ณ บ้านพระอาทิตย์
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
กลุ่มแพทย์บางคนที่ได้นำงานวิจัยไม่สมบูรณ์เพื่อเป็นเหตุอ้างในการถอดฟ้าทะลายโจรออกจากคู่มือแนวเวชปฏิบัติของกรมการแพทย์อย่างไม่ถูกต้อง ก็คือกลุ่มแพทย์เดียวกันสนับสนุนให้ประชาชนมาฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้มากๆขึ้นไปเรื่อยๆ
เรื่องดังกล่าวนี้ได้ถูกตั้งคำถามมากขึ้นว่าการกีดกันถอดสมุนไพรอย่าง ฟ้าทะลายโจรโดยไม่อาศัยข้อมูลทางวิชาการที่ถูกต้องนั้นเป็นเพราะอะไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวัคซีนโควิด-19 อยู่ในสถานภาพที่ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้
เมื่อวัคซีนโควิด-19 ไม่ได้ช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ แต่กลุ่มแพทย์ที่พยายามรณรงค์ว่าวัคซีนจะช่วยลดความรุนแรงของโรคได้ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วฟ้าทะลายโจรก็ลดความรุนแรงของโรคได้เหมือนกัน อีกทั้งยังมีคุณสมบัติในการยับยั้งการทำงานของไวรัสโควิด-19 และในประเทศไทยก็ได้นำฟ้าทะลายโจรมารักษาผู้ป่วยโควิด-19 ได้ด้วย
และจะให้ว่าไปตามข้อเท็จจริงเป็นกรณีศึกษาจำนวนมากว่ามีผู้ใกล้ชิดหรือดูแลผู้ป่วยโควิด-19 แต่กินฟ้าทะลายโจรนับตั้งแต่มีข้อสงสัย ก็ยังรอดจากติดเชื้อโควิด-19 ได้เช่นกัน
ข้อสำคัญฟ้าทะลายโจรหาได้ง่าย มีราคาไม่แพง เลือกซื้อหาจากใครก็ได้ แถมยังพึ่งพาตัวเองด้วยการปลูกเองที่บ้านได้ด้วย และปลูกขึ้นง่าย จะมีสมุนไพรใดที่มีความอัศจรรย์ในการรับมือกับโควิด-19 ได้เช่นนี้
ไม่เหมือนกับวัคซีนที่ชาวบ้านพึ่งพาตัวเองไม่ได้ เพราะไม่สามารถหาได้โดยง่าย และมีราคาแพง มีค่าคอมมิชชัน (คอร์รัปชัน)แพง ต้องจัดหานำเข้าจากต่างประเทศ และยังมีผลข้างเคียงที่ยังต้องเรียนรู้ในระยะยาวอีกด้วย
นี่คือเหตุผลใช่หรือไม่ที่ว่าเมื่อวัคซีนโควิด-19 ไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อ จึงทำให้มีสถานภาพลดมากลายเป็นคู่แข่งของ “ฟ้าทะลายโจร” ใช่หรือไม่?
ด้วยเหตุผลนี้ใช่หรือไม่ กลุ่มแพทย์ที่ยังตะบี้ตะบันให้ประชาชนฉีดวัคซีนโควิด-19 มากๆ กลับกลายเป็นแพทย์กลุ่มคนเดียวกันที่พยายามถอดฟ้าทะลายโจรของจากคู่มือแนวเวชปฏิบัติของกระทรวงสาธารณสุขในช่วงเวลาที่ผ่านมา ใช่หรือไม่?
ดีที่ว่ากระทรวงสาธารณสุข ได้ตระหนักถึงการดำเนินการในเรื่องฟ้าทะลายโจรที่มีกระบวการที่ไม่ตรงไปตรงมา และยังไม่ได้รับความเห็นชอบอย่างถูกต้องตามขั้นตอน จึงได้มีการดำเนินการทวงคืนฟ้าทะลายโจรกลับคืนสู่คู่มือแนวเวชปฏิบัติในการรักษาโควิด-19 ต่อไปได้
แต่เนื่องจากสถานภาพของฟ้าทะลายโจรนั้น เป็นมิตรกับประชาชนมากกว่าวัคซีนในประเด็นที่ว่า มีประชาชนได้เคยใช้ได้อย่างปลอดภัยมานับร้อยๆ ปี ถึงแม้จะมีผลข้างเคียงเหมือนสมุนไพรทุกชนิด แต่ก็เป็นที่รับรู้และคาดการณ์ได้ ต่างจากวัคซีนโควิด-19 ที่ใช้ทดลองในมนุษย์ด้วยเหตุอ้างว่าเป็น “สถานการณ์ฉุกเฉิน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาในรูปแบบ mRNA ที่ยังไม่มีความแน่ชัดว่าจะมีผลข้างเคียงระยะยาวอย่างไร?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่มีความชัดเจนจากหลายส่วนว่ามีการปกปิดข้อมูลและข้อเท็จจริงในเรื่องผลกระทบของวัคซีนในช่วงเวลาที่ผ่านมา เช่น นายมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊กได้ยอมรับว่าได้รับการร้องขอจากรัฐบาลให้ปกปิดข้อเท็จจริงในเรื่องโรคโควิด-19 ทั้งในเรื่องประเด็นที่ถกเถียงได้ แม้กระทั่งประเด็นข้อเท็จจริง
หรือการปกปิดข้อเท็จจริงในเรื่องผลกระทบของวัคซีน จนกระทั่งศาลในประเทศที่พัฒนาแล้วมีคำสั่งให้เปิดเผยข้อเท็จจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่นับว่ามีการยอมรับประเทศมหาอำนาจมีกระบวนการปล่อยข่าว “อันเป็นเท็จ” เพื่อด้อยค่าวัคซีนของประเทศจีน
เรื่องเลวร้ายเกี่ยวกับการ “ปกปิดข้อมูลและผลกระทบจากวัคซีน” กลายเป็นเรื่องที่กลุ่มแพทย์ที่สนับสนุนวัคซีนในทุกวันนี้ นิ่งเฉยได้อย่างไร?
ในประเทศที่พัฒนาและคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนอย่าง ญี่ปุ่น ยังต้องมีการสำรวจและวิจัยตีพิมพ์ในวารสาร Cureus เมื่อเดือนเมษายน 2567 จึงพบว่าประชาชนชาวญี่ปุ่นที่ฉีดวัคซีน mRNA เข็มที่ 3 มีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ และยังมีความผิดปกติเพิ่มขึ้นในกลุ่มโรคมะเร็งไข่ มะเร็งลูคีเมีย มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งริมฝีปาก มะเร็งช่องปาก มะเร็งคอหอย มะเร็งตับอ่อน และมะเร็งเต้านม
คำถามคือกลุ่มแพทย์ผู้สนับสนุนในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ใส่ใจในเรื่องหรือไม่ เคยได้มีความคิดบ้างหรือไม่ว่า ประเทศไทยควรจะวิจัยผลกระทบของวัคซีนอย่างรอบด้านหรือไม่ ไม่ใช่เอาแต่ว่ามีผู้ป่วยเป็นอะไรก็ไม่เกี่ยวกับวัคซีน ทั้งๆ ที่คนที่มาสนับสนุนวัคซีนไม่เคยแสดงออกว่าควรจะวิจัยความสัมพันธ์ระหว่างโรคที่เกิดขึ้นกับวัคซีนที่ฉีดหรือไม่
และไม่ว่าจะปฏิเสธว่าโรคอะไรที่เป็นก็ไม่เกี่ยวกับวัคซีน แต่ในที่สุดหากมี “อัตราการเสียชีวิต” ผิดปกติ ก็จะไม่สามารถปิดกั้นความจริงในผลลัพธ์สุดท้ายนี้อยู่ดี
และในประเทศไทยก็กำลังเกิดสถิติ “การเสียชีวิตผิดปกติ” หลังจากปีที่ฉีดวัคซีนในปี 2564 เป็นต้นมา 3 ปีต่อเนื่องกันแล้ว จริงหรือไม่?
ปี 2565, 2566, 2567 อัตราการเสียชีวิตของคนไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกติต่อเนื่องกันหลังปี 2564 ซึ่งรวมถึงโรคปอดบวม, เลือดออกในสมอง, หัวใจเต้นผิดจังหวะ, โรคหัวใจล้มเหลว, โลหิตเป็นพิษ, กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน, โรคหัวใจขาดเลือด, โรคหลอดลมอักเสบ, โรคระบบทางเดินหายใจ, เนื้อสมองตาย, โรคระบบทางเดินปัสสาวะ, โรคระบบย่อยอาหาร และรวมถึงโรคมะเร็ง ฯลฯ
คำถามคือการที่มีการปกปิดข้อมูลในผลกระทบของวัคซีนในประเทศไทย แต่มีความเป็นจริงอีดด้านที่เกิดขึ้นจริงว่า อัตราการเสียชีวิตของคนไทยเพิ่มสูงขึ้นผิดปกติหลังปีที่มีการฉีดวัคซีน แม้กระทั่งเสียชีวิตมากกว่าปี 2564 ทั้งที่ปี 2564 ควรจะเป็นปีสุดท้ายที่คนไทยเสียชีวิตมากที่สุดจากโควิด-19
คำถามมีอยู่กลุ่มแพทย์ทั้งหลายที่ยังคงตะบี้ตะบันสนับสนุนการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั้งๆ ที่ความรุนแรงของโรคได้เบาบางไปแล้ว และมีประชาชนจำนวนมากก็รักษาตัวเองได้อย่างง่ายดายด้วยฟ้าทะลายโจรได้ด้วย
และถ้าหากวิจัยหาความสัมพันธ์การเสียชีวิตของคนไทยที่เพิ่มผิดปกติกับชนิดและจำนวนเข็มของวัคซีน เราก็จะได้ความสัมพันธ์คำตอบนี้ได้
คงเหลือแต่ว่าภาครัฐจะยินยอมให้วิจัยในเรื่องนี้หรือไม่ เพราะข้อมูลการฉีดวัคซีนของคนไทยอยู่ที่ภาครัฐทั้งสิ้น
และถ้าเพียงกลุ่มแพทย์ที่ออกมาตะบี้ตะบันสนับสนุนการฉีดวัคซีนโควิด-19 แถลงรวมตัวกันที่วิจัยในเรื่องความสัมพันธ์อย่างผิดปกติของคนไทยกับการได้รับวัคซีน ก็เชื่อได้ว่าจะมีน้ำหนักอย่างยิ่ง หากยังมีจิตใจที่รักชีวิตและสุขภาพของประชาชนอยู่
แต่ถ้าแพทย์ที่มีความรู้แต่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว เห็นแก่ความโลภ มีแต่อัตตา จะเอาแต่เอื้อผลประโยชน์วัคซีนต่างชาติ และยังนิ่งเงียบอยู่ ในการเรียกร้องแสวงหาความจริงในเรื่องผลกระทบจากวัคซีน แถมยังหาโอกาสใช้งานวิจัยที่ไม่สมบูรณ์มาทำลายฟ้าทะลายโจรด้วยแล้ว
ย่อมมีคำถามไม่เพียงแค่ว่ายังมีจรรยาบรรณทางการแพทย์อยู่หรือไม่เท่านั้น แต่อาจถูกตั้งคำถามจากประชาชนมากกว่านั้นว่า “ยังมีความเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่?”
ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต