“อย่าวิ่งไล่ความอยาก เพราะถ้าท่านไม่ทันความอยากนั้น จะกลายเป็นไฟเผาตัวท่านเอง” อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ
โดยนัยแห่งคำพูดข้างต้น ให้ความหมายชัดเจนว่าอย่าพยายามไขว่คว้าสิ่งที่อยู่ห่างไกลกว่าที่ศักยภาพของตนเอง เพราะจะทำให้ตนเองเป็นทุกข์ ตามนัยแห่งพุทธพจน์ที่ว่า ปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้นเป็นทุกข์
อีกประการหนึ่ง การที่คนพยายามแสวงหาสิ่งอื่นนอกจากสิ่งที่ตนเองเป็น ก็อยู่ในภาวะเป็นทุกข์ ตามนัยแห่งคำสอนของพุทธที่ว่า อยู่ร่วมกับสิ่งที่เราไม่รักเป็นทุกข์ และเป็นความอยากหรือตัณหาประเภทหนึ่งเรียกว่า วิภวตัณหาคือ ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น
โดยสรุปคำพูดข้างต้น สอนให้คนพอใจในสิ่งที่ตนเองและสิ่งที่ตนเองไม่แสวงหาไล่ล่าความอยากเกินกว่าศักยภาพที่จะพึงกระทำ โดยความชอบธรรม
ในขณะนี้ ผู้คนในสังคมไทยได้เห็นการวิ่งไล่ล่าหาสิ่งที่ตนเองอยากมี และอยากเป็นของนักการเมืองที่วิ่งหาตำแหน่งรัฐมนตรีจากการจัดตั้ง ครม.ของพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย โดยมีนายใหญ่คอยกำกับอยู่ข้างหลัง
จากข่าวที่ปรากฏออกมา พรรคที่เคยร่วมรัฐบาลทุกพรรคยกเว้นพรรคพลังประชารัฐ ได้เสนอชื่อผู้ที่เป็นรัฐมนตรีในโควตาของพรรคให้ทางพรรคเพื่อไทยเรียบร้อยแล้ว ยังคงเหลือแค่พรรคพลังประชารัฐของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เท่านั้นที่ยังไม่ลงตัว
เนื่องจากเกิดการแบ่งขั้วออกเป็นสองฝ่าย แต่ละฝ่ายต่างเสนอชื่อในกลุ่มของตน จึงทำให้เกิดความสับสน และกลายเป็นช่องว่างให้คนบางคนจากพรรคประชาธิปัตย์ขอเข้าเสียบแทน จะเห็นได้จากการไปร่วมงานที่พรรคเพื่อไทยจัดขึ้น และการออกมาพูดแบบแบะท่าว่า พรรคประชาธิปัตย์พร้อมจะเข้าร่วมเป็นรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ทั้งๆ ที่ยังไม่มีมติพรรคให้เข้าร่วม และยังมี สส.และผู้ที่มิได้เป็น สส.แต่เป็นผู้มีคุณูปการต่อพรรคกลุ่มหนึ่งไม่เห็นด้วยกับการเข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทย
คนกลุ่มนี้ถึงแม้มิใช่คนส่วนใหญ่ ทั้งยังมิใช่เป็นผู้บริหารพรรคในปัจจุบัน แต่ก็เป็นผู้ที่มีคุณูปการต่อพรรคประชาธิปัตย์มาตลอด และยังเป็นที่เคารพของ***อีกด้วย
คนกลุ่มนี้ก็มีเช่น อดีตนายกฯ ชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน และนายนิพนธ์ บุญญามณี เป็นต้น
ถึงแม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับการเข้าร่วมรัฐบาล เนื่องจากเห็นการทำเช่นนั้นเป็นการทรยศประชาชนคนที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์ และขัดกับอุดมการณ์ของพรรคที่ไม่คบค้าสมาคมกับคนโกง และพรรคประชาธิปัตย์เคยต่อต้านมาแล้วในอดีต
แต่ด้วยความเป็นนักประชาธิปไตยเคารพกติกา ถ้ามติพรรคให้เข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทย คนกลุ่มนี้ก็ไม่ต่อต้านและทำให้พรรคแตกแยกคงปล่อยให้ประชาชนคนเลือกพรรคประชาธิปัตย์ลงโทษคนที่ทรยศต่อประชาชน โดยการไม่เลือกเข้ามาอีกครั้งในสมัยหน้า
ในความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนในฐานะคนเลือกพรรคประชาธิปัตย์มาตลอด ก็ไม่เห็นด้วยกับการที่พรรคประชาธิปัตย์จะเข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทย ทั้งนี้ด้วยเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. พรรคประชาธิปัตย์ยึดมั่นในอุดมการณ์ ไม่สนับสนุนพรรคที่โกงประชาชนและประเทศชาติ และต่อสู้กับเผด็จการ
พรรคเพื่อไทยเคยตกเป็นจำเลยในข้อหาทุจริตมาแล้ว และมีพฤติกรรมเป็นเผด็จการทางรัฐสภาชัดเจนในอดีตที่ผ่านมา
2. การเป็นรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้คงอยู่ได้ไม่นาน อย่างช้าไม่เกิน 6 เดือนคงต้องจบลงด้วยคำพิพากษาศาลหรือการออกมาชุมนุมขับไล่แล้วตามมาด้วยรัฐประหาร เนื่องจากการออกกฎหมายนิรโทษกรรมมาตรา 112
3. ถ้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านควบคุมพฤติกรรมรัฐบาลต่อต้านการกระทำที่ทำให้ประเทศชาติและประชาชนเสียหาย ก็จะได้คะแนนนิยมมากกว่าได้เป็นรัฐบาลที่มีเก้าอี้รัฐมนตรี 2 ที่นั่ง และต้องทำงานตามนโยบายของพรรคแกนนำ นอกจากทำอะไรได้ยากแล้ว อาจทำให้พรรคตกเป็นจำเลยสังคมว่าเป็นพวกเดียวกันกับคนโกงอีกด้วย