การขยายตัวของสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มมุสลิมต่างๆ ในประเทศอาหรับดูเหมือนจะเป็นสภาวะที่เลี่ยงได้ยาก หลังจากที่ผู้นำสูงสุดอิหร่าน อยาตุลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ประกาศชวนให้ชาติมุสลิมทั่วโลก ตัดสัมพันธ์ทางการค้ากับอิสราเอล
คำประกาศนี้เกิดขึ้นในการประชุมเพื่อความเป็นหนึ่งเดียวของชาวอิสลามในกรุงเตหะรานวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยกล่าวหาว่าอิสราเอลได้กระทำอาชญากรรมยาวนานเกือบหนึ่งปีในฉนวนกาซา
นับตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคมปีที่ผ่านมา กองทัพอิสราเอลได้สังหารชาวปาเลสไตน์มากกว่า 41,000 ราย โดย 70% เป็นเด็กผู้หญิง โดยเฉพาะเด็กมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 17,000 ราย
ผู้บาดเจ็บและพิการมีมากกว่า 91,000 ราย กองทัพอิสราเอลได้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในฉนวนกาซาเพื่อไม่ให้ชาวปาเลสไตน์ได้มีชีวิตอยู่ตามปกติ
การโจมตีทิ้งระเบิดต่อเนื่องได้ทำลายอาคารบ้านเรือน โรงพยาบาล โรงเรียน และมหาวิทยาลัยทุกแห่ง เพื่อตัดตอนไม่ให้ชาวปาเลสไตน์ ได้เพิ่มจำนวนประชากรและได้รับการศึกษา และขยายไปฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนด้วย
การโจมตีโดยกองทัพอิสราเอลไม่เว้นแม้แต่ค่ายผู้ลี้ภัยและที่ทำการของหน่วยงานสากลเช่น องค์การสหประชาชาติ ผู้สื่อข่าวเกือบ 200 รายเสียชีวิตเพราะถูกสังหารโดยกองทัพอิสราเอล
การเรียกร้องของผู้นำอิหร่านมีความหมายเพราะชาติมุสลิมกระจายตัวในตะวันออกกลางและทวีปแอฟริกาตอนเหนือ รวมทั้งบางส่วนของเอเชีย ทำให้อิสราเอลและสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักด้านอาวุธและการเงินมาโดยตลอด ถูกประชาคมโลกไม่ คบหาสมาคมด้วย
ขณะเดียวกันสงครามระหว่างอิสราเอลกับกองกำลังติดอาวุธในเลบานอนคือกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ได้ยกระดับความรุนแรง โดยกองทัพอิสราเอลได้ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดโจมตีหลายพื้นที่รวมทั้งกรุงเบรุตในเลบานอน
กลุ่มติดอาวุธในเลบานอนตอบโต้ด้วยการยิงจรวดและขีปนาวุธเข้าในอิสราเอลต่อเนื่องแม้จะถูกสกัดได้บางส่วนแต่ก็สามารถเจาะทะลวงเข้าชั้นในของอิสราเอลเช่น ท่าเรือเมืองไฮฟา และกรุงเทลอาวีฟ
รัฐบาลอิสราเอลประกาศว่าจะส่งกองทัพภาคพื้นดินเข้าสู่ตอนเหนือและสู้กับกองทัพในเลบานอนเพื่อเปิดทางให้ชาวอิสราเอลได้คืนสู่พื้นที่อาศัย หลังจากต้องอพยพหนีการสู้รบมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว
อิสราเอลได้รับผลกระทบอย่างหนักด้านเศรษฐกิจเพราะสงคราม การท่องเที่ยวแทบไม่เหลือ การค้าขายนำเข้าและส่งออกผ่านทะเลแดงหยุดชะงัก และการเกษตรเสี่ยงต่อ ความเสียหายเพราะไม่สามารถส่งออกได้ง่ายและการขาดแคลนแรงงานเก็บเกี่ยวได้ทัน
ถ้าการสู้รบเกิดขึ้นจริงและขยายตัวจะมีกลุ่มมุสลิมจากหลายพื้นที่เข้าร่วมโจมตีอิสราเอลด้วย แต่อิสราเอลก็หวังว่ากองเรือสหรัฐฯ จะให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
คำถามมีอยู่ว่าจะเกิดสงครามระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านตามความต้องการของอิสราเอลหรือไม่ เพราะอิสราเอลต้องการยืมมือสหรัฐฯ จัดการกับอิหร่านด้วยการโจมตียั่วยุก่อนหน้านี้หลายครั้ง
และถ้าถึงระดับนั้นจะมีชาติมหาอำนาจอย่างรัสเซียและจีนมีท่าทีอย่างไรหรือไม่ ถ้าอิหร่านโดนเล่นงานและสหรัฐฯ เข้าร่วมอย่างเต็มที่
ตุรกีซึ่งผู้นำได้ประกาศว่าพร้อมจะรบกับอิสราเอลจะเข้าร่วมหรือไม่ ทั้งที่เป็นสมาชิกองค์การนาโตแต่ก็ประกาศว่าเป็นศัตรูกับอิสราเอลมายาวนาน และพร้อมจะส่งทหารไปสู้รบก่อนหน้านี้
จะเป็นเพียงคำคุยหรือทำจริงก็ต้องรอดูว่าผู้นำตุรกีจะกล้าหักกับสหรัฐฯ หรือไม่เพราะตุรกีมีขนาดกองทัพใหญ่อันดับสองในองค์การนาโตรองจากสหรัฐฯ เท่านั้น
ถ้าเป็นเช่นนั้นการขยายตัวคงไปทั่วภูมิภาค
ตะวันออกกลาง ชาติอาหรับอื่นๆ ที่เพื่อนบ้านอิสราเอลคงไม่อยู่นิ่งเฉยปล่อยให้ชาวมุสลิมถูกฆ่าอย่างที่ชาวปาเลสไตน์ถูกกระทำอย่างโหดเหี้ยมในฉนวนกาซา
เมื่อเป็นเช่นนั้นชาติมุสลิมบางประเทศคงจะไม่อยู่เฉยอย่างเช่นปากีสถาน ซึ่งมีระเบิดอาวุธนิวเคลียร์ที่ทหารเคยประกาศว่าพร้อมจะช่วยอิหร่านถ้าถูกโจมตีโดยนิวเคลียร์จากอิสราเอล
ยุโรปซึ่งเข้าข้างอิสราเอลมาโดยตลอดก็คงจะไม่นิ่งเฉยเช่นเดียวกันเหมือนอังกฤษที่เป็นลูกไล่ของสหรัฐฯ และเป็นต้นเหตุของวิกฤตในตะวันออกกลาง โดยขนชาวยิวจากยุโรป ไปแย่งพื้นที่ชาวปาเลสไตน์
รัฐบาลอิหร่านยังรอเอาคืนอิสราเอลหลังจากที่ผู้นำฮามาสถูกสังหารในกรุงเตหะรานโดยเชื่อว่าเป็นฝีมือของอิสราเอล ช่วงนี้จึงถูกมองว่าอิหร่านกำลังเตรียมพร้อมไม่ใช่ว่ามีเพียงแค่คำขู่
ชาวโลกที่เฝ้าดูสถานการณ์เริ่มหายใจไม่ทั่วท้องเพราะสงครามอาจจะขยายตัวระหว่างยูเครนกับรัสเซียไปสู่ยุโรป และอังกฤษ โดยที่สหรัฐฯ ก็เลี่ยงไม่ได้
ถ้าเป็นเช่นนั้นสงครามโลกครั้งที่สามอาจจะเกิดขึ้นได้ โดยอาจจะมีพื้นที่จำกัดหรือ ขยายตัวขึ้นอยู่กับระดับของวิกฤตและความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างชาติ
คนทั่วไปเพียงแต่เฝ้าดูว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ และจะส่งผลกระทบมาถึงตัวเองมากน้อยเพียงใด ถ้าทุกฝ่ายเล่นกันไม่ยั้ง นั่นคือการสิ้นโลก