ด้วยความออดๆ แอดๆ ของ “ร่างกาย-สังขาร” เลยไม่ได้มีโอกาสมาเปิดฉากสัปดาห์เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา แต่เพราะยังคงหลงเหลือ “จิต-วิญญาณ” อยู่บ้างตามสมควร พอที่จะออกแรงฮึดกลับมาปิดท้ายสัปดาห์นี้ด้วยการขออนุญาตชวนไปแลกเปลี่ยนเรื่องความเป็นไปของ “โลกตะวันตก” หรือของพวก “โลกขั้วอำนาจเดียว” ทั้งหลายอีกสักเที่ยว...
เพราะเมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา...ใครที่เคยได้อ่านข้อเขียน บทความ ของนักเขียน-นักข่าวและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายชาวออสเตรเลีย ชื่อว่า “นายGraham Hryce” ว่าด้วยเรื่องรัฐบาลแห่งโลกตะวันตกกำลังอยู่ใน “วิกฤต” ที่ตัวเองเป็นผู้สร้างขึ้นมา หรือ “Western government are in a crisis of their own making” ก็น่าจะพอรู้สึก “อึ้ง-ทึ่ง-เสียว” กันไปมิใช่น้อย คือแม้ข้อเขียน บทความ ดังกล่าวจะไม่ถึงกับลงรายละเอียด นำเสนอข่าวสาร-ข้อมูลอะไรมากมายนัก แต่โดย “น้ำหนัก” ของความมีเหตุ-มีผล รวมทั้ง “มุมมอง” ที่ชัดเจน ตรงไป-ตรงมา ต้องถือเป็นข้อเขียน บทความที่น่าอ่านและควรอ่าน โดยใครที่สนใจคงต้องลองไปคลิกหาอ่านเอาเองก็แล้วกัน...
แต่โดยสรุปคร่าวๆ แล้ว...นักเขียนชาวออสเตรเลียรายนี้ท่านมองว่า ไม่ว่าจะคุณพ่ออเมริกาตลอดไปจนพันธมิตรผู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาโดยตลอด อย่างเช่นอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส ต่างล้วนตกอยู่ในอาการ “ใกล้เจ๊ง” เต็มที!!! หรือ... “การเมืองในโลกตะวันตกกำลังเพิ่มความไร้เสถียรภาพและกลไกต่างๆ ไม่ทำงาน” เต็มไปด้วยความสับสนอลหม่าน โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการผงาดขึ้นมาของพวก “สุดโต่ง” ทั้งขวาและซ้ายอย่างเห็นได้โดยชัดเจน ไล่มาตั้งแต่คุณพ่ออเมริกาที่ใกล้ๆ จะเลือกตั้งในต้นเดือนพฤศจิกายนปีนี้ แต่บรรดาผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของทั้งสองพรรค ต่างไม่ได้แสดงให้เห็นถึง “ความหวัง” ของระบอบประชาธิปไตยไปด้วยกันทั้งคู่ ไม่ว่า “ทรัมป์บ้า” ที่ยังติดคดี มีคดี จนไม่น่าที่พรรครีพับลิกันจะตัดสินใจส่งเป็นตัวแทนลงสมัคร หรือ “กมลา” (แฮร์ริส) ที่ต้องกลายมาเป็น “มวยแทน” เนื่องจาก “โจ ซึมเซา” หรือ “โจ เอ๋อ” ออกอาการป้ำๆ เป๋อๆ เกินกว่าจะขึ้นไปซดหมัดบนเวทีกับฝ่ายตรงข้ามได้...
โดยที่ทั้งคู่ต่างมีข้อผูกพันอยู่กับการสนับสนุนพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอล ให้เดินหน้าฆ่าล้างผลาญชาวปาเลสไตน์ในเขตฉนวนกาซา เลยไปถึงเวสต์ แบงก์ รวมทั้งรายของ “นางกมลา” ยังคงยืนยันที่จะสนับสนุนระบบปกครองยูเครนหรือ “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่าง “นายVolodymyr Zelensky” อีกต่อไป ขณะที่อังกฤษ...แม้จะเปลี่ยนหน้า-เปลี่ยนตาผู้นำประเทศได้ “นายKeir Starmer” จากพรรคแรงงานมาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ “คำสัญญา” ที่ผู้นำรายนี้บอกว่าจะนำพาชาวอังกฤษกลับไปสู่ความรุ่งโรจน์ได้อีกครั้งนั้น น่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย เพราะอย่างที่ผู้นำรายนี้ได้ออกมารำพึง รำพันถึง “ปัญหา” ที่พรรครัฐบาลผู้ครองอำนาจมานับทศวรรษ อย่างพรรคคอนเซอร์เวทีฟได้ทิ้งไว้ให้นั้น ออกจะหนักหนา-สาหัส ระดับอาจทำให้อดีตประเทศจักรวรรดินิยมที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน ต้องถอยกลับไปเป็น “ประเทศกำลังพัฒนา” หรือประเทศโลกที่สามเอาง่ายๆ ด้วยเหตุนี้...เลยต้องหันมาใช้มาตรการ “รัดเข็มขัด” และ “เพิ่มภาษี” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลยดังเช่นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วต้องหันมาตัดงบฯ ช่วยเหลือด้านพลังงานต่อพวกผู้ดีทั้งหลายในฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง ส่งผลให้โอกาสที่จะเกิดการประท้วง จลาจล ความสับสนอลหม่านในอีกไม่นาน-ไม่ช้า ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ โดยที่ผู้นำอังกฤษรายนี้ก็คงคล้ายๆ “ทรัมป์บ้า” และ “นางกมลา” ของอเมริกา คือยังยืนยันที่จะสนับสนุนสงครามตัวแทนไม่ว่าในยูเครน หรือสนับสนุนอิสราเอลในแนวรบตะวันออกกลางอีกต่อไป...
ขณะที่เยอรมนี...ยิ่งแย่กว่าอังกฤษหลายเท่า อันเนื่องมาจากปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นมาจากการสนับสนุนยูเครนนั่นเอง ซึ่งส่งผลให้พรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่า “Social Democrats”,“Free Democrats” ตลอดจนพรรค “Greens” ต่างหัวทิ่มหัวตำคะแนนนิยมดิ่งลงเหว แพ้เลือกตั้งในแคว้น “Thuringia” และ “Saxony” ไปหมาดๆ ขณะที่พรรคฝ่ายขวาอย่าง “AfD” และพวกซ้ายสุดโต่งอย่าง “BSW” ที่ต่างไม่เห็นด้วยกับการสนับสนุนยูเครนให้สู้กับรัสเซีย ได้คะแนนนิยมตั้งแต่ 30 เปอร์เซ็นต์ และ 15 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ แต่ทั้ง 3 พรรคร่วมรัฐบาลกลับเหลือคะแนนนิยมแค่ 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง อันทำให้โอกาสที่จะชนะเลือกตั้งที่กำลังมาถึงในปีหน้าแทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย!!! และอาจด้วยเหตุนี้นี่เองที่ทำให้ “พิชัย นริพทะพันธุ์” (หัวล้าน) แห่งเยอรมนี หรือ “นายOlaf Scholz” เลยต้องออกมาเสียงอ่อน-เสียงหวาน ว่าไม่เคยคิดจะเป็น “ศัตรู” กับรัสเซีย หรือต้องการที่จะให้ปัญหายูเครนจบสิ้นภายในปีนี้ แต่ถึงกระนั้น...ก็ยังคงยืนยันที่จะสนับสนุนตัวแทนอย่างรัฐบาลยูเครน หรือยังพร้อมที่จะเป็น “พรมเช็ดเท้า” ให้คุณพ่ออเมริกาอย่างไม่คิดจะเลิกรา...
ส่วนฝรั่งเศสนั้น...เห็นว่าเมื่อช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา (7 ก.ย.) บรรดาชาวปารีเซียงออกมา “ลงถนน” กันเป็นแสนๆ หรือไม่ต่ำกว่า 300,000 คนเป็นอย่างน้อย ไม่ว่าในกรุงปารีส เมืองน็องต์-นีซ-มาร์เซย์-สตารส์บูร์ก ด้วยเหตุเพราะคิดว่าผู้นำประเทศอย่างประธานาธิบดี “มาครง คนหนุ่ม” กำลัง “ปล้นการเลือกตั้ง” ด้วยการแต่งตั้งผู้นำพรรคการเมืองแนวอนุรักษ์อย่าง “นายMichel Barnier” ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แทนที่จะยอมรับตัวแทนของพรรคฝ่ายขวา-ฝ่ายซ้ายที่ชนะการเลือกตั้งโค่นพรรครัฐบาลไปหมาดๆ และก็แน่นอนนั่นแหละว่า...จะด้วยเหตุเพราะเสียหน้า เสียสุนัข จากการต้องสูญเสียประเทศในแถบแอฟริกาไปให้กับบทบาทอิทธิพลของรัสเซีย หรือจะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ ผู้นำฝรั่งเศสรายนี้ก็คือ “พรมเช็ดเท้า” อีกชิ้นของคุณพ่ออเมริกาอย่างไม่คิดจะลด-ละ-เลิก อีกเช่นกัน...
ที่น่าคิด น่าสะกิดใจ ตามทัศนะมุมมองของ “นายGraham Hryce” นักเขียน-นักข่าวชาวออสเตรเลีย ก็คือการชี้ให้เห็นว่า บรรดาผู้นำของโลกตะวันตกเหล่านี้ต่างถูกชี้นำโดยพวก “อีลีทโลก” (Global Elites) นั่นแหละเป็นหลัก ทั้งนั้นทั้งนี้เพื่อมุ่งที่จะรักษา “ระเบียบโลกแบบเดิมๆ” โดยจะเรียกว่าโลกาภิวัตน์จากด้านบน หรือโลกาภิวัตน์แบบโลกขั้วอำนาจเดียวก็ย่อมได้ อันเป็นสิ่งที่ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้สามารถตักตวงผลประโยชน์ได้อย่างเป็นเนื้อ-เป็นหนัง ดังนั้น... “ตัวแทน” ของพวกอีลีทโลกทั้งหลาย ไม่ว่า “Harris-Starmer-Scholz-Macron” หรือผู้นำอเมริกา-อังกฤษ-เยอรมนี-ฝรั่งเศส เลยไม่คิดจะสนใจเสียงของ “ปวงชน” ภายในประเทศตัวเองเอาเลยแม้แต่น้อย และอันนี้นี่เอง...ที่ทำให้บรรดาพวก “สุดโต่ง” ไม่ว่า “ขวา” หรือ “ซ้าย” ต่างสามารถผงาดขึ้นมีอำนาจ แม้ว่ากลุ่มคนเหล่านี้อาจไม่สามารถหาทางออก หรือแก้ปัญหาใดๆ ได้เลย แต่ก็เพราะด้วยการแสดงออกถึงการต่อต้าน “สงครามตัวแทน” ที่ถูกกำหนดโดยอเมริกานั่นแหละ เลยทำให้บทบาทของกลุ่มคนเหล่านี้ดู “มีเหตุ-มีผล” มิใช่น้อย ในสายตาของชาวตะวันตก...
และก็น่าจะด้วยความพยายามที่จะรักษา “ระเบียบโลกแบบเดิมๆ” ให้ดำรงคงอยู่ อีกต่อไปนั่นแหละ ที่ทำให้ผู้อำนวยการองค์กร “CIA” อย่าง “นายWilliam Burns” และผู้บริหารหน่วยข่าวกรองของอังกฤษ “MI6” อย่าง “นายRichard Moore” ถึงกับลงทุนร่วมเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ “The Financial Times” เมื่อช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา (7 ก.ย.) ถึงภัยคุกคามต่อระเบียบโลกแบบเดิม ด้วยการระบุว่า... “ไม่มีคำถามใดๆ อีกต่อไปแล้วว่า ระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและระบบความสมดุลที่เคยนำไปสู่สันติภาพและเสถียรภาพ มาตรฐานการกินดี-อยู่ดี โอกาสและความรุ่งโรจน์ของเรา...กำลังตกอยู่ภายใต้ภัยคุกคามที่เราไม่เคยได้พบเห็นมาก่อนนับจากยุคสงครามเย็นเป็นต้นมา...” โดยได้หยิบเอาคำกล่าวของผู้นำรัสเซียอย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ที่ได้ยืนยันถึงความเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” อันจะนำไปสู่การยุติความเป็นผู้นำของอเมริกา มาใช้เป็น “ข้ออ้าง” ถึงสิ่งที่เรียกว่า “ภัยคุกคาม” ไว้ในข้อเขียน บทความชิ้นนี้ แถมยังจัดอันดับให้การผงาดขึ้นมาของคุณพี่จีนถือเป็น “สิ่งท้าทายสูงสุดในศตวรรษที่ 21” อีกด้วยต่างหาก....
ความพยายามที่จะดำรงรักษา “ระเบียบโลกแบบเดิมๆ” ของอเมริกา-อังกฤษ รวมทั้งบรรดาพวก “พรมเช็ดเท้า” ทั้งหลายเลยเป็นอะไรที่ไม่จำเป็นต้องสนใจกับข้อเท็จจริง โลกแห่งความเป็นจริง รวมทั้งไม่ต้องสนใจต่อเสียงเรียกร้องของ “ปวงชน” ตามระบอบ “ประชาธิปไตยที่แท้จริง” อีกด้วยต่างหาก ไม่ต่างอะไรไปจาก “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” ของคุณพ่ออเมริกาอย่างอิสราเอลนั่นเอง ขนาดช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา “ปวงชน” ชาวอิสราเอลจำนวนถึง 750,000 คน หรือเกือบปาใกล้ๆ ล้านคนเข้าไปแล้ว จากจำนวนประชากรทั้งหมดแค่ 9.558 ล้านคนเท่านั้นเอง แห่ออกมา “ลงถนน” เพื่อประท้วงผู้นำประเทศอย่าง “นายBenjamin Netanyahu” รวมทั้งอดีตนายกรัฐมนตรีอย่าง “นายYair Lapid” ที่ออกมาโพสต์ข้อความประมาณว่า “ถึงเวลา...เปลี่ยนรัฐบาลพร้อมๆ กับการยุติสงครามได้แล้ว!!!” แต่ผู้ที่กระหายเลือด กระหายสงครามรายนี้ ไม่เพียงแต่ยังไม่คิดจะหยุดสังหาร พร่าผลาญเด็ก-ผู้หญิง-คนชราในฉนวนกาซา แต่ยังบุกตะลุยไปถึงเขตเวสต์ แบงก์ ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับพวก “ฮามาส” ด้วยเลย แถมยังเตรียมเปิดศึกโดยตรงกับพวก “Hezbollah” ในเลบานอน ไปจนถึงส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดที่เมือง “Hama” ในซีเรียเป็นรายล่าสุด อันอาจถือเป็นการ “ยั่วยวนกวนส้นตีน” เพื่อหวังจะลากพี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลางอย่างอิหร่าน ให้เข้ามาร่วมเกมสงครามอันจะนำไปสู่การเผชิญหน้ากับอเมริกาให้จงได้...
อันนี้นี่แหละ...ที่น่าสนใจเอามากๆ ว่า ความพยายามดำรงรักษา “ระเบียบโลกแบบเดิมๆ” ให้คงอยู่อีกต่อไป ด้วยการพร้อมที่จะทำ “สงคราม” ชนิดที่ปวงชนชาวโลกอาจล้มตายระดับ 2 ใน 3 ส่วน ทวยทหารอีก 200 ล้านคน ตามที่พระคัมภีร์ไบเบิลได้ทำนายเอาไว้ แถมยังพร้อมที่จะทำให้ “ประชาธิปไตย” กลายเป็น “ประชาธิป-ตาย” ด้วยการไม่สนใจต่อเสียงเรียกร้องของ “ปวงชน” ใดๆ อีกต่อไป สุดท้ายแล้ว...มันจะ “ชนะ” หรือ “พ่ายแพ้” คือถ้าหากมันแพ้คงต้องถือเป็นโชคดีของชาวโลกและของนักประชาธิปไตยทั้งหลายอยู่แล้วแน่ๆ เพราะถ้ามันดันชนะขึ้นมาเมื่อไหร่ อะไรต่อมิอะไรมันคงหนักหนา-สาหัสซะยิ่งกว่าเผด็จการหรือพวกอำนาจนิยมทั้งหลายไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า...