xs
xsm
sm
md
lg

เมื่ออิสราเอลคิด“ขยายวงสงคราม”ไปไกลถึงอิหร่าน!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


เบนจามิน เนทันยาฮู
ไม่ใช่แค่การแอบเอาระเบิดใส่ไว้ใน “เพจเจอร์” หรือ “วอล์กกี้-ทอล์กกี้” เท่านั้น...ที่ทำให้ชาวเลบานอนมีอันต้องล้มตายไปกว่า 30-40 ราย บาดเจ็บอีก 3,000-4,000 คน แต่หลังจากทำลาย “เครือข่ายการสื่อสาร” ของพวกนักรบ “Hezbollah” ลงไปได้บางเสี้ยว บางส่วน กองทัพอิสราเอลก็ได้เวลา “ย้ายศูนย์กลางแห่งสงคราม” ขึ้นไปสู่ภาคเหนือ เปิดฉากโจมตีประเทศเลบานอนอย่างเป็นงาน-เป็นการ ทั้งที่การปราบปรามพวก “Hamas” ยังไม่ทันแล้วเสร็จ ไม่เพียงแต่ทิ้งระเบิดปูพรมใส่พื้นที่ภาคใต้ของเลบานอนในเฟสแรกเท่านั้น ล่าสุด...เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา (23 ก.ย.) ยังตามไปถล่มพื้นที่ภาคตะวันออก สังหาร พร่าผลาญ ชาวเลบานอนไปอีกไม่ต่ำกว่า 365 ราย บาดเจ็บอีกกว่า 1,246 ราย ถ้าว่ากันตามคำแถลงของรัฐมนตรีสาธารณสุขเลบานอน “นาย Firass Abiad” หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้...

คือสรุปรวมความแล้ว...สิ่งที่อิสราเอลภายใต้การนำของ “ไอ้เหี้ยม” อย่างนายกรัฐมนตรี “Benjamin Netanyahu” หวังและต้องการ ก็คือการดิ้นรนเอาตัวรอด เพื่อให้ “ตัวกู-ของกู” สามารถอยู่ในอำนาจได้อีกต่อไป ด้วยการ “ขยายวงสงคราม” ให้ลุกลามบานปลายออกไปให้มากๆ เข้าไว้ ไม่ว่าจะนำไปสู่สงครามใน “ระดับภูมิภาค” หรือ “ระดับโลก” ก็ตามที และนั่นเองที่ทำให้ไม่เพียงแต่ต้องเผชิญหน้ากับสงครามถึง 2 ด้านด้วยกัน ทั้งกับชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาและเวสต์แบงก์ รวมทั้งบรรดาชาวเลบานอนทั่วทั้งประเทศ ไม่ใช่แต่เฉพาะพวก “Hezbollah” โดยลำพัง แต่ยังอาจเตลิดเปิดเปิงไปถึงขั้นคิดเปิดศึกโดยตรงกับพี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลางอย่างอิหร่าน ในอีกไม่นานนับจากนี้เอาเลยก็ไม่แน่!!!

ดังที่สื่ออิสราเอลอย่าง “The Jerusalem Post” เขาได้นำเอาความคิด-ความเห็นของผู้รู้-ผู้เชี่ยวชาญในอิสราเอล ทั้งฝ่ายที่เห็นด้วย-ไม่เห็นด้วย อย่างเช่น “พลตรีItzhak Brik” อดีตนักรบคนสำคัญของอิสราเอลในศึก “Yom Kippur” เมื่อปี ค.ศ. 1973 ที่ยังมีร่องรอยบาดแผลเต็มใบหน้า ระหว่างสู้รบกับกองทัพอียิปต์ในสมรภูมิซีนาย แถมยังดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการทางทหารของ “IDF” (Israel Defense Force) ต่อเนื่อง ยาวนานนับสิบๆ ปี จนได้ชื่อ ฉายาว่า “The Prophet of Wrath” หรือผู้พยากรณ์แห่งความขุ่นเคือง คับแค้น ทำนองนั้น รวมทั้ง “นายYair Ansbacher” อดีตนาวิกโยธินแห่งกองพลที่ 89 และอดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล ที่เคยเขียนวิทยานิพนธ์ว่าด้วยการปรับปรุงการปฏิบัติการของกองกำลังพิเศษอิสราเอลให้ทันสมัย ทันเหตุการณ์ มานั่งถก นั่งเถียง ถึงการ “เปิดศึกโดยตรงกับอิหร่าน” ไปเมื่อวัน-สองวันมานี้ อันอาจถือเป็น “ภาพสะท้อน” ถึงความรู้สึก-นึกคิดของชาวอิสราเอลต่อฉากเหตุการณ์สงคราม ที่อาจลุกลามบานปลาย กลายเป็น “สงครามอารมาเกดโดน” เอาง่ายๆ เลยอดไม่ได้ต้องขออนุญาตนำมาถ่ายทอดพอให้เห็นถึงเค้าโครง ความคิด-ความอ่านโดยคร่าวๆ ในช่วงปิดท้ายสัปดาห์นี้...

คือฝ่ายที่กระเหี้ยนกระหือรือในการคิดเปิดศึกโดยตรงกับอิหร่าน อย่าง “นายYair Ansbacher” นั้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่พวก “ขวาคลั่ง” หรือพวก “สุดโต่ง” ที่เอาแต่ยึดอารมณ์-ความรู้สึกแห่งความคลั่งชาติเป็นหลัก แต่ยังให้ค่า ให้ความสำคัญ ต่อฝ่ายตรงข้ามอย่างอิหร่านว่าเป็น “ศัตรูที่น่ากลัวและประมาทมิได้” โดยเฉพาะการชี้ให้เห็นถึงความสามารถในการหลอมรวมเอา “ความฉลาด” และ “ความหัวรุนแรงในทางศาสนา” เข้าไว้ด้วยกัน จนทำให้เกิดพัฒนาการทางวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยี เกิดการเรียนรู้ถึงจุดแข็ง-จุดอ่อนของโลกตะวันตก ต่างไปจากบรรดาพวก “คลั่งศาสนา” รายอื่นๆ และทำให้เกิดการกำหนดยุทธศาสตร์ที่โอบรอบอิสราเอลไว้ถึง 3 วงล้อมด้วยกัน...

วงแรกได้แก่บรรดา “ตัวแทน” ของอิหร่านในซีเรีย อิรัก เลบานอนหรือเยเมน ฯลฯ เป็นต้น ที่พร้อมจะบุกอิสราเอลทันทีเมื่อได้รับคำสั่ง หรือพร้อมที่จะหน่วงเหนี่ยวการโจมตีโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านไปโดยตลอด วงที่สองก็คือการเร่งสะสมจรวด โดรน และขีปนาวุธต่างๆ เอาไว้อย่างชนิดอภิมหาศาล ทำให้การโจมตีโดยตรงของอิสราเอลต่ออิหร่านยากที่จะฝ่าฟันได้ง่ายๆ และวงรอบที่สามอันสำคัญที่สุด...คือเร่งการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์เพื่อช่วยในการปกป้องยุทธศาสตร์ทั้งมวล ให้สามารถดำเนินต่อไป จนกระทั่งสามารถ “กระชับวงล้อม” อันอาจส่งผลให้ประเทศอิสราเอลต้องถึงกาลพินาศ ล่มสลาย หรือต้องถูก “ลบจากแผนที่” ลงไปในท้ายที่สุด...

หรือ... “โดยแผนการขั้นพื้นฐานของอิหร่านก็คือการคิดโจมตีอิสราเอลจากทุกๆด้าน เพื่อทำให้เราสูญพันธุ์ไปเลย เพียงแต่แผนเหล่านี้ถูกทำให้ยุ่งเหยิงเพราะการโจมตีอิสราเอลของพวก Hamas และนั่นทำให้เกิดจุดอ่อนขึ้นมาในแผนการดังกล่าว แต่ถึงกระนั้นชะตากรรมของอิสราเอลก็ยังตกอยู่ในสภาพมิอาจรับรู้ได้ ด้วยบรรดาอาวุธที่พันอยู่รอบๆ คอของปลาหมึกยักษ์ตัวนี้และสามารถเปิดฉากรุกให้เราถึงขั้นจนแต้มได้ง่ายๆ ดังนั้น...การโจมตีอิหร่านซะเดี๋ยวนี้!!! จึงเป็นโอกาสสุดท้ายก่อนที่มันจะสามารถสร้างภัยคุกคามด้วยอาวุธนิวเคลียร์ โดยถ้าเราโจมตีต่อศูนย์กลางอำนาจ เช่นที่กรุง Tehran หรือ Qom ระบอบปกครองอิหร่านที่มีประชากรผู้ไม่สนับสนุนพวกคลั่งศาสนาอยู่อีกเยอะแยะมากมาย เช่นพวก Basij เป็นต้น ก็คงพร้อมที่จะลุกฮือก่อกบฏเพื่อโค่นล้มรัฐบาลได้เช่นกัน และถึงแม้เป็นไปไม่ได้แต่ก็น่าจะสร้างความเป็นอัมพาตให้กับผู้ที่คิดจะโจมตี เล่นงาน เราอยู่ตลอดเวลา...” นี่...กระเหี้ยนกระหือรือ กระหายศึก-สงครามไปแล้วถึงขั้นนี้...

แต่สำหรับนักรบรุ่นลายครามอย่าง “พลตรีItzhak Brik” กลับเห็นไปในทางตรงข้าม คือเห็นการขยายวงสงครามให้ไกลไปถึงอิหร่านนั้น อาจนำมาซึ่งความล่มสลายของอิสราเอลเอาง่ายๆ ด้วยเหตุผลที่เต็มไปด้วยรายละเอียดในทางทหารที่ยากจะปฏิเสธได้ เช่น... “อิหร่านและพวกตัวแทนทั้งหลาย มีขีปนาวุธรวมกันไม่น้อยกว่า 250,000 ลูกรายล้อมรอบๆ อิสราเอล และนั่นยอมหมายความว่า ถ้าหากบรรดาศัตรูเหล่านี้รวมหัวระดมยิงใส่อิสราเอลสักประมาณ 4,000 ลูกต่อวัน ไม่ว่าต่อศูนย์กลางที่อยู่อาศัยของประชากร อ่าว Haifa สาธารณูปโภคไฟฟ้าและน้ำ แหล่งขุดค้นพลังงานในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ไปจนถึงกองบัญชาการ IDF ฯลฯ สิ่งเหล่านี้นี่แหละ ที่กลับทำให้อิสราเอลทั้งประเทศอาจพังทลายเอาง่ายๆ...”

และในฐานะผู้ตรวจการที่มีความใกล้ชิดกับสภาพความเป็นไปในทางทหารของกองทัพอิสราเอลมาอย่างต่อเนื่องยาวนานนับสิบๆ ปี นายพลผู้นี้กลับเห็นว่า กองกำลังภาคพื้นดินของอิสราเอลไม่อาจเผชิญหน้ากับสงครามหลายๆ ด้านได้เลย แม้จะใช้กำลังสนับสนุนทางอากาศ แต่ก็มีค่าใช้จ่ายสูงเอามากๆ ด้วยเหตุเพราะ... “ตลอดช่วงระยะ 20 ปีที่ผ่านมา กองกำลัง IDF ถูกลดจำนวนทหารลงไปถึง 6 กองพล รถถังนับพันคัน รวมทั้งจำนวน 50 เปอร์เซ็นต์ของปืนใหญ่และลูกกระสุน แม้แต่กระสุน รถถัง ลูกปืนใหญ่ที่อยู่ในคลังอาวุธฉุกเฉินของอเมริกาในอิสราเอล ก็ยังต้องถูกส่งไปช่วยยูเครน จนหน่วยทหารราบแทบไม่เหลือขีดความสามารถดังเดิมอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากผู้นำ IDF มักหันไปพูดถึงการทำกองทัพให้เล็กลงแต่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยี รวมทั้งเชื่อว่าสงครามใหญ่ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว เพราะเราเป็นมิตรกับอียิปต์ จอร์แดน และซีเรียก็หมดสภาพลงไป สิ่งเหล่านี้ทำให้กองกำลังภาคพื้นดินถูกกัดกร่อนลงไปมาก ชนิดที่เราไม่อาจควบคุมพวก Hamas ได้อย่างเป็นจริง-เป็นจัง เพราะไม่มีบุคลากรมากพอที่จะตั้งมั่นอยู่ใน Gaza ได้อย่างถาวร ดังนั้น...ลองคิดดูสิว่า ถ้าเราต้องเผชิญหน้ากับสงครามถึง 5 ด้านด้วยกัน ไม่ว่าปาเลสไตน์ เลบานอน ซีเรีย อิหร่าน เยเมน เผลอๆ อาจต้องขอให้พระผู้เป็นเจ้าทรงห้ามไม่ให้รวมจอร์แดนและอียิปต์เข้าไปด้วย แล้วอะไร...จะเกิดขึ้น!!!”

ด้วยเหตุนี้...สิ่งที่ทหารผ่านศึกผู้เคยได้รับชื่อ ฉายา ถึงขั้นผู้พยากรณ์แห่งความเคืองแค้น อย่าง “พลตรีItzhak Brik” เห็นว่าเป็น “ทางออก-ทางรอด” ของประเทศอิสราเอลก็คือ...ต้องเริ่มด้วยการยุติสงครามในฉนวน Gaza แล้วหันไปอุทิศเวลาให้กับการเตรียมตัวรับมือสงครามตามแบบแผน หันไปพัฒนาขีปนาวุธและระบบป้องกันตนเองเช่นอาวุธเลเซอร์ต่อต้านจรวดในรูปแบบต่างๆ หันไปสร้างยุทธศาสตร์ที่เป็นมิตรกับฝ่ายตะวันตกและพวกมุสลิมสายกลาง เพื่อสร้างดุลถ่วงต่อความร่วมมือของอิหร่านและพันธมิตร รวมทั้งระงับยับยั้งการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อิหร่าน แม้ว่านายพลผู้นี้จะไม่เชื่อว่าอิหร่านคิดจะใช้อาวุธร้ายๆ เหล่านี้กับอิสราเอล เนื่องจาก... “ถ้าเขาใช้ระเบิดนิวเคลียร์ทำลายอิสราเอลก็เท่ากับทำลายตัวเอง เพราะแม้แต่ผู้นำรัสเซียอย่างปูตินก็ยังไม่คิดจะใช้อาวุธนิวเคลียร์เล่นงานยูเครน เนื่องจากพวกเขารู้ดีว่า...ถ้าหากนิวเคลียร์ลูกแรกถูกใช้ขึ้นมาเมื่อไหร่ การตอบโต้ด้วยอาวุธชนิดเดียวกันจะตามมาและในท้ายที่สุดทุกคนก็จะถูกทำลายล้างไปด้วยกันทั้งสิ้น” หรือการคิดสร้างอาวุธนิวเคลียร์ (nonconventional weapon) ของอิหร่าน ก็เพื่อที่จะช่วยปกป้องการใช้อาวุธตามแบบแผน (conventional weapon) นั่นเอง อันเป็นสิ่งที่แม้ไม่ถึงขั้น “อันตราย” อย่างที่ “ผู้ที่ไม่รู้เรื่อง” พูดๆ กันไป แต่ยังไงๆ...ย่อมต้องหาทางระงับยับยั้งในทางยุทธศาสตร์อยู่แล้วแน่ๆ...

แต่ไม่ว่าจะรู้เรื่อง-ไม่รู้เรื่อง...ผู้ที่เห็นดี-เห็นงามกับการเปิดฉากโจมตีอิหร่านอย่าง “นายYair Ansbacher” ก็ยังคงยืนหยัด ยืนยันอีกต่อไป ด้วยเหตุผลที่ว่า.. “เราไม่ควรคิดว่าอิหร่านสามารถทำอะไรกับเราได้ แต่ควรคิดถึงสิ่งที่พวกเขาได้ทำไปแล้วอันแสดงให้เห็นว่าตัวแทนอิหร่านอย่างพวก Hamas นั้น ไม่อาจสร้างความเสียหายทางยุทธศาสตร์ให้กับเราได้เลย ส่วน Hezbollah ก็มีขีดจำกัด ดังนั้น...นี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสมในการโจมตีอิหร่าน การตัดหัวปลาหมึกยักษ์ลงไปให้จงได้ เพื่อที่จะทำให้ผลกระทบข้างเคียง (Domino Effect) ไม่มีวันเกิดขึ้นต่อประเทศอิสราเอล และโลกก็จะได้รับประโยชน์จากการกระทำเช่นนี้ แม้แต่อเมริกาก็น่าจะพร้อมที่จะเอาด้วยกับเรา เพราะนี่คือการส่งสัญญาณไปถึงใครก็ตามที่คิดจะท้าทายต่อโลกตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นจีน-รัสเซีย-เกาหลีเหนือ ว่าโลกตะวันตกยังคงเป็นผู้มีอำนาจชี้ขาดใดๆ ก็ตามไปโดยตลอด...”

อย่างไรก็ตาม...เอาเป็นว่า ไม่ว่าใครคิดถูก-คิดผิด สุดท้ายแล้ว...การตัดสินใจเลือก “สงคราม” หรือ “สันติภาพ” ของอิสราเอล มันคงไม่ได้เกี่ยวข้องกับความมีเหตุ-มีผลใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แต่ขึ้นอยู่กับการดิ้นรน เอาตัวรอด แบบไม่ต้องสนใจเหตุผลใดๆ ของผู้นำอิสราเอล อย่าง “นายBenjamin Netanyahu” นั่นแหละเป็นหลัก ชนิดแม้แต่ลูกหลานชาวยิวนับแสนๆ ล้านๆ พร้อมใจออกมา “ลงถนน” เพื่อปฏิเสธ-คัดค้านต่อผู้นำรายนี้ แต่ก็ยังมิอาจช่วยให้อะไรต่อมิอะไรเป็นไปตามเหตุ-ตามผล ตามความถูกต้อง ชอบธรรม ตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือตามกฎระเบียบของโลกได้เลย...


กำลังโหลดความคิดเห็น