ปิดท้ายสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตไปตรวจสอบสุขภาพพลามัย ของมหาอำนาจสูงสุดแห่งโลกอย่างคุณพ่ออเมริกากันอีกสักเที่ยว เพราะการที่ต้องนุงนัง-นัวเนียอยู่กับ “แนวรบทั้ง 3 ด้าน” พร้อมๆ กัน จะด้วยเหตุเพราะพยายามเดินตามแนวทาง คำชี้แนะ ชี้นำ ของพวก “ขวาใหม่” (Neo-Conservative) พวก“กระหายสงคราม” ที่เคยยุ เคยเชียร์ ไว้ในนิตยสาร “Foreign Affairs” ในช่วงระหว่างการประชุม “G7” คราวล่าสุด ให้ตระเตรียมแนวคิดทางยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า “A Three-Theater Defense Strategy” หรือยุทธศาสตร์ที่พร้อมจะเปิดแนวรบทั้ง 3 ด้านอะไรประมาณนั้น ว่าไปๆ-มาๆ แล้ว...จะยังคงคึกคัก เข้มแข็ง หรือกำลังอ่อนล้า ร่วงโรย เสื่อมๆ โทรมๆ ลงไป หรือไม่? ประการใด?
เพราะแค่การเผชิญหน้ากับมหาอำนาจคู่แข่ง อย่างหมีขาวรัสเซียในแนวรบยุโรปตะวันออกนั้น คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า ไม่ใช่แค่ “ขนหน้าแข้ง” ร่วงผล็อยๆ เท่านั้น แต่ยังถึงขั้น “หะมอยรอมแรม” เอาเลยก็ว่าได้ กับการทุ่มเทเงินทองนับแสนๆ ล้านดอลลาร์ ทุ่มเทอาวุธยุทโธปกรณ์อีกไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แต่ก็ยัง “กินรัสเซียไม่ลง” อยู่จนบัดนี้ เช่นเดียวกับการสนับสนุนให้ “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” อย่างอิสราเอล เดินหน้าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา จนทำให้ตัวเองต้องระดมกำลังถึง 1 ใน 3 ของกองทัพเรือ เข้าไปพิทักษ์ ปกป้องพันธมิตรรายนี้ โดยไม่ต้องสนใจในเรื่องความดี-ความชั่ว ความถูกต้อง-ยุติธรรมใดๆ อีกต่อไป หรือกระทั่งยุแยง ตะแคงรั่ว ให้ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ สร้างปัญหาให้จีนมหาอำนาจคู่แข่งอีกรายในแนวรบทะเลจีนใต้ รวมทั้งอาจกำลังคิด “ปฏิวัติสี” ในอินโดนีเซีย ดังที่ผู้สื่อข่าว “Mint Press News” “นายKit Klarenberg” เขาตั้งข้อสังเกตไว้ในข้อเขียน บทความ เรื่อง “Leaked: CIA Front Preparing Color Revolution in Indonesia” หรือไม่? อย่างไร? คงต้องลองไปหาอ่านกันเอาเอง...
ด้วยการนุงนัง-นัวเนียอยู่กับ “แนวรบ” ถึง 3 ด้าน...ทั้งที่แค่การเปิดศึกกับประเทศเล็กๆ อย่างเวียดนาม ก็ยัง “แพ้-กับ-แพ้”ให้เห็นแบบจะจะคาตา หรือยังต้องดิ้นไป-ดิ้นมากับการ “ถอนทหาร-ไม่ถอนทหาร” ออกจากประเทศที่ตัวเองเคยยัดเยียด “ประชาธิปไตย” ให้ยึดถือไว้เป็นแท่งๆ ด้ามๆ อย่างอิรัก ในตราบเท่าทุกวันนี้ ไปจนกระทั่งต้องหนียะย่ายพ่ายจะแจชนิดลืมทิ้งกุญแจเปิดฐานทัพให้กับผู้ที่ตัวเองเคยสนับสนุนในอัฟกานิสถาน จนเป็นอะไรที่เสียหมา เสียสุนัข อย่างเห็นได้โดยชัดเจนฯลฯ ดังนั้น...ความคิดที่จะเปิดศึก 3 ด้าน ในขณะที่ภายในประเทศตัวเอง บรรดาความฟุ้งเฟ้อ เห่อเหิม ความสุรุ่ยสุร่ายและความอหังการแห่งการเป็นประเทศมหาอำนาจอันดับ 1 ในทางเศรษฐกิจ หรือมหาอำนาจสูงสุดทางการทหาร ได้กลายเป็นตัวลดทอน “ศักยภาพ” แห่งการเป็นผู้นำโลกทั้งในระยะสั้นและระยะยาว จนแทบจะนำไปสู่ “ความล่มสลาย” เอาง่ายๆ!!!
หรืออย่างที่ “นายElon Musk” ซีอีโอแห่งบริษัท เทสลาและสเปซเอ็กซ์ ต้องออกมาแสดงความหวาดวิตกเอาไว้เมื่อช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา (29 ส.ค.) นั่นแหละ ว่าแนวโน้มของการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ จากระดับ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ที่ทำท่าว่าจะเพิ่มขึ้นไปถึง 16.3 ล้านล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ. 2035 กำลังทำให้ประเทศมหาอำนาจสูงสุดแห่งโลกรายนี้ ใกล้จะเดินเข้าสู่“ทางด่วน...แห่งความล้มละลาย” ในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล โดยแม้ว่าอภิมหาเศรษฐีหนุ่มรายนี้ จะเคยออกอาการ “เว่อร์” หรือพูดจาเกินเลย เกินจริง ในบางครั้ง บางครา แต่ความหวาดวิตกดังกล่าวก็ใช่จะเป็นเรื่องแปลก เรื่องใหม่ เพราะบรรดานักคิด นักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ หรือกระทั่งนักยุทธศาสตร์ชาวอเมริกันด้วยกันเอง ต่างก็มองไปในแนวนี้นับเป็นสิบๆ ปีมาแล้วก็ว่าได้ อีกทั้งช่วงระยะใกล้ๆ กัน สำนักงบประมาณสภาคองเกรส (CBO) ได้ออกมาแถลงแบบชัดถ้อย-ชัดคำ ว่าปริมาณ “หนี้สิน” ที่เป็นตัวสร้างปัญหาให้กับระบบเศรษฐกิจอเมริกาทั้งระบบจนหาทางออก-ทางไปแทบไม่ได้ ที่มีจำนวนปาเข้าไปถึง 35 ล้านล้านดอลลาร์เข้าไปแล้ว กำลังจะพุ่งขึ้นไปถึง 50 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี ค.ศ. 2034 มากกว่า 122 เปอร์เซ็นต์ของ“GDP” หรือไม่ว่าจะทำมาหารับประทานได้เท่าไหร่ในแต่ละปี ก็ยังไม่พอใช้หนี้ได้เลยแม้แต่น้อย แถมอัตราการเติบโตของ “GDP” ก็กำลังเป็นไปในแบบ “เต่าคลาน” คือเฉลี่ยไม่เกิน 1.8 เปอร์เซ็นต์นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2029 ไปจนปี ค.ศ. 2034 โน่นเลย...
ขณะที่มหาอำนาจคู่แข่งอเมริกา อย่างจีน-รัสเซีย หรือกระทั่งศัตรูคู่กัด-คู่อาฆาตอย่างอิหร่านที่ถูกอเมริกาแซงชั่นยาวนานถึง 40 ปี ต่างก็ไม่ได้รู้สึก-รู้สากับการที่ต้องกลายสภาพเป็น “ฝ่ายตรงข้าม” อเมริกาเอาเลยแม้แต่น้อย แถมเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานี่เอง (29 ส.ค.) รัฐมนตรีคลังรัสเซีย “นายAnton Siluanov” ได้ออกมาแถลงแบบเสียงดัง-ฟังชัด ว่าแม้จะถูกแซงชั่นจำนวนถึง 16,000 รายการจากอเมริกาและพันธมิตรอียู-อีย้วย แต่เศรษฐกิจรัสเซียปีนี้กลับโตขึ้นได้ถึง 3.9 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีแรกโตถึง 4.7 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้งบฯ รายได้ปีที่แล้ว เพิ่มขึ้นถึง 4.7 ล้านล้านรูเบิล(52,000 ล้านดอลลาร์) การขาดดุลงบประมาณอยู่ที่แค่ 1.1 เปอร์เซ็นต์ของ “GDP” หรือทำให้ “ธนาคารโลก” ถึงกับต้องออกมาแก้ไขการประเมินตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจของรัสเซียซะใหม่ รวมทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ “IMF” ที่ออกมาสารภาพเมื่อช่วงเดือนเมษาฯ ที่ผ่านมา ว่าเศรษฐกิจรัสเซียนั้น “โตเร็ว” กว่าบรรดาชาติที่ก้าวหน้า หรือชาติตะวันตกทั้งหลาย และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง ที่ทำให้ผู้นำรัสเซียอย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านแสดงความมั่นอก-มั่นใจ ในระหว่างการประชุมเศรษฐกิจ “SPIEF” ที่กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (St. Petersburg International Economic Forum) เมื่อไม่นานมานี้ ว่ารัสเซียพร้อมที่จะตั้งเป้าการเติบโต ให้ขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 4 ของโลกภายในปี ค.ศ. 2030 ให้จงได้!!!
ส่วนมหาอำนาจคู่แข่งอีกราย...อย่างคุณพี่จีน ก็แทบไม่ต้องพูดถึง แม้จะถูกสื่อฯ ถูกนักเศรษฐกิจตะวันตกพยายามปรับลดเครดิตเพียงใดก็ตามที แต่ความสามารถคงระดับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ที่ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ในปีที่ผ่านมา ย่อมถือเป็นการ “หักปากกาเซียน” กันไปเป็นด้ามๆ และการจับคู่แลกเปลี่ยน “อุปสงค์และอุปทาน” ที่ลงตัวเอามากๆ ระหว่าง 2 ประเทศหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่ไร้ขีดจำกัดอย่างจีนและรัสเซีย จนทำให้มูลค่าการค้าแต่ละปีพุ่งขึ้นไปเกือบ 300,000 ล้านดอลลาร์ ยังกลายเป็นกลไกสำคัญในกระบวนการที่เรียกๆ กันว่า “De-Dollarization” หรือการ “ละทิ้งเงินดอลลาร์” จนทำให้นักวิเคราะห์เศรษฐกิจอย่าง “นายNigel Green” ถึงกับคาดเดาไว้ในข้อเขียน บทความ เรื่อง “Tectonic shift coming on global currency markets?” ที่สำนักข่าว “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮานำมาแปลและถ่ายทอดไปเมื่อเร็วๆ นี้ว่า “เงินหยวน” อาจแข็งค่าขึ้นถึง 10 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์เอาเลยก็ไม่แน่!!! นั่นยังไม่รวมไปถึงความพยายามขยายกระบวนการดังกล่าวของรัสเซีย ไปยังกลุ่มประเทศละตินอเมริกาอย่างคิวบา นิการากัว เวเนซุเอลา ฯลฯ และประเทศกลุ่ม “BRICS” ที่กำลังโตวัน-โตคืนยิ่งเข้าไปทุกที...
เช่นเดียวกับอิหร่าน...ที่แม้จะถูกอเมริกาแซงชั่นแบบยืดเยื้อ-ยาวนานมาเกือบ 4 ทศวรรษ แต่ด้วยปริมาณการส่งออกแก๊สและน้ำมันไปยังประเทศจีนถึงจำนวน 1 ใน 3 ของการนำเข้าพลังงาน มานับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011 ชนิดที่ทำให้นักยุทธศาสตร์จีนอย่าง “พลเรือเอกZhang Zhaozhong” เคยพูดๆ ไว้ตั้งแต่ 10 ปีที่แล้วว่า “จีนไม่ควรลังเลใดๆในการปกป้องอิหร่าน แม้การกระทำเช่นนั้นจะนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3” รวมทั้งการบายพาส การหลบหลีกมาตรการกีดกันต่างๆ ของสหรัฐฯ ได้คล่องตัวยิ่งขึ้นเรื่อยๆ อันเนื่องมาจากประเทศแต่ละประเทศ ต่างหันไปยึดมั่นใน “ผลประโยชน์แห่งชาติ” ของตัวเอง ไม่ได้คิดจะเป็น “พรมเช็ดเท้า” ให้กับอเมริกาเสมอไป แถมมหาอำนาจคู่แข่งอเมริกาอย่างรัสเซีย ยังเตรียมจะลงนามในข้อตกลงความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์กับอิหร่าน แบบที่เรียกๆ กันว่า “A Big Treaty” กันในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เองที่ทำให้บรรดา “ฝ่ายตรงข้าม” กับคุณพ่ออเมริกาใน “แนวรบ”แต่ละด้าน กลับยิ่งแข็งโป้ก แข็งปั๋ง ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...
ขณะที่บรรดา “พันธมิตรพรมเช็ดเท้า” ของอเมริกาในแต่ละราย...ไม่ว่าอังกฤษที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่เพิ่งออกมาสารภาพว่าปมปัญหาที่รัฐบาลพรรคอนุรักษนิยมผู้ครองอำนาจมายาวนานนับทศวรรษทิ้งไว้ให้ อาจส่งผลให้อังกฤษต้องกลายเป็นประเทศกำลังพัฒนา หรือประเทศโลกที่สาม เอาเลยก็ไม่แน่ ส่วนฝรั่งเศสก็ยังไม่รู้ว่าผู้นำประเทศจะถูก “ถอดถอน” จากตำแหน่งประธานาธิบดีกันเลยหรือไม่? อย่างไร? หลังจากพ่ายแพ้เลือกตั้งต่อฝ่ายขวาแล้วพยายามใช้อำนาจประธานาธิบดี “ดองเค็ม” ไม่ยอมแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีขึ้นมาทำหน้าที่ ไม่ต่างไปจากรัฐบาลเยอรมนี ที่เพิ่งแพ้เลือกตั้งระดับท้องถิ่นต่อพรรคฝ่ายขวาอย่าง “AfD” (Alternative for Germany) อันถือเป็นการส่งสัญญาณว่าใกล้จะไปแหล่-มิไปแหล่ในการเลือกตั้งทั่วไปในอีกไม่นานนับจากนี้ แม้แต่ “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์”อย่างอิสราเอลก็เถอะ การที่บรรดาลูกหลานชาวยิวนับแสนๆ คนออกมา “ลงถนน” ไปเมื่อวัน-สองวันมานี้ เพราะเหม็นเบื่อต่อผู้นำประเทศอย่าง “นายBenjamin Netanyahu” เต็มที ทำให้พวก “Axis of Resistance” แทบไม่ต้องเสียเวลาล้างแค้น-เอาคืนอะไรเอาเลยก็ยังได้...
หรือถ้าสรุปตามแนวคิดของนักคิด นักเขียน นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษอย่าง “นายRodney Atkinson” ที่เคยวิเคราะห์ถึง “ความพ่ายแพ้” ของอเมริกาและโลกตะวันตก ใน“แนวรบ” ประมาณ 4 ด้านด้วยกัน นั่นคือ 1. แพ้ในทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากการลดลงของปริมาณการค้าและปัญหาเรื่องหนี้สิน 2. แพ้ทางการเงินอันเนื่องมาจากกระบวนการละทิ้งเงินดอลลาร์ (De-Dollarization) ที่กำลังเป็นไปทั่วทั้งโลก 3. แพ้ทางการทหารอันแสดงให้เห็นจากการคิดเล่นงานรัสเซียและความเสียเปรียบในด้านการผลิตอาวุธ รวมทั้ง 4. การพ่ายแพ้ในทางภูมิรัฐศาสตร์เนื่องจากไม่สามารถรวบรวมพันธมิตรในแต่ละซีกโลกให้เดินตามแนวทาง ความประสงค์-ความต้องการของตัวเองได้เลย สิ่งเหล่านี้นี่เอง...ที่ทำให้ไม่ว่าผู้นำอเมริกาในการเลือกตั้งปลายปีนี้จะเป็น “ทรัมป์บ้า” หรือ “กมลา แฮร์ริส” ก็ตาม แต่โอกาสที่จะทำให้ “America Great Again”ย่อมแทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย มีแต่ต้องรอวันล้มละลาย หรือล่มสลาย ลงไปเมื่อไหร่เท่านั้นเอง...