“คนฉลาดขยันให้เป็นขุนศึก ฉลาดขี้เกียจให้เป็นเสนาธิการ โง่ขี้เกียจให้เป็นพลาธิการ โง่ขยันฆ่าทิ้ง” ฮิตเลอร์
โดยนัยแห่งวาทะข้างต้น เป็นแนวคิดในการเลือกคนมาทำงานของนักปกครองในระบอบเผด็จการ ฟังดูแล้วอาจโหดร้ายทารุณในสายตาของนักปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ยึดหลักความเสมอภาค
แต่ถ้ามองในแง่ของความเสียหายแก่ประเทศ และประชาชนโดยรวมแล้ว ก็พอจะมองข้ามความโหดร้ายได้ เนื่องจากว่าคนโง่ที่ขยันคิด ขยันพูด และขยันทำ จะทำให้ความเสียหายตามมามากมาย โดยเฉพาะคนโง่ที่อยู่ในตำแหน่งผู้นำ เพราะเมื่อคิดอย่างโง่ๆ ก็พูดอย่างโง่ๆ และสั่งให้คนใต้บังคับบัญชาทำอย่างโง่ งานก็เสียหายและยากแก่การแก้ไข
ดังนั้น การเลือกผู้นำของประเทศที่เจริญแล้ว จึงเน้นเลือกคนที่มีความรู้ มีความสามารถ ฉลาดในการคิด ในการพูด และในการทำมาเป็นผู้นำ เพื่อจะได้เป็นหน้าตาของประเทศเมื่อเข้าประชุมกับผู้นำต่างประเทศ หรือแม้กระทั่งในการประชุมกับหัวหน้าส่วนราชการภายในประเทศก็จะได้แสดงศักยภาพให้เป็นที่ยอมรับของผู้เข้าร่วมประชุม
ประเทศไทยในขณะนี้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย และ สส.ส่วนมากในสภาฯ ได้เลือกนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นผู้นำประเทศ และหลังจากได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ไม่นาน ได้แสดงให้เห็นถึงการขาดภาวะผู้นำจากพฤติกรรมที่แสดงออกทางวาจาดังต่อไปนี้
1. ในการแถลงข่าวเกี่ยวกับงานด้านต่างๆ ได้อ่านตามที่เขียนมา และอ่านจบแล้วได้พยายามเลี่ยงไม่ตอบคำถามของนักข่าวในเรื่องที่ได้แถลงจบลงไป จึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่ามิได้เขียนเอง ทั้งไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนเองได้อ่านไป
2. ในการตอบคำถามของผู้สื่อข่าวโดยไม่มีโพยในมือ มักจะเกิดข้อผิดพลาดเช่น ในการพูดถึงเงินบาทแข็งค่าว่าจะเป็นประโยชน์แก่การส่งออก และกลับมาพูดแก้ข่าวอีกครั้งว่าเป็นประโยชน์จากการนำเข้า เป็นต้น
ด้วยพฤติกรรมที่แสดงออกด้วยการพูดดังกล่าวข้างต้น ทำให้มองเห็นความไม่พร้อมที่จะมาเป็นผู้นำ ซึ่งมีพันธกิจจะต้องแบกรับในการนำพาประเทศ เนื่องจากขาดความรอบคอบ รอบรู้ในด้านต่างๆ ที่ผู้นำจำเป็นต้องรู้และสามารถคิดได้เองโดยไม่ต้องมีคนอื่นคอยบงการให้ทำ เฉกเช่นนักแสดงละครที่คนคอยบอกบทอยู่หลังฉาก
นอกจากไม่มีความพร้อมในการเป็นผู้นำแล้ว นายกรัฐมนตรีอายุน้อยและด้อยประสบการณ์ยังมีแผลทางด้านกฎหมาย และจริยธรรมให้บรรดานักร้องทั้งหลายนำไปเป็นประเด็นเพื่อผลทางการเมืองอีกมากมาย และเชื่อได้ว่าคงจะมีสักประเด็นที่จะทำให้พ้นจากตำแหน่งผู้นำแน่นอน และในเวลาไม่นานด้วย
แต่จะเป็นเมื่อไหร่เห็นจะต้องอาศัยศาสตร์พยากรณ์แขนงต่างๆ โดยเฉพาะโหราศาสตร์ และจากข่าวที่ปรากฏได้มีบรรดาหมอดูทั้งหลายได้ทำนายทายทักเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร กันอย่างกว้างขวาง และส่วนใหญ่เป็นไปในทิศทางเดียวกันว่าอยู่ได้ไม่นาน
ดังนั้น ในฐานะโหราศาสตร์สมัครเล่น ผู้เขียนจึงได้เปิดปฏิทินโหรเพื่อตรวจดวงชะตาบ้านเมือง และพบว่าจากวันที่ 19 ต.ค.-31 ธ.ค. 67 ดาวอังคารโคจรในราศีกรกฎในตำแหน่งนิจและทำมุมโยคกับอังคารเดิม ส่งผลกระทบต่อดวงอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ในทางลบต้องขึ้นโรงขึ้นศาลและมีแนวโน้มแพ้คดีต้องโทษจำคุก และอาจต้องหนีออกนอกประเทศอีกครั้ง
ถ้าเหตุการณ์เกิดขึ้นดังกล่าวข้างต้น ก็จะส่งผลกระทบต่อการดำรงตำแหน่งนายกฯ ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เนื่องจากนายกฯ ตัวจริงไม่อยู่ นายกฯ เงาก็ถึงทางตันและอยู่ได้ไม่เกิน พ.ศ. 2568