หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
มีคนเริ่มตั้งคำถามว่ารัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตรจะไปไหวมั้ย เมื่อเธอต้องพึ่งพาแท็บเลตในการบริหารประเทศ หลังจากที่เราเห็นเธอแถลงข่าวหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคาร และถือแทบเลตไปเจรจาทวิภาคีกับต่างประเทศ เธออ้างว่าประเทศไหนก็ทำกันเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด แต่เราก็เห็นในภาพที่เผยแพร่ว่าคู่เจรจาทวิภาคีของเธอไม่มีใครถือแทบเลตเลยแล้วอย่างนี้จะว่าใครก็ทำได้อย่างไร
ทีมงานของเธอและนักการเมืองพรรคเพื่อไทยที่พยายามจะชื่นชมความสำเร็จของเธอก็พยายามออกมาชี้แจงว่า ในคลิปที่พูดคุยกับประธานาธิบดีอิหร่าน เป็นเพียงแค่ตัดมาไม่กี่วินาที แต่ในการประชุมกว่า 30 นาที อุ๊งอิ๊งค์ได้พูดคุยอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ก้มหน้าก้มตาตลอดเวลาอย่างที่เป็นข่าว ก็สงสัยนะครับว่า หากเป็นอย่างที่ทีมงานบอก ทำไมไม่เอาคลิป 30 นาทีมาเผยแพร่ให้คนที่บอกว่าก้มหน้าก้มตาอ่านแทบเลตให้หน้าแตกไปเลย
แถมเมื่อไปดูในเว็บไซต์ของสำนักนายกรัฐมนตรีที่แชร์คลิปข่าวอุ๊งอิ๊งค์เจรจาทวิภาคีกับประธานาธิบดีทาจิกิสถานก็ปรากฎว่าเป็นภาพผู้นำทาจิกิสถานพูดด้วยภาษาของเขาผ่านล่ามอยู่ 2-3 ประโยค แล้วตัดมาที่การลุกขึ้นจับมือกันเลย ทำไมไม่เอาช่วงที่อุ๊งอิ๊งค์เจรจาความเมืองมาออก หรือกระทั่งที่ชื่นชมวิสัยทัศน์อุ๊งอิ๊งค์ในการประชุมเอซีดี ทำไมไม่เอาคลิปการแสดงวิสัยทัศน์ของอุ๊งอิ๊งค์ที่ชื่นชมกันมาเผยแพร่เพื่อตอกหน้าพวกค่อนแคะเล่า
อย่างที่บอกมาแล้วว่า แม้แต่หลังประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารเธอก็อ่านจากแทบเลตให้นักข่าวฟัง และตอบคำถามได้แต่เรื่องพื้นๆ ใครถามเรื่องภาวะเศรษฐกิจหรือค่าเงิน เธอก็จะไม่ตอบเพราะเคยตอบผิดมาแล้ว เลยโป้ยไปให้รัฐมนตรีคลังตอบ และการแถลงข่าวทุกครั้งก็จะต้องมีรัฐมนตรีมายืนเรียงข้างหลังเป็นหน้ากระดานเพื่อช่วยเธอ เพิ่งจะมีสัปดาห์นี้ที่เธอออกมายืนเดี่ยว
คำถามที่ตามมาก็คือ เธอจะไหวมั้ย การเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะเป็นก็ได้ โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยผ่านงานอะไรมาก่อนเลยอย่างเธอแล้วกระโดดข้ามจากการอยู่บ้านเลี้ยงลูกชอปปิงมาเป็นนายกรัฐมนตรีเลย
นอกจากนั้นสังเกตมาแล้วหลายสัปดาห์ว่าวันเสาร์อาทิตย์จะเป็นวันหยุดของเธอ เพราะเธอแทบจะไม่เคลื่อนไหวเลย วันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาท่ามกลางข่าวน้ำท่วมเชียงใหม่อย่างหนักเธอก็ไม่ปรากฏตัว มีเพียงข่าวว่าเธอไถแทบเลตตอบโต้คนที่หาว่าเธอก้มหน้าก้มตาอ่านสคริปต์ในโซเชียลมีเดียว่าใครๆ เขาก็ทำกัน
แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายในขณะที่สังคมตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของนายกรัฐมนตรีก็มีข่าวว่าคนที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่หลังม่านก็คือ ทักษิณพ่อของเธอ มีรายงานว่ามีการเรียกรัฐมนตรีไปพบเพื่อสั่งงานด้วย รวมถึงข่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกับ นายเนวิน ชิดชอบ คนที่ว่าการอยู่หลังม่านรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยถูกเรียกไปพบที่บ้านจันทร์ส่องหล้า แม้นายอนุทินจะบอกว่า เป็นเรื่องไร้สาระก็ตาม
แต่แม้เราจะตั้งคำถามเรื่องความรู้ความสามารถของคนเป็นนายกรัฐมนตรีแค่ไหน แต่เราก็ต้องยอมรับว่า เธอมาตามหนทางของระบอบประชาธิปไตย เพียงแต่มันทำให้ระบอบประชาธิปไตยถูกตั้งคำถามว่า วิธีการที่ใช้นั้นมันทำให้เราได้คนที่มีความรู้ความสามารถที่จะนำพาประเทศไปได้จริงๆหรือ
และเมื่อเราตั้งคำถามถึงความรู้ความสามารถของอุ๊งอิ๊งค์ ก็มีคำถามว่าแล้วอะไรที่ผู้ที่เป็นผู้นำประเทศจะต้องมีบ้าง เราก็ได้แนวคิดเกี่ยวกับคุณสมบัติและความรู้ความสามารถที่ผู้นำประเทศควรมีย่อมแตกต่างไปตามแนวทางการวิจัยและทฤษฎีของนักรัฐศาสตร์และนักวิชาการแต่ละท่าน นี่คือบางส่วนของข้อคิดเห็นจากนักรัฐศาสตร์และนักวิชาการตะวันตกชื่อดังได้กล่าวไว้
แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) กล่าวว่าความสามารถในด้านการบริหาร (Administrative Efficiency) เวเบอร์ให้ความสำคัญกับความสามารถในการบริหารจัดการและระบบราชการ ผู้นำควรมีความเข้าใจในวิธีการบริหารงานที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
นิโคโล มาเคียเวลลี่(Niccolò Machiavelli) กล่าวว่าความสามารถในการวางแผนและกลยุทธ์ (Strategic Planning and Tactics) ในหนังสือ “The Prince” (เจ้าผู้ปกครอง) มาเคียเวลลี่เน้นว่าผู้นำควรมีความสามารถในการวางแผนทางยุทธศาสตร์ และสามารถปรับตัวและเตรียมการรับมือกับสถานการณ์ท้าทายได้
เจมส์ แม็คเกรเกอร์ เบิร์นส์ (James MacGregor Burns) กล่าวว่า ความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจและวิสัยทัศน์ (Inspirational and Visionary Leadership) เบิร์นส์เชื่อว่าผู้นำที่ดีต้องสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น และมีวิสัยทัศน์ชัดเจนในการนำพาประเทศไปสู่เป้าหมายที่ดีกว่า
จอห์น คอตเตอร์(John Kotter) กล่าวว่า ความสามารถในการนำการเปลี่ยนแปลง (Change Leadership) คอตเตอร์ได้เน้นถึงความสำคัญของการมีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงองค์กรหรือประเทศ ซึ่งรวมถึงการสร้างวิสัยทัศน์, การนำและการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ
โรเบิร์ต เค. กรีนลีฟ (Robert K. Greenleaf) กล่าวว่า ความสามารถในการรับฟังและเข้าใจผู้อื่น (Listening and Empathy) กรีนลีฟเน้นว่าผู้นำที่ดีต้องมีความสามารถในการรับฟัง และเข้าใจความต้องการและความกังวลของประชาชน
การกล่าวอ้างนักวิชาการตะวันตกมาเพราะเรามักกล่าวว่า ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์นั้นต้องเป็นประชาธิปไตยแบบชาวตะวันตก เพราะพวกเขาเป็นแม่แบบที่เราลอกเลียนมา แม้ความจริงแท้เราจะรู้ว่าผู้นำที่ดีนอกจากที่มีความรู้ความสามารถแล้ว ต้องมีคุณธรรรมด้วยก็ตาม แต่ที่เรายกมานั้นเราเห็นบ้างไหมว่า เป็นคุณสมบัติที่อุ๊งอิ๊งค์มี แต่เพื่อความเป็นธรรม เราก็ลองย้อนไปดูว่าผู้นำประเทศไทยคนไหนบ้างที่มีคุณสมบัติอย่างที่ว่ามา
แต่พูดกันตามความเป็นจริงแล้ววันนี้ อุ๊งอิ๊งค์ น่าจะเป็นตัวแสดงในบทบาทนายกรัฐมนตรีที่จะต้องแสดงไปให้สมบทบาทเท่านั้น เพราะเรารู้อยู่ว่า คนที่ว่าการตัวจริงนั้นคอยบัญชาการอยู่หลังม่าน
นับจากนี้มีเวลาอีกเกือบ 3 ปีที่อุ๊งอิ๊งค์จะนำพาประเทศของเรา นอกจากต้องบริหารประเทศแล้ว เธอยังต้องพาตัวเองไปปรากฏกายในเวทีระดับโลกอีกหลายครั้ง ทั้งเวทีทวิภาคีและพหุพาคีที่เธอจะต้องใช้ความรู้ความสามารถในการแสดงวิสัยทัศน์และเจรจาความเมือง แม้ว่าในส่วนนี้จะมีทีมงานคอยเตรียมให้เธอ ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาก็จริง แต่เธอก็ต้องมีความรู้ความเข้าใจด้วยตัวเองด้วยไม่ใช่ก้มหน้าก้มตาอ่านแทบเลต แต่ต้องเงยหน้ามาพูดให้คู่สนทนาเข้าใจและรับรู้ว่า นี่เป็นความรู้ความเข้าใจของเธอจริงๆ เรียกว่าต้องตีบทให้แตกไม่ใช่เป็นเพียงผู้แสดงเป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น
การเป็นนายกรัฐมนตรีของอุ๊งอิ๊งค์ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่ตอนนี้กลายเป็นขั้วอนุรักษนิยมที่แบกรับความท้าทายของพรรคประชาชนที่ต้องการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ชี้ชัดเอาไว้ ถ้าหากอุ๊งอิ๊งค์ไม่สามารถบริหารประเทศไปได้ด้วยดีก็อาจจะทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่งหันไปฝากความหวังไว้กับพรรคประชาชน เมื่อนั้นประเทศไทยก็จะเปลี่ยนไปจากประเทศที่เป็นอยู่ เพราะพรรคประชาชนนั้นมีจุดมุ่งหมายที่จะปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ปฏิรูปกองทัพเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประเทศซึ่งเราไม่รู้ว่าประเทศไทยจะถูกเปลี่ยนแปลงไปสักแค่ไหน
แม้ว่าโอกาสเดียวที่พรรคประชาชนจะได้บริหารประเทศก็คือต้องชนะเลือกตั้งให้ได้เสียงเกินครึ่งพรรคเดียวซึ่งเป็นไปได้ยากมาก แต่ถ้าการบริหารของรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ไม่ได้สามารถที่จะนำพาประเทศไทยให้กินดีอยู่ดีได้ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ก็ไม่แน่เหมือนกันว่า คนจำนวนหนึ่งจะหันไปเลือกตัวเลือกใหม่เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าในชีวิต ซึ่งต้องยอมรับว่า มีตัวเลือกเดียวที่เป็นขั้วตรงกับกับพรรคเพื่อไทยที่ประชาชนจะสวิงไปก็คือพรรคประชาชน ในขณะที่พรรคการเมืองอื่นนั้นมีความอ่อนแอหมดแล้ว แม้ว่าพรรคภูมิใจไทยจะมีความแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง แต่ก็ยากที่จะขึ้นมาเป็นพรรคอันดับหนึ่งได้
ต้องยอมรับว่า โชคดีอยู่บ้างที่วันนี้กระแสของพรรคประชาชนกำลังอ่อนแรงลง ผู้นำพรรคคนใหม่ไม่มีแรงดึงดูดและเสน่ห์มากพอที่จะสร้างความน่าเชื่อถือ แต่ต้องไม่ลืมว่า เมื่อถึงเวลามีคนจำนวนมากที่ออกมาเลือกพรรคนี้โดยไม่สนใจว่าจะเป็นใคร ดังที่เราเห็นจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา แม้เราจะได้ส.ส.รุ่นใหม่ที่มีคุณภาพอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ถือว่าน้อยมากถ้าเทียบกับปริมาณที่พวกเขาได้รับเลือกเข้าสภา ส่วนใหญ่จึงเป็นส.ส.ที่โลกลืมและไม่รู้จัก เพราะไม่สามารถสื่อสารกับสังคมได้
แต่อย่างไรก็ตามรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ก็ต้องบริหารประเทศออกมาให้ประชาชนมีความหวัง แม้จะเริ่มต้นได้ไม่ค่อยสมบทบาทมากนักในช่วงต้นยังท่องจำสคริปต์ไม่ค่อยได้ แต่หวังว่าเมื่อเวลาผ่านไปเธอจะค่อยๆแสดงได้ให้สมกับบทบาทนายกรัฐมนตรีหน้าม่านมากขึ้น เพราะวันนี้เธอกำลังถือเดิมพันของประเทศกับความท้าทายและเปลี่ยนแปลงที่กำลังรุกคืบเข้ามา
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan