ต้องเรียกว่า...ฟังแล้ว “สะอึก!!!” ชนิดอาจต้องเหลียวซ้าย แลขวา หันไปมองหา “ปี๊บ” เพื่อที่จะเอามาใช้คลุมหัวเป็นใบๆ เอาเลยทีเดียว สำหรับคำตำหนิติติงของประมุขทางจิตวิญญาณแห่งศาสนจักรคาทอลิก “พระสันตะปาปาฟรานซิส” เมื่อไม่กี่วันมานี้ ที่ได้สรุปไว้สั้นๆ ถึง “การไร้ความสามารถอย่างน่าละอาย” (shameful inability) ของโลกทั้งโลก ที่ไม่สามารถระงับยับยั้ง “สงครามในตะวันออกกลาง” ได้เลย แม้จะผ่านความเจ็บปวดรวดร้าวมาแล้วถึง 1 ปีเต็มๆ...
แต่ก็นั่นแหละ...ไม่ใช่แค่เฉพาะการเข่นฆ่า ล้างเผ่าพันธุ์ เด็ก-ผู้หญิง-คนชรา พลเรือนผู้บริสุทธิ์ในเขตฉนวนกาซา ให้ตายโหงตายห่าไปเพราะความอำมหิตโหดร้าย ของกองทัพอิสราเอลภายใต้การนำของผู้นำประเภท “เหี้ยย์ย์ย์...มม์ม์ม์” จน “ม.ม้า” แทบวิ่งไล่ไม่ทัน อย่าง “นายBenjamin Netanyahu” นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ปาเข้าไปกว่า 40,000 รายก็ยังไม่หายเหี้ยมหายโหด จนตราบเท่าทุกวันนี้ การลอบสังหารผู้นำขบวนการ “Hezbollah” แล้วเปิดฉากบุกเข้าไปในเลบานอน ในลักษณะแทบไม่ต่างอะไรไปจากสมรภูมิกาซา ที่ทำเอาชาวเลบานอนตายไปแล้วไม่ต่ำกว่า 2,141 ราย บาดเจ็บอีก 10,092 คน ต้องไร้ที่นาคาที่อยู่อีกไม่ต่ำกว่า 600,000 คน ไม่ก็ต้องอพยพหลบหนีทิ้งบ้าน-ทิ้งเมืองไปอยู่ต่างประเทศ ไม่น้อยไปกว่า 300,000 คน อันเป็นการกระทำที่พระสันตะปาปาท่าน “ฟันธง” ไว้แบบชนิดไม่จำเป็นต้องลังเลใดๆ แม้แต่น้อยว่าเป็นสิ่งที่ “เกินเลยขอบเขตของศีลธรรม” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน...
ว่าไปแล้ว...ในครั้งพวก “สัมพันธมิตร” คิดเผด็จศึกปราบปรามเล่นงานผู้เผด็จการอย่าง “ฮิตเลอร์” ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 การนำเอาระเบิดไปทิ้งถล่มใส่เมืองสำคัญๆ ของเยอรมนี อย่างเมือง “Dresden” ตลอดช่วงปี ค.ศ. 1945 ยังใช้ปริมาณระเบิดเพียงแค่ 3,900 ตันไม่เกินไปกว่านั้น หรือครั้งที่เครื่องบินอเมริกาดาหน้าไปถล่มเมือง “Hiroshima” ของญี่ปุ่นพันธมิตรของเยอรมนีตลอดปี ค.ศ. 1945 ก็อาศัยปริมาณระเบิดประมาณ 15,000 ตันเท่านั้นเอง หรือเมื่อฝ่ายเยอรมนีคิดทำลายแนวรบแนวป้องกันของฝ่ายสัมพันธมิตรด้วยการทิ้งระเบิดถล่มกรุงลอนดอนของอังกฤษตลอดช่วงปี ค.ศ. 1940-1944 หรือตลอดช่วงระยะ 4 ปี ก็ใช้ปริมาณระเบิดแค่ 20,000 ตัน แต่สำหรับการถล่มอาณาบริเวณเล็กๆ แค่ประมาณ “แมวดิ้นตาย” อย่างพื้นที่เขตฉนวนกาซาของชาวปาเลสไตน์นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2023-2024 หรือเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น กองทัพอากาศอิสราเอลถึงกับต้องใช้ปริมาณระเบิดที่คุณพ่ออเมริกานำมาประเคนให้ จำนวนถึง 75,000 ตันเอาเลยถึงขั้นนั้น!!! บรรดาอาคารบ้านเรือน สถานที่ทำการต่างๆ ไม่ว่าโรงเรียน โรงพยาบาล ศูนย์อพยพลี้ภัย ฯลฯ เลยต่างต้องกลายเป็น “ซากปรักหักพัง” ชนิดที่ว่ากันว่า...อาจต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 80 ปี ถึงจะเก็บกวาดได้หมด...
ความเหี้ยม ความโหด ของกองทัพอิสราเอลที่ไม่เพียงแต่เลยไปจาก “ขอบเขตทางศีลธรรม” ใดๆ ที่จะพอหน่วงๆ รั้งๆ เอาไว้ได้แต่กระทั่งกฎ ระเบียบ กติกา หรือ “กฎหมายระหว่างประเทศ” ก็แทบไร้ค่า ไร้ราคา หรือไม่ได้อยู่ในสายตาของกองทัพ “IDF” (Israel Defense Force) เอาเลยแม้แต่น้อย เช่นเหตุการณ์ช่วงวันพฤหัสฯ ที่ 10 ต.ค.ที่เพิ่งผ่านมา ขบวนรถถัง “Merkava” ของอิสราเอลที่บุกเข้าไปยังแถบเมืองชายแดน “Naqoura” ในเลบานอน ไม่ได้ลังเลใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อยในการสาดกระสุนเข้าใส่หอคอยที่เป็นกองบัญชาการของหน่วยงานรักษาสันติภาพสหประชาชาติ (UN Peacekeeping Force) จนส่งผลให้ทหารสหประชาชาติชาวอินโดนีเซีย 2 ราย ต้องบาดเจ็บสาหัสทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย หรือทั้งที่มีสถานะเป็นผู้คอยปกป้อง ดูแล สันติภาพให้กับทุกๆ ฝ่าย อันทำให้โฆษก “UNIFL” (United Nations Interim Force in Lebanon) อย่าง “นายAndrea Tenenti” ต้องออกมากล่าวประณามกองทัพอิสราเอลแบบตรงไป-ตรงมา ว่าถือเป็นการ “ละเมิดสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ...อย่างร้ายแรงเอามากๆ!!!” รวมทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย “นางRetno Marsudi” ที่ออกมาตำหนิการกระทำอันปราศจากความยับยั้งชั่งใจใดๆ ของกองทัพอิสราเอล...
ส่วนคุณพ่ออเมริกาผู้ที่พยายามปกป้อง “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” อย่างอิสราเอลโดยไม่สนใจว่าจะดี-จะชั่ว จะเลวทรามต่ำช้า โหด-เลว-ถ่อย มากหรือน้อยขนาดไหน แม้โฆษกทำเนียบขาวจะออกมาแสดง “ความสนใจอย่างลึกซึ้ง” ต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่ก็มิวาย “แก้ตัว” ให้กับกองทัพอิสราเอลในแง่ที่ว่า โดยเป้าหมายหลักๆ ของอิสราเอลนั้นมุ่งที่จะทำลายโครงสร้างของพวก “Hezbollah” เป็นสำคัญ ไม่ต่างไปจากพวก “พรมเช็ดเท้า” อเมริกา อย่างเช่นหัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศอียู “นายJosep Borrell” แม้จะออกมากล่าวถึงการกระทำของกองทัพอิสราเอลว่า “เป็นสิ่งที่มิอาจยอมรับได้” แต่ก็มิได้คิดที่จะลงมือกระทำการใดๆ มากมายไปกว่านี้ เช่นเดียวกับผู้นำฝรั่งเศส อย่าง “นายEmmanuel Macron” นั่นแหละ ที่แม้ว่าเคยปรารภรำพึงว่าน่าจะเลิกส่งอาวุธให้กับกองทัพอิสราเอลได้แล้ว แต่ทันทีที่ถูกผู้นำอิสราเอล “นายBenjamin Netanyahu” ออกมาด่ากลับด้วยคำพูดแค่ไม่กี่ประโยค พันธมิตรพรมเช็ดเท้าของอเมริการายนี้ ก็กลับต้องออกมาป่าวประกาศว่าฝรั่งเศสนั้น มี “พันธสัญญาที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงต่อความมั่นคงของอิสราเอล” นี่...ต้องเรียกว่าช่างลื่นไหล ลอดเลื้อย หนักซะยิ่งกว่าคุณน้อง “ณัฐวุฒิ สภาโจ๊ก” บ้านเราไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า...
ด้วยเหตุนี้นี่เอง...เลยทำให้ประเทศที่มีเนื้อที่เพียงแค่ 23,145 ตร.กม. มีประชากรแค่ 9,864,920 คนอย่างอิสราเอล ถึงได้ “กร่างง์ง์ง์” ชนิดใหญ่คับโลก-คับฟ้า แทบไม่เห็นชาวโลกอยู่ในสายตาเอาเลยแม้แต่น้อย อันเนื่องมาจากผู้ที่พยายามดำรงรักษาความเป็นจ้าวโลก ประมุขโลก อย่างคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรพรมเช็ดเท้าอย่างอียู คอยพิทักษ์ ปกป้อง ปานประดุจไข่ในหินอะไรทำนองนั้น หรืออย่างที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของอิหร่าน “นายMasoud Pezeshkian” ได้ให้คำอธิบายหลังการพบปะกับผู้นำรัสเซียเมื่อวัน-สองวันมานี้นั่นแหละว่า ทั้งยุโรปและอเมริกา...ต่างไม่ต้องการที่จะให้ความสัมพันธ์ระหว่างของบรรดาประเทศต่างๆ ในตะวันออกกลางพัฒนาไปในแนวทางสันติ หรือต้องการให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันยุ่งๆ เข้าไว้ดังนั้น “ตัวแทน” ของอเมริกาและตะวันตกอย่างอิสราเอล ที่เป็นตัวก่อความยุ่งยากต่างๆ นานาภายในภูมิภาคนี้ เลยไม่ได้คิดจะสนใจต่อกฎหมายระหว่างประเทศหรือมาตรฐานสิทธิมนุษยชนใดๆเอาเลยแม้แต่น้อย...
และด้วยเหตุเพราะไม่อยากจะเผชิญหน้ากับจ้าวโลกอย่างอเมริกาและพันธมิตรอียูนั่นเอง...ที่ทำให้โลกทั้งโลกต้องหันมา “อมสากกะเบือ” กันคนละด้าม-สองด้าม ต้องเหลียวซ้าย-แลขวามองหา “ปี๊บ” เอาไว้คลุมหัว เพื่อไม่ให้ต้องมองเห็นความถูก-ความผิด ความดี-ความชั่ว ไม่เห็นเด็ก-ผู้หญิง-คนชราถูกฆ่าตายเป็นหมื่นๆ ในเขตฉนวนกาซา รวมถึงในเลบานอนที่กำลังกลายเป็น “กาซารายต่อไป” ดังนั้น...เสียงเรียกร้องของผู้ใฝ่หาสันติภาพ อย่างคุณพี่จีน ที่พยายามกู่ก้องร้องตะโกนผ่านสื่อทางการของจีนอย่าง “Global Times” เมื่อช่วงวันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา ประมาณว่า “International community should join hands to pull Middle East back from brink of cliffs” หรือบรรดาประชาคมชาวโลกทั้งหลายควรที่จะจับไม้-จับมือร่วมมือกันช่วยฉุด ช่วยลาก ไม่ให้ภูมิภาคตะวันออกทั้งภูมิภาคต้องร่วงหล่นลงไปหุบเหวอะไรทำนองนั้น อาจต้องกลายเป็นสิ่งที่ “ฟัง...แล้วไม่ได้ยิน” หรือไม่? ประการใด? ก็ยังมิอาจสรุปได้...
เพราะว่าไปแล้ว...สิ่งที่กำลังอุบัติขึ้นมาในตะวันออกกลาง ก็แทบไม่ต่างอะไรไปจากสิ่งที่อุบัติขึ้นมาในยุโรปตะวันออกหรือในความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนนั่นเอง คือไม่ว่าโลกแทบจะทั้งโลกต่างพยายามหาทางออกโดยหวังจะให้ทั้งสองฝ่าย “นั่งโต๊ะเจรจา” ระหว่างกันและกันมาโดยตลอด ไม่ว่าโดยความพยายามของตุรเคียที่อาสาเป็น “ตัวกลาง” มาตั้งแต่แรก ความพยายามของบรรดาผู้นำชาติแอฟริกานับสิบๆชาติ ที่อุตส่าห์เดินทางไปเยือนทั้งรัสเซียและยูเครน เพื่อเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวให้หันมาหาข้อยุติด้วยการพูดคุยเจรจาให้จงได้ ไปจนถึงคุณพี่จีน อินเดีย บราซิล ฯลฯ ที่ต่างพยายามออกเรี่ยวออกแรงกันไปมิใช่น้อย แต่ก็ด้วยเหตุเพราะคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรพรมเช็ดเท้าอียูอีกนั่นแหละ ที่โดดเข้ามาล้มโต๊ะเจรจา เพื่อหวังที่จะให้ “ตัวแทน” อย่างยูเครนช่วยบั่นทอน ทำลาย “ระบอบปกครองปูติน” ให้อ่อนปวกเปียก ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จนประเทศรัสเซียอาจต้องแตกสลายออกไปเป็นชิ้นเล็ก-ชิ้นน้อย เหมือนอย่างที่เคยแหลกลาญครั้งที่ยังดำรงสถานะเป็นสหภาพโซเวียต...นั่นแล...
ด้วยเหตุนี้... “การไร้ความสามารถอย่างละอาย” ของโลกทั้งโลก มันจึงมีที่มา-ที่ไปอันเนื่องมาจากประมุขโลกอย่างคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรพรมเช็ดเท้าอียูในแต่ละรายนั่นเอง ที่เป็น “อุปสรรค” ขัดขวางสำคัญที่สุด จนทำให้ชาวโลกแต่ละรายหนีไม่พ้นต้องหา “ปี๊บ” แต่ละใบมาคลุมหัวตัวเองกันไปตามสภาพ แม้ว่าบรรดาปวงชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยในแต่ละประเทศ จะออกมาเรียกร้องให้เลิกสนับสนุนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในตะวันออกกลาง เลิกเป็นศัตรูหรือให้หาทางอยู่ร่วมกันโดยสันติกับรัสเซีย แต่กระทั่งรัฐบาลประชาธิปไตยแท้ๆ ที่ดันตกอยู่ภายใต้อำนาจ อิทธิพลของอเมริกา ต่างก็หนีไม่พ้นต้องหันมาอมสากกะเบือ ต้องเดินสวนทางกับความปรารถนา-ต้องการของประชาชนตัวเอง ต้องยอมละทิ้ง “อำนาจอธิปไตย” เพียงเพื่อให้มีโอกาสอยู่รอดปลอดภัยเอาไว้ก่อน ดังนั้น....สิ่งที่น่าจับตากันต่อไป ก็คือโลกจะสามารถ “เอาชนะอุปสรรค” ดังกล่าวได้ด้วยวิธีไหน? อย่างไร? และเมื่อไหร่? หรือได้แต่กลัวๆ-กล้าๆ กันไปโดยตลอด...