คำว่า อบายมุข หมายถึงทางแห่งความเสื่อมในคำสอนของพุทธมี 6 ประการ และการพนันเป็น 1 ใน 6 โดยให้โทษแก่ผู้เล่นการพนัน 6 ประการคือ
1. เมื่อชนะย่อมก่อเวร
2. เมื่อแพ้ก็เสียดายทรัพย์ที่เสียไป
3. ทรัพย์หมดไปเห็นได้ชัดเจน
4. เข้าที่ประชุมเขาไม่เชื่อถือถ้อยคำ
5. เป็นที่หมิ่นประมาทของเพื่อนฝูง
6. ไม่เป็นที่ประสงค์ของผู้ที่จะคู่ครองให้ลูกของเขา เพราะเห็นว่าจะเลี้ยงลูกเมียไม่ไหว
คำสอนข้างต้นได้เกิดขึ้นเมื่อ 2,600 ปีกว่ามาแล้ว แต่ยังคงความเป็นจริงไว้แม้ในปัจจุบัน ทั้งนี้จะเห็นได้ว่ามีนักการพนันคนไหนบ้างที่ชนะตลอดกาล และเมื่อแพ้แล้วไม่เสียดายเงิน มีนักการเมืองคนไหนบ้างที่พูดแล้วน่าเชื่อถือ และได้รับการยอมรับในหมู่คนดี และมีพ่อแม่คนไหนอยากได้นักการพนันมาเป็นคู่ครองของลูก เป็นพ่อหรือแม่ของหลานตัวเอง
ผู้อ่านบางท่านอาจโต้แย้งว่า ในปัจจุบันสังคมเปลี่ยนไปแล้วหลายคนรวยเพราะการพนัน และมีคนนับหน้าถือตา
เกี่ยวกับประเด็นนี้ ผู้เขียนใคร่ขอทำความเข้าใจว่าในวงการพนัน จะมีผู้ที่เกี่ยวข้องกับการพนันอยู่ 2 ประเภทคือ
1. ผู้เล่นการพนันจะเป็นคนแทงหรือเจ้ามือก็เรียกว่านักเลงการพนัน
2. ผู้ประกอบธุรกิจการพนันได้แก่ เจ้าของบ่อนหรือจัดการให้มีการเล่นการพนัน โดยที่ตนเองเป็นนักพนันหรือไม่เป็นก็ได้
ใน 2 ประเภทนี้ ประเภทที่ 1 ถ้าแบ่งออกเป็น 2 ประเภทย่อยตามนัยแห่งคำสอนของเทียนวรรณ ที่ว่า การพนันเป็นความหวังของคนจน แต่เป็นกีฬาของคนรวย ก็จะสรุปได้ว่า คนจนเล่นการพนันถ้าถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเป็นทาสการพนันหรือผีการพนันเข้าสิงแล้ว มีโทษครบ 6 ข้อข้างต้นแน่นอน ส่วนคนรวยคงจะมีโทษไม่ครบ 6 ข้อ เนื่องจากถึงแพ้คงไม่เสียดายทรัพย์เพราะนำเงินส่วนเกินมาเล่น แต่ไม่เป็นที่ยอมรับในหมู่คนดีและไม่มีพ่อแม่ที่ตั้งอยู่ในศีลในธรรมคนไหนต้องการให้ลูกของตนได้มาเป็นคู่ครอง ยกเว้นพ่อแม่ที่เห็นแก่เงินเท่านั้นที่อยากได้คนรวยมาเป็นเขยหรือสะใภ้
ส่วนนักธุรกิจการพนันไม่ว่าเจ้าของบ่อนหรือเจ้าของเว็บไซต์การพนัน ถ้าไม่เป็นคนเล่นการพนันรับรองได้ว่า ร่ำรวยทุกคน ด้วยเหตุนี้หลายคนที่มีความรู้ มีสถานะทางสังคมเป็นที่ยอมรับได้หันมาเป็นเจ้า
แม้แต่รัฐบาลยังมีแนวคิดที่จะตั้งบ่อนเสียเอง ทั้งๆ ที่ตอนนี้รัฐบาลมีสลากกินแบ่งที่ขายอยู่แล้ว และยังแก้ปัญหาการขายเกินราคาไม่ได้ และแถมยังออกสลากเกษียณอายุออกมาอีก แค่นี้ยังมอมเมาประชาชนมากพอแล้ว ถ้าเปิดบ่อนเพิ่มขึ้นอีก รับรองได้ว่าคนไทยเป็นทาสการพนันทั้งเมืองแน่นอน
ถ้าเป็นเช่นนี้เมืองพุทธจะเปลี่ยนเป็นเมืองอะไรให้สอดคล้องกับพฤติกรรมโดยรวมของรัฐบาล
ดังนั้น ถ้าไม่ต้องการเห็นคนไทยงมงายไปมากกว่านี้ หยุดเถอะ พอเถอะ คิดอย่างอื่นทำอย่างอื่นที่สร้างสรรค์มากกว่านี้ได้ไหม? เพื่อให้เมืองไทยมีคำสอนหลงเหลือให้เห็นว่ายังมีผู้ปฏิบัติอยู่ มิใช่มีแค่คำสอนเก็บอยู่ในตู้หนังสือเพียงอย่างเดียว