xs
xsm
sm
md
lg

ใกล้เต็มทีแล้ว!!!...“สงครามอารมาเกดโดน”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


โยอาฟ กัลแลนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของอิสราเอล
ในแง่ของ “สงคราม” แล้ว...การแอบเอา “ระเบิด”ไปใส่ไว้ใน “เพจเจอร์” ก็คงไม่ได้ต่างอะไรไปจากการแอบเอา “ยาพิษ” ไปโรยไว้ในบ่อน้ำ ห้วยหนอง คลองบึง เพื่อหวังให้ฝ่ายตรงข้ามตายโหง-ตายห่าลงไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้นั่นเอง ไม่ได้เพียงแค่ถือเป็นการ “ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ”ดังที่ผู้เชี่ยวชาญสหประชาชาติได้ออกมาแสดงความคิด-ความเห็นไปเมื่อวัน-สองวันนี้ หรือละเมิดกฎแห่งสงครามเท่านั้น แต่ยังต้องถือเป็น “การก่อการร้าย” แบบน่าเกลียด น่าทุเรศเอามากๆ โดยเฉพาะเมื่อพลเรือนผู้บริสุทธิ์ ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ แม้แต่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อายุแค่ไม่กี่ขวบ ก็พลอยต้องเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ตามไปด้วย (ตาย 32 ราย บาดเจ็บกว่า 3,200 ราย)...

ด้วยเหตุนี้...ใครก็ตามที่ดันไปซี๊ดๆ ซ๊าดๆ ยกย่อง สรรเสริญเยินยอ กรรมวิธีการก่อการร้ายของอิสราเอลต่อผู้คนในประเทศเลบานอน เมื่อช่วงวันอังคารที่ผ่านมา (17 ก.ย.) จึงย่อมเป็นอะไรที่ “น่าสังเวช”ตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ โดยอันที่จริงแล้ว จุดมุ่งหมายหลักๆ แห่งการก่อการร้ายของอิสราเอลคราวนี้ ก็คงมุ่งหวังที่จะทำลาย “เครือข่ายการสื่อสาร” ของพวกนักรบ “Hezbollah” นั่นแหละเป็นหลัก เนื่องจากพวกนักรบกลุ่มนี้เขาได้หันมาใช้ “เพจเจอร์” แทนการสื่อสารในทางอื่น เพื่อไม่ให้เกิดการรั่วไหลในการติดต่อสั่งการ ก็เลยถูกหน่วยข่าวกรองของอิสราเอลอย่าง “Mossad” หยิบมาใช้เป็น “จุดอ่อน” ไปจนได้และความพยายามที่จะทำลายข่ายการสื่อสารของพวก “Hezbollah”ก็เพื่อหวังที่จะ “เปิดศึกอีกด้าน” หรือหวังจะ “ขยายวงสงคราม”ตามความปรารถนา ความต้องการของ “ผู้นำกระหายเลือด”อย่าง “นายBenjamin Netanyahu” นายกรัฐมนตรีอิสราเอล แม้ว่าจะ “สวนทาง”กับบรรดาลูกหลานชาวยิวนับแสนๆ ล้านๆ ที่แห่ออกมา “ลงถนน” ไม่คิดจะเอาด้วยกับผู้นำรายนี้ อย่างเห็นได้โดยชัดเจนเมื่อไม่กี่วันมานี้...

ดังนั้น...หลังจาก “ระเบิดเพจเจอร์”ได้เขย่าขวัญสั่นประสาทชาวเลบานอน ไม่ว่าจะเป็นนักรบ-ไม่นักรบก็แล้วแต่ ไม่ต่างไปจากการเปิดฉากด้วย “สงครามจิตวิทยา” หรือ “Psychological Warfare” เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง เครื่องบินโจมตีของอิสราเอลที่ไม่ต้องพะว้าพะวงต่อจรวดและโดรนของพวก “Hezbollah” มากมายสักเท่าไหร่ ก็กรูเข้าไปทิ้งระเบิดปูพรมถล่มอาคารบ้านเรือน ในเมือง Jebbayn, Haltam Kafr Kila, Odaisseh, Chama หรือบริเวณพื้นที่ภาคใต้ของเลบานอนเมื่อช่วงวันพุธที่แล้ว (18 ก.ย.)โดยฉับพลัน-ทันที พร้อมกับคำประกาศของรัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล “นายYoav Gallant”ที่ออกมาคำรามแบบเสียงดัง-ฟังชัดว่า “ศูนย์กลาง” แห่งการทำสงครามของอิสราเอล ได้เคลื่อนย้ายไปสู่พื้นที่ภาคเหนือของอิสราเอล หรือที่ประเทศเลบานอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!!!

ภายใต้สภาพเช่นนี้...ไม่เพียงแต่ผู้นำ “Hezbollah” อย่าง “นายHassan Nasrallah”จะออกมาระบุว่าการ “สังหารหมู่” ชาวเลบานอนทั้งหลาย ถือเป็นการ “ประกาศสงครามโดยตรง”ของอิสราเอลกับประเทศเลบานอนทั้งประเทศอย่างมิอาจปฏิเสธได้ แต่กระทั่งนายกรัฐมนตรีเลบานอน “นายNajib Mikati”ที่ได้แวะเวียนไปเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บตามโรงพยาบาลต่างๆ อย่างชนิดเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามิใช่น้อย ก็ยังต้องออกมายอมรับว่า ไม่ใช่แต่พวก “Hezbollah”เท่านั้น...แต่ชาวเลบานอนทั้งประเทศกำลังตกอยู่ใน
“ภาวะสงคราม”
รวมทั้งอดไม่ได้ที่จะต้องระบายอารมณ์ความรู้สึกอันสุดแสนจะสลดหดหู่ออกมาด้วยว่า...
“การก่ออาชญากรรมต่อฝูงชนที่ไม่มีทางป้องกันตัวเองถึงภายในบ้าน
ใครก็ตามที่คิดใช้กรรมวิธีเช่นนี้มาเข่นฆ่าผู้คน
ต้องเรียกว่า...เป็นอะไรที่สุดจะบรรยายเหลือเกิน”...


อย่างไรก็ตาม...แม้ว่าผู้ที่ถืออิสราเอลเป็น
“พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” อย่างคุณพ่ออเมริกา โดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ
“นายMatthew
Miller”
จะออกมาปฏิเสธว่าอเมริกา “ไม่เกี่ยว-ไม่รู้-ไม่เห็น”
อะไรทั้งสิ้นทั้งปวงสำหรับเหตุการณ์คราวนี้ แต่ในสายตาของนักข่าว
นักวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศและนักทำภาพยนตร์สารคดีชาวอังกฤษ อย่าง “นายRobert
Inlakesh”
ที่ได้แสดงความคิด-ความเห็นไว้ในข้อเขียน
บทความเรื่อง The
US has allowed Israel’s attack Lebanon, and now war may follow”
ไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
หรือถึงกับ “ฟันธง” ลงไปแบบมิดด้าม เต็มด้าม ว่าสหรัฐฯ นั่นแหละคือผู้อนุมัติ
อนุญาต ให้อิสราเอลเปิดฉากโจมตีเลบานอนในคราวนี้ ด้วยการให้เหตุ-ให้ผลเอาไว้ทำนองว่า
ย่อมถือเป็นเรื่อง “ตลก69”เอามากๆ
ที่ประเทศอเมริกาผู้ส่งอาวุธ
ขนอาวุธยุทโธปกรณ์ไปช่วยให้อิสราเอลกระทำย่ำยีใครต่อใครในตะวันออกกลางไม่น้อยกว่า1,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงประมาณ11 เดือนที่ผ่านมา รวมทั้งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วยังตัดสินใจอนุมัติเงินช่วยเหลืออีก
20,000 ล้านดอลลาร์ให้อีกด้วยต่างหาก จะ “ไม่เกี่ยว-ไม่รู้-ไม่เห็น”
อะไรเอาเลยแม้แต่น้อย...

แต่ถึงจะไม่เกี่ยว-ไม่รู้-ไม่เห็นใดๆ
ก็เถอะ!!!
การที่ผู้นำอิสราเอลอย่าง “นายBenjamin Netanyahu” ผู้ได้รับการลุกขึ้นปรบมือทุกๆ2 นาทีจากบรรดานักการเมืองสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ ตัดสินใจ “เปิดศึกอีกด้าน”
หรือตัดสินใจ “ขยายวงสงคราม”คราวนี้
ก็น่าจะเป็นเพราะความเชื่อมั่นโดยพื้นฐานว่ายังไงๆ...อเมริกาย่อมต้องหนุนหลังอิสราเอลอยู่แล้วแน่ๆ
การขยายขอบเขตพื้นที่สงคราม จนใกล้ๆ จะเป็นสงครามระดับภูมิภาคไปแล้วในขณะนี้
จึงไม่ต่างอะไรไปจากการฉุดกระชากลากถูให้กองทัพอเมริกัน
หนีไม่พ้นต้องเข้าไปมีส่วนร่วมกับ “แนวรบในตะวันออกกลาง”อย่างเต็มมือ
เต็มตีนยิ่งเข้าไปทุกที ไม่ว่าจะโดยเต็มใจ-ไม่เต็มใจก็แล้วแต่ หรือไม่ว่าใคร? จะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี
เป็นผู้นำอเมริกาในการเลือกตั้งที่กำลังมาถึง...

ด้วยเหตุนี้...ทุกสิ่งทุกอย่างก็น่าจะเป็นไปดังที่สื่อทางการของจีน
อย่าง Global
Times”
เขาได้ “ฟันธง” ไว้ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วนั่นแหละว่า
US,
UK want war”
หรือทั้งอเมริกาและอังกฤษนั่นเองที่ต้องการทำสงคราม
โดยเห็นได้จากความพยายามที่จะกระพือฮือโหมความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ใน “แนวรบยุโรปตะวันออก”
อย่างไม่คิดจะลด-ละ-เลิกใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย
เตรียมที่จะอนุมัติให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลที่ตัวเองมอบให้
โจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซียเพื่อให้บรรลุ “แผนแห่งชัยชนะ”ตามที่ผู้นำยูเครน
“นายVolodymyr
Zelensky”
กำลังจะนำมาเสนอต่อคุณพ่ออเมริกาช่วงปลายเดือนนี้อันจะกลายเป็น
“ไฟต์บังคับ”ที่ทำให้หมีขาวรัสเซียหนีไม่พ้นต้อง “ตอบโต้อย่างเหมาะสม”ตาม
“ฉากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป”
หรือทำให้อาจนำมาซึ่งOctober
Surprise”
หรือฉากสถานการณ์ที่จะมีผลต่อการเลือกตั้งในอเมริกาหรือต่อการเมืองโลกควบคู่ไปด้วยเอาเลยก็ไม่แน่!!!

คือว่าไปแล้ว...ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย-อิหร่าน
หรือแม้แต่เลบานอนก็ตามที ต่างแสดงกิริยาท่าที ให้พอจะตีความ แปลความ
ได้ค่อนข้างชัดเจน ว่าต่างไม่ต้องการสงคราม หรือไม่คิดยกระดับ
ไม่คิดจะขยายความขัดแย้งใดๆ ทั้งสิ้น หมีขาวรัสเซียนั้นแม้ว่าดุแสนดุ
แถมกำหัวรบนิวเคลียร์เอาไว้ในมือกว่า5,000 หัวรบ
มากกว่าใครเพื่อน แต่ก็ยังพยายาม “ตั้งโต๊ะเจรจา” กับยูเครนมาโดยตลอด
ไม่ว่าตั้งแต่ครั้งที่มีตุรเคียเป็นตัวกลาง ไปจนถึงชาติแอฟริกาและจีน
แต่ก็เพราะถูกอดีตนายกฯ อังกฤษอย่าง “นายBoris Johnson”ล้มโต๊ะ หรือที่ “นางVictoria
Nuland”
อดีตทูตสหรัฐฯ ประจำ NATO” ออกมาสารภาพเมื่อเร็วๆ นี้
ว่าอเมริกานั่นเองคือผู้แนะนำให้ผู้นำยูเครนปฏิเสธการเจรจากับรัสเซียช่วงปี ค.ศ.2022
ไม่ต่างไปจากอิหร่านที่แม้ว่าแค้นแสนแค้นต่อการลอบฆ่า
ลอบสังหารของอิสราเอลต่อใครๆ ในประเทศตัวเอง แต่การ “ยืดเวลา” การล้างแค้น-เอาคืนออกไปเป็นสัปดาห์ๆ
เข้าไปแล้ว ย่อมสะท้อนถึงความสุขุม รอบคอบ
ความยับยั้งชั่งใจที่ไม่คิดจะเดินเข้าสู่ “กับดัก” ของผู้นำอิสราเอลเอาง่ายๆ
เช่นเดียวกับเลบานอนที่ยังถูกรุมเร้าด้วยปัญหาเศรษฐกิจ
อันเป็นวาระเร่งด่วนและสำคัญยิ่งกว่าการหันมาเล่นเกมสงครามกับอิสราเอลเป็นไหนๆ...

แต่ก็นั่นแหละ...ด้วย
“แรงกดดัน” ด้วยการ “ยั่วยวนกวนส้นตีน” แบบไม่คิดจะลด-ละ-เลิก
จากผู้ที่ “กุนซือสมองเพชร” อย่าง “เสธ.ไพศาล”บ้านเรา (แต่ดันถูกคุณน้อง
“สุรวิชช์ วีรวรรณ” ของหมู่เฮาเปลี่ยนชื่อ ฉายา ให้กลายเป็น “ลุงเต้า”
ไปซะนี่) ท่านเรียกขานเอาไว้ในนาม “แก๊ง3 อ.” (อเมริกา-อังกฤษ-อิสราเอล)
ทำให้แต่ละรายต่างต้องตกอยู่ในสภาพ “ไฟต์บังคับ”ในการตอบโต้-เอาคืนไปด้วยกันทั้งสิ้น
จนทำให้อดไม่ได้ที่จะหวนรำลึกนึกถึงข้อความในพระคัมภีร์ไบเบิล บทวิวรณ์16:14 ที่ “ยอห์นผู้เห็นภาพนิมิต”(John the Revelator) บรรยายเอาไว้ว่า... “และข้าพเจ้าเห็นผีโสโครก3 ตน รูปร่างคล้ายกบออกมาจากปากพญานาค ออกจากปากสัตว์ร้ายนั้น
และออกจากปากคนที่ปลอมตัวเป็นผู้เผยพระวจนะ
ด้วยว่าผีเหล่านั้นเป็นผีร้ายกระทำหมายสำคัญ
มันออกไปหากษัตริย์ทั้งปวงทั่วพิภพเพื่อให้บรรดากษัตริย์เหล่านั้นร่วมกันทำสงครามในวันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด
(นี่แน่ะ...เราจะแอบย่องมาเหมือนขโมย
ผู้ที่ตื่นอยู่และรักษาเสื้อผ้าของตนไว้อย่างดีจะเป็นสุข
เพราะเขาไม่ต้องเดินเปลือยกายให้คนทั้งหลายเห็น) และมันทั้ง3 ได้ชุมนุมพวกกษัตริย์ที่ตำบลหนึ่ง ซึ่งภาษาฮิบรูเรียกว่า...อารมาเกดโดน”
นี่...จริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ เป็นไปได้-เป็นไปไม่ได้ ก็ลองไปคิดๆ เอาเองก็แล้วกัน...


กำลังโหลดความคิดเห็น