แม้เราจะมีนายกรัฐมนตรีแล้วชื่อ อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวของทักษิณ อดีตนักโทษผู้ทุจริตโกงกินแผ่นดินจนมีคำพิพากษาจำคุกในคดีต่างๆ รวมกัน 10 ปี คดีแรกที่ดินรัชดาที่เขาหลบหนีไปจนหมดอายุความ ส่วนคดีที่เหลือที่ศาลจำคุกรวมกัน 8 ปีนั้น เขาได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเหลือเพียง 1 ปี แต่ไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว โดยอ้างว่า มีอาการป่วยหนักปางตายต้องอยู่ใกล้หมอ เลยได้นอนพักในห้องที่ดีที่สุดของโรงพยาบาลตำรวจจนพ้นโทษไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว
ถึงวันนี้มีสักกี่คนที่เชื่อว่า อุ๊งอิ๊งจะมีความรู้สติปัญญาความสามารถนั่งบัญชาการเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยตัวเองได้บ้าง คนส่วนใหญ่ก็เชื่อว่านายกรัฐมนตรีตัวจริงก็คือ ทักษิณนั่นแหละ
หลังจากได้พักโทษ ทักษิณไม่ได้มีอาการป่วยให้เห็นเลยแม้แต่น้อยสามารถเดินทางไปไหนมาไหนแม้แต่เล่นกีฬาที่หักโหมอย่างกอล์ฟได้ ทำให้สังคมส่วนที่เชื่ออยู่แล้วว่า เขาไม่ได้ป่วยจริง ก็ยิ่งเชื่อกันมากยิ่งขึ้น และเมื่อไม่กี่วันก่อน พล.ต.ท.นพ.โสภณรัชต์ สิงหจารุ แพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจที่คอยอธิบายกับสื่อว่าทักษิณมีอาการป่วยไข้ปางตายอย่างไรจึงต้องนอนรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการอิสระ และกรรมการตรวจสอบบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC, ปตท.ถือหุ้น 45%)
ไม่รู้เหมือนกันว่า นายแพทย์ใหญ่จะมีความรู้ด้านพลังงาน หรือมีความรู้ความชำนาญเฉพาะด้าน (Skill Characteristics) ที่สอดคล้องกับธุรกิจและความต้องการของบริษัทที่ระบุไว้ในกฎบัตรของบริษัทในการสรรหาคณะกรรมการอย่างไร
ที่เป็นบทสะท้อนว่าระบอบทักษิณ ที่ตอบแทนผลประโยชน์กันด้วยประโยชน์ของชาติบ้านเมืองกำลังเกิดขึ้นอีกครั้งพฤติกรรมและวังวนแบบเก่าที่ทักษิณเคยกระทำให้กลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งในวันที่เขามีอำนาจ
แน่นอนว่ารัฐบาลอุ๊งอิ๊งนั้นจะมีทักษิณคิดและทักษิณทำอยู่เบื้องหลัง ให้ลูกสาวของตัวเองที่ได้ชื่อว่า เป็นคนในเครือข่ายชินวัตรคนที่ 4 ที่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และยังเป็นนายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดด้วย แม้จะมีสามีและลูกแล้ว 2 คน แต่ในฐานะลูกสาวคนสุดท้ายของทักษิณ เราก็เห็นได้ชัดว่าอุ๊งอิ๊งนั้นเป็นลูกที่ได้รับการเอาอกเอาใจจากพ่อแม่ในฐานะลูกแหง่ของครอบครัว แม้ทักษิณจะมีธุรกิจของตระกูลจำนวนมาก แต่ก็ไม่เคยปรากฏเลยว่า มีกิจการไหนบ้างที่ทักษิณให้อุ๊งอิ๊งเข้าไปเป็นผู้บริหาร แต่วันนี้อุ๊งอิ๊งกำลังจะกลายเป็นผู้บริหารประเทศประสบการณ์ที่อุ๊งอิ๊งมีก็คือ การไปฝึกงานในร้านฟาสต์ฟูดแห่งหนึ่ง
ใครบ้างรู้ว่าอุ๊งอิ๊งที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศเรามีความสามารถอะไรที่จะนำพาชาติบ้านเมืองไปในสภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ และการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน แม้เธอจะมีความรู้จากห้องเรียนที่เรียนจบปริญญาตรีมาจากจุฬาลงกรณ์ และจบปริญญาโทมาจากประเทศอังกฤษก็ตาม
ไม่รู้เหมือนกันว่า ทักษิณดันลูกสาวของตัวเองมาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและเป็นนายกรัฐมนตรี อาจจะเพราะทักษิณรู้ความสามารถของลูกสาวตัวเองที่ซุกซ่อนอยู่ หรือเพราะว่าทักษิณรู้ว่าอย่างไรเสียตัวเขาเองจะเป็นผู้กำกับนายกรัฐมนตรีอยู่หลังม่านเหมือนจักรพรรดิปูยี จักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์ชิงที่เป็นหุ่นเชิดของพระนางซูสีไทเฮาพระมารดาของจักรพรรดิ
วันนี้สถานภาพของนายกรัฐมนตรีอุ๊งอิ๊ง คุณหนูของตระกูลชินวัตรก็คงมีสภาพไม่ต่างกัน เธอไม่มีทางสลัดจากการถูกครอบครองจากพ่อของเธอได้เลย
แต่คนไทยต้องไม่ลืมนะว่า ทักษิณนั้นเคยมีประวัติในการทุจริตจำนวนมาก และเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาของการเกิดทุจริตเชิงนโยบาย คือ การคิดนโยบายและใช้ช่องว่างทางกฎหมาย เป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์ให้กับธุรกิจของตัวเองและพวกพ้อง ซึ่งแตกต่างจากปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือปัญหาการคอร์รัปชันที่เกิดจากการใช้อำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะเจ้าหน้าที่รัฐนั้นกินตามน้ำ กินเปอร์เซ็นต์จากการจัดซื้อจัดจ้าง แต่ทุจริตเชิงนโยบายนั้นรัฐและประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
สิ่งที่น่าห่วงก็คือ สังคมไทยสยบยอมต่อผู้มีอำนาจ ถ้าเราเห็นภาพของสื่อมวลชนที่มีหน้าที่สะท้อนความเป็นไปของสังคม และตีแผ่การทุจริตคอร์รัปชันเพื่อเปิดโปงคนทุจริตออกมาแห่แหนทักษิณที่เพิ่งพ้นโทษจากการทุจริต และมีผลงานการทุจริตเป็นที่ประจักษ์ราวกับเป็นวีรบุรุษที่กำลังเข้ามากอบกู้ชาติบ้านเมือง และเห็นภาพนักธุรกิจใหญ่ซึ่งมีสัมปทานกับผลประโยชน์ของรัฐจำนวนมากเข้าไปห้อมล้อม เพราะตอนนี้ทักษิณมีอำนาจในฐานะพ่อของนายกรัฐมนตรีที่ใครต่อใครก็เชื่อว่าเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงที่จะกำหนดชะตากรรมของประเทศนี้
แล้วสังคมก็ตั้งคำถามว่าที่ทักษิณประกาศบนเวทีว่าจะซื้อสัมปทานรถไฟฟ้าคืนจากเอกชน โดยอ้างว่า เพื่อให้รัฐเอามาบริหารเองและเก็บค่าโดยสารคนละ 20 บาท นั้นจริงๆ แล้วต้องการช่วยประชาชนหรือช่วยเอกชนกันแน่ และต่อมาสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ออกมายืนยันว่า คือรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สีชมพู สีเหลืองและสีส้ม ซึ่งพบว่ามียอดผู้โดยสารต่ำกว่าเป้ามาก มีแนวโน้มว่าโอกาสที่เอกชนจะคืนทุนนั้นยากมาก นั่นหมายความว่า นี่เป็นการทุจริตเชิงนโยบายที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อแบกรับภาระแทนเอกชนที่กำลังขาดทุนใช่หรือไม่
นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่เราเรียกว่าระบอบทักษิณใช่หรือไม่
วันนั้นสิ่งที่ทักษิณพูดอีกอย่างก็คือ Negative Income Taxหรือภาษีเงินได้ติดลบ ซึ่งถ้าจะอธิบายก็คือ ระบบที่บุคคลที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดจะได้เงินเพิ่มจากรัฐบาลแทนที่จะจ่ายภาษีให้รัฐ ดูเหมือนจะเป็นข้อดีที่เป็นการช่วยเหลือคนที่ยากจนในสังคม แต่คำถามว่านโยบายดังกล่าวจะเอาเงินจำนวนมากมาจากไหน
ในขณะที่ในประเทศไทยมีคนที่อยู่ในระบบภาษีคือต้องจ่ายภาษีเงินได้มีเพียง 4 ล้านคน จากคนที่อยู่ระบบภาษีเพียง 10 ล้านจากประชากรประมาณ 70 ล้านคน นั่นหมายความว่าคนที่จ่ายภาษีจะต้องจ่ายภาษีเพิ่มมากขึ้นใช่หรือไม่ และนั่นอาจจะเป็นแรงจูงใจให้คนจำนวนมากไม่หารายได้ให้ตัวเองเพื่อเข้ามาอยู่ในระบบภาษีเพื่อจะได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาล ซึ่งหมายความว่า คนประมาณ 4 ล้านคนต้องทำงานหนักอาจจะต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นเพื่อเลี้ยงดูคนอีก 60 กว่าล้านคน
การขึ้นเวทีของทักษิณในวันนั้นแสดงให้เห็นชัดว่า ทุกคนต้องฟังเพราะนี่คือนโยบายรัฐบาลที่เขาจะเป็นกำกับด้วยตัวเอง
จากนักโทษทุจริตคดโกงแผ่นดิน กลับมามีอำนาจยิ่งใหญ่คับฟ้า ทำผิดโดยไม่ต้องติดคุก กระบวนการยุติธรรมไม่มีความหมาย ไม่รู้เหมือนกันว่าความเป็นอภิสิทธิชนของทักษิณนั้นต้องแลกกับอะไร ทำไมทุกองคาพยพต้องสยบยอมต่อทักษิณ และวันนี้กลายเป็นผู้กุมชะตากรรมของทุกคนในประเทศนี้ที่ทุกคนต้องวิ่งเข้าหาและค้อมหัวให้กับคนทุจริตที่เคยคดโกงแผ่นดินจนเป็นที่ประจักษ์มาแล้ว
นอกจากประเทศไทยแห่งนี้เคยมีตัวอย่างในประเทศไหนบ้างที่ผู้นำที่ได้ชื่อว่าทุจริตคดโกงต้องหนีไปต่างประเทศแล้วกลับมามีอำนาจเพื่อกำหนดชะตากรรมของแผ่นดินอีกครั้ง
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan