สถานการณ์โลกจะวิกฤตทั้งในยูเครนและตะวันออกกลางได้สร้างความวิตกกังวลว่าสงครามโลกครั้งที่สาม หรือสงครามนิวเคลียร์อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้
และถ้าเป็นอย่างนั้นสิ่งที่จะเป็นก็คือสภาวะที่เรียกว่าโลกาวินาศ โลกจะไม่เป็นที่น่าอยู่อาศัยของมนุษย์อีกต่อไป เพราะทุกอย่างจะถูกทำลายล้างด้วยอาวุธนิวเคลียร์ถ้าลามไปทั้งโลก
ผู้นำรัสเซียประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ได้ประกาศเพิ่มกำลังทหารให้ถึงจำนวน 2.4 ล้าน เพิ่มจากทหารประจำการปัจจุบัน 1.5 ล้าน โดยให้คำอธิบายอย่างง่ายว่าเพื่อตอบรับกับสภาวะที่เป็นภัยคุกคาม
เท่าที่เห็นรัสเซียคงจะไม่เพิ่มกำลังทหารโดยไม่มีเหตุผลเพราะเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายมหาศาล แต่อยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจว่าสถานการณ์สภาวะความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างรัสเซียกับโลกตะวันตกนำโดยสหรัฐฯ เป็นความเสี่ยงต่อความอยู่รอดของประเทศ
ปัจจุบันรัสเซียกำลังทำสงครามกับยูเครนซึ่งได้ใช้โดรนโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซียโดยมีชาติตะวันตกใช้เทคโนโลยีด้านการสื่อสารดาวเทียม และการเฝ้าระวังสอดแนมชี้เป้าของการโจมตี
ผู้นำของยูเครน โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ได้พยายามขอร้องให้ชาติตะวันตกนำโดยสหรัฐฯ ส่งอาวุธซึ่งสามารถยิงวิถีไกลลึกเข้าไปดินแดนรัสเซียเพื่อโจมตีแต่ทางฝ่ายสหรัฐฯ และนาโตยังสองจิตสองใจว่าจะให้หรือไม่
ที่ผ่านมา สหรัฐฯ และพันธมิตรในนาโตได้ให้อาวุธทั้งขีปนาวุธระยะไกล เครื่องบินรบเอฟ 16 และสารพัดอาวุธที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในการโจมตีรัสเซียซึ่งโดยสภาพแล้วนี่เป็นสงครามระหว่างรัสเซียกับฝ่ายสหรัฐฯ โดยมีทหารเป็นชาวยูเครน ซึ่งประเทศยูเครนใกล้สภาพสิ้นชาติแล้ว
ล่าสุดมีคำเตือนพร้อมกันจากลูกชายของโดนัลด์ ทรัมป์ และนายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ เรียกร้องให้มีการเจรจากันระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซีย เพื่อเลี่ยงสงครามระหว่างทั้งสองค่ายซึ่งจะนำไปสู่สภาพโลกาวินาศหรือการสิ้นโลกนั่นเอง
ทั้งคู่มองว่าสถานการณ์โดยรวมอยู่ในสภาวะที่ล่อแหลมต่อการต่อสู้กันด้วยอาวุธนิวเคลียร์ และทั้งฝ่ายสหรัฐฯ และรัสเซียต่างก็เป็นชาติมหาอำนาจนิวเคลียร์ แต่รัสเซียอยู่ในระดับเหนือกว่า เพราะมีขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกซึ่งสามารถทำลายเป้าหมายในสหรัฐอเมริกาและยุโรปโดยไม่มีใครสามารถสกัดได้
พันธมิตรของรัสเซีย เช่น จีน เกาหลีเหนือ อิหร่าน ล้วนแต่มีขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก แต่ฝ่ายสหรัฐฯ ไม่มีประเทศไหนที่มี และยังไม่มีความพร้อมทั้งอาวุธและทรัพยากรสนับสนุนโดยเฉพาะชาติในยุโรปซึ่งขาดแคลนพลังงานและอาหารสำรอง
ทั้งสองนักการเมืองเตือนว่าอย่าเข้าใจผิดว่า “ความอดทนในการระงับยับยั้งชั่งใจ” ของรัสเซียถูกตีความว่าเป็นความไม่กล้าหรือความอ่อนแอ หรือเป็นการลักไก่
“ทั้งคู่เปรียบเทียบว่าถ้าคุณสามารถใช้ของแข็งจิ้มหมีได้ 5 ครั้งโดยที่ไม่มีการตอบโต้ และจิ้มครั้งที่ 6 ได้ด้วยโดยไม่มีอันตรายนั้น แสดงว่าหมีตัวนั้นไม่มีเขี้ยว”
แต่ทั้งทรัมป์ จูเนียร์ และโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ มองว่ารัสเซียไม่ได้บลัฟ เพราะเห็นชัดเจนว่ามีขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกที่มีสมรรถภาพสูง บางตัวมีความเร็วถึง 14,000 กิโลเมตรต่อนาที ดังนั้น ถ้ายิงมาที่อเมริกาก็จะมีเวลาเตือนแค่ 3 นาทีเพื่อรับกับสถานการณ์ซึ่งไม่มีทางทำได้
โลกกำลังเสี่ยงอยู่กับสงครามนิวเคลียร์อย่างร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่การปิดล้อมเกาะคิวบาในปี 1962 ซึ่งใกล้จะเกิดสงครามนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียแต่ก็เลี่ยงมาได้ ด้วยการเจรจา
ทั้งคู่เตือนประธานาธิบดีโจ ไบเดน และรองประธานาธิบดีนางกมลา แฮร์ริส ให้ตระหนักถึงภัยความเสี่ยงของสงครามอาวุธนิวเคลียร์ เพราะทั้งคู่ยังสนับสนุนยูเครนในการรบกับรัสเซียทั้งที่ไม่มีประโยชน์อันใดกับสหรัฐฯ
การระดมกำลังทหารเพิ่มของรัสเซียและการผลิตอาวุธต่อเนื่อง โดยเฉพาะขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก สะท้อนให้เห็นว่ารัสเซียพร้อมจะกระทำทุกอย่างเพื่อปกป้องความอยู่รอดตาม คำประกาศเตือนหลายครั้งของบรรดาผู้นำทหารและประธานาธิบดีปูติน ว่าอย่าข้ามเส้นแดงที่ขีดไว้
และรัสเซียยังเตือนว่า พร้อมใช้อาวุธนิวเคลียร์ยุทธวิธีในสงครามยูเครนถ้าจำเป็น
ถ้าถึงวันนั้นโลกคงไม่น่าอยู่และยังไม่รู้ว่าจะมีใครรอดและอยู่ได้นานขนาดไหน เพราะฝุ่นจากการโจมตีจะทำให้บดบังแสงอาทิตย์นานหลาย 10 ปีโลกจะมืดพืชต่างๆ ก็ไม่รอดแม้แต่คนที่อยู่ในถ้ำมีระบบป้องกันกัมมันตรังสีและมีอาหารเพียงพอ
แต่จะอยู่เพื่ออะไรในเมื่อโลกไม่มีต้นไม้และความน่าอยู่ถ้าชาติมหาอำนาจตัดสินกันด้วยอาวุธนิวเคลียร์เพราะสหรัฐฯ ยังต้องการความเป็นเจ้าโลกโดยไม่คำนึงว่าชาติอื่นก็มีสิทธิอยู่บนโลกนี้อย่างมีศักดิ์ศรีเช่นเดียวกัน