอรมนีระบบอุตสาหกรรมทั้งระบบกำลังพังทลาย ส่งผลให้ชาวไส้กรอกแทบทั้งประเทศหันมาปฏิเสธผู้นำประเทศตัวเองแบบเป็นเอกฉันท์ เช่นเดียวกับฝรั่งเศสนั่นแหละ ถ้าว่าตามผลโพลของ “Ifop Poll” คราวล่าสุด เห็นว่าชาวปารีเซียงถึง 78 เปอร์เซ็นต์เข้าไปแล้ว ที่ “ไม่เห็นควรด้วย” กับประธานาธิบดี “Emmunuel Macron” ส่วนผู้นำโลกตะวันตกอย่างคุณพ่ออเมริกาที่อาศัยประเทศอียูเป็น “พรมเช็ดเท้า” มาโดยตลอด ถ้าว่ากันตามความเห็นของ CEO บริษัท “Mar Vista Investment” อย่าง “นายSilas Myers” ที่ต้องออกมาเตือนใครต่อใครไว้ในนิตยสาร “Business Insider” เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (20 ต.ค.) ถึง “ความเสี่ยง” ที่จะก่อให้เกิดความฉิบหายวายวอดทางเศรษฐกิจ เนื่องจากการเข้าสู่ภาวะ “Supercycle” ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้นเมื่อปี ค.ศ. 2008 อันนี้...ก็ยิ่งเป็นอะไรที่ยากจะเถียง ยากจะปฏิเสธ ต่อความคิด ความเชื่อ ที่ผู้นำรัสเซียเขาว่าไม่น่าจะได้...
คือสรุปง่ายๆ ว่า...โลกทุกวันนี้ มันไม่น่าจะใช่โลกแบบเดิมๆ อีกต่อไปแล้ว และนั่นย่อมทำให้ “ระเบียบโลกแบบเดิมๆ” ไม่น่าจะมีผลบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลอีกต่อไป ยิ่งโดยเฉพาะระเบียบแบบที่อดีตนักวิเคราะห์เพนตากอน อย่าง “นายMichael Maloof” เขาได้อธิบายไว้ในรายการทอล์กโชว์ “MOATS” เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (20 ต.ค.) นั่นแหละว่า... “โลกกำลังบอกกับเราว่า...ไม่เอาแล้ว!!! พอแล้ว!!! สำหรับกฎกติการะหว่างประเทศที่อเมริกาเป็นผู้สร้างมันขึ้นมาแต่เพียงผู้เดียวและเป็นผู้ที่ละเมิดมันได้ตลอดเวลาตามที่เราต้องการ” อันหมายถึงความคิด ความเชื่อต่อ “โลกขั้วอำนาจเดียว” ย่อมเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แต่ถ้าหากผู้ที่ยังเพียรพยายามดำรงรักษาความเป็นจ้าวโลก ประมุขโลก ให้คงอยู่ต่อไปให้จงได้ อย่างคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรแห่งโลกตะวันตกทั้งหลาย ยังคงดื้อรั้น ยังคิดที่จะปฏิเสธ สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นอยู่ต่อหน้า-ต่อตา ดังที่กำลังปรากฏอยู่ในการประชุมกลุ่มประเทศ “BRICS” คราวนี้ อะไรต่อมิอะไรในอนาคตเบื้องหน้าอาจเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องเป็นไปดังที่อดีตประธานาธิบดีรัสเซีย “นายDmitry Medvedev” ท่านได้ออกมาโพสต์ข้อความไว้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (21 ต.ค.) ได้เสมอๆ...
นั่นก็คือ... “อเมริกาควรที่จะละทิ้งความคิดที่จะครองโลกได้แล้ว มิเช่นนั้นมันจะกลายเป็นการเพิ่มอัตราเสี่ยงอันจะนำไปสู่ฉากสถานการณ์ที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกล้างผลาญทำลายอย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ เพราะโลกขณะนี้ต้องการ...ความสมดุลทางอำนาจ...มากกว่าการที่ฝ่ายใด-ฝ่ายหนึ่งจะครอบงำอีกฝ่าย การไม่คิดจะยอมรับสมดุลทางอำนาจ ก็คือการนำไปสู่การเผชิญหน้า การปะทะ ที่จะทำลายล้างมวลมนุษยชาติทั้งหลายนั่นเอง และถ้าโลกตะวันตกไม่ยอมรับความจริงพื้นฐานที่ง่ายๆ เช่นนี้....นั่นย่อมหมายถึงจุดจบของทุกๆ คน”...
ด้วยเหตุนี้...เอาเป็นว่า อีกประมาณ 3-4 เดือนข้างหน้า หรือในช่วงระยะที่ผู้นำอเมริกาอย่างคุณปู่ “โจ ซึมเซา” ยังคงมีฤทธิ์ มีเดช ในฐานะตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกันไปอีกสักพักใหญ่ๆ ยังสามารถตัดสินใจให้ยูเครนใช้อาวุธพิสัยไกลโจมตีดินแดนรัสเซีย ยังสามารถเปิดไฟเขียวให้อิสราเอลเล่นงานอิหร่าน หรือยังขยันหมั่นเพียรในการยั่วยวนกวนส้นตีนคุณพี่จีนในทะเลจีนใต้อย่างไม่คิดจะลด-ละ-เลิก แต่ภายใต้ความคึกคัก โครมคราม ความร่วมมือ-ร่วมใจของบรรดาประเทศโลกใต้อย่างกลุ่มประเทศ “BRICS” ซึ่งแสดงให้เห็นอยู่ในทุกวันนี้ จะทำให้พวกโลกตะวันตก หรือ “โลกขั้วอำนาจเดียว” คิดเห็นเป็นประการใด? จะตัดสินใจอย่างไร? ต่อไป ก็คงได้แต่ต้อง “สวดมนต์-ภาวนา” เอาไว้ก่อนนั่นแหละดี...