ความพยายามพิทักษ์ ปกป้อง “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” อย่างอิสราเอลของคุณพ่ออเมริกา...ต้องเรียกว่า “สุดติ่งกระดิ่งแมว” น่าคลื่นเหียนอาเจียน ยิ่งกว่าพวกรัฐมนตรี “เผาไทย” ของบ้านเรา พยายามพิทักษ์ปกป้องคุณหลาน “นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” ไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยเท่า ดังที่สื่อวิทยุอเมริกันอย่าง “Hal Turner Radio” เขาอดไม่ได้ต้องออกมาแสดงความหงุดหงิด งุ่นง่าน ต่อการทุ่มเทสรรพกำลังจำนวนถึง 1 ใน 3 ของกองทัพเรืออเมริกันทั้งมวล ไปยังภูมิภาคตะวันออกกลางเพื่อตอบสนองอารมณ์ความรู้สึกของ “นักธุรกิจชาวยิว” ในอเมริกา ที่เป็นผู้สนับสนุนเงินๆ-ทองๆ ให้กับ “นักการเมืองอเมริกัน” มาโดยตลอด...
คือไม่ใช่การสั่งให้เรือบรรทุกเครื่องบิน “USS Abraham Lincoln” ถอนสมอจากแถวๆ ทะเลจีนใต้มุ่งหน้ามายังทะเลแดง แถมยังส่งเรือดำน้ำนิวเคลียร์ “USS Georgia” มาสมทบเท่านั้น แต่ยังมีเรือบรรทุกเครื่องบิน “USS Roosevelt” จอดรอเอาไว้ที่ฐานทัพในบาห์เรนอีกต่างหาก นั่นยังไม่รวมไปถึงการจัดส่งเครื่องบินโจมตี ทิ้งระเบิดแบบทันสมัยสุดๆ ของกองทัพอากาศเข้ามาช่วยเหลือปกป้องอิสราเอลแบบถึงไหน-ถึงกันอีกด้วย ส่วนในทางการทูต...รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกันอย่าง “นายAntony Blinken” ก็แทบไม่ต้องทำมาหารับประทานในเรื่องอื่นใดอีกต่อไป หันมาเทียวไล้-เทียวขื่อย่ำเท้าเดินทางไปเยือนอิสราเอลถึง 9 ครั้งเข้าไปแล้ว นับจากเกิดเหตุการณ์ 7 ตุลาคม หรือการเปิดฉากสงครามของอิสราเอลกับพวกนักรบฮามาส เป็นต้นมา รวมทั้งยังเพียรพยายามส่งตัวแทนไปเกลี้ยกล่อม โน้มน้าว ให้อิหร่านและบรรดา “อักษะแห่งการต่อต้าน” หันไป “เอามือซุกหีบ” ซะดื้อๆ!!! ไม่ควรคิดจะตอบโต้-เอาคืนใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ต่อการก่อการร้าย ลอบสังหาร หรือการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดน ไม่ว่าของอิหร่าน หรือเลบานอน ก็ตามที...
และอาจด้วยเหตุนี้ ด้วยการให้ท้าย การสนับสนุนส่งเสริมอิสราเอล แบบไม่ได้คิดสนใจความเลว ความชั่ว ความเหี้ยมโหด เหี้ยมเกรียมใดๆ แม้แต่น้อย หรือไม่? อย่างไร?ก็ตามที เลยส่งผลให้กระแสเสียง กระแสความรู้สึกของบรรดาลูกหลานกษัตริย์ดาวิดและโซโลมอนทั้งหลาย ชักออกมาทาง “เหิมเกริม” ไม่ยี่หระ ไม่แยแส ต่ออารมณ์-ความรู้สึกใดๆ ของ “ชาวโลก” เอาเลยก็ว่าได้ ดังที่ผลสำรวจความคิดเห็นของ “NISS” (The Institute National Security Studies) ได้นำมาเปิดเผยไว้เมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (18 ส.ค.) ว่าชาวอิสราเอลจำนวนเกือบครึ่งประเทศ หรือ 47 เปอร์เซ็นต์ ต่างเห็นว่าอิสราเอลไม่ควรที่จะต้องหันไปเดินตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือคุณค่าทางศีลธรรมใดๆ ในการทำสงครามกับชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา รวมทั้งยังเห็นด้วยว่าทหารอิสราเอลซึ่งถูกกล่าวหาว่าข่มขืนนักโทษที่ถูกจับเป็นเชลย ถึงขั้นมีข่าวว่าใช้ด้ามไม้กวาดสวนทวาร ไม่ควรจะถูกลงโทษใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย นั่นยังไม่รวมไปถึงรายงานผลสำรวจของ “The Wall Street Journal” ที่ระบุเมื่อช่วงวันพุธที่แล้ว (14 ส.ค.) ว่าบรรดาเจ้าหน้าที่อิสราเอลโดยส่วนใหญ่เห็นว่าควรเปิดฉากโจมตีเลบานอนหรือแม้แต่อิหร่านก็ตามที ด้วยเหตุเพราะเชื่อมั่นว่าอเมริกาย่อมต้องช่วยเหลือและสนับสนุนอิสราเอลอย่างมิมีวันเป็นอื่น...
นี่...อันนี้นี่แหละ ที่อาจทำให้ “คะแนนนิยม” ของไอ้เหี้ยม ไอ้เลว ไอ้ชั่ว อย่าง “นายBenjamin Netanyahu” ผู้นำอิสราเอลเลยมาแรง-แซงโค้ง แซงหน้าคู่แข่งทางการเมืองคนสำคัญอย่าง “นายBenny Gantz” หัวหน้าพรรค “ฟ้า-ขาว” เอาดื้อๆ แม้ว่าศาลอาญาระหว่างประเทศจะถือเป็น “อาชญากรสงคราม” ที่มีส่วนในการฆ่าเด็ก ผู้หญิง คนชรา ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ของบรรดาชาวปาเลสไตน์ที่ได้ตายเพราะสงครามฉนวนกาซาไปแล้วถึง 40,005 ราย อีก 10,000 รายสาบสูญไม่ว่าเพราะตายไปแล้วหรือถูกฝังไว้ในซากปรักหักพังที่ถูกเครื่องบินอิสราเอลไล่ถล่มตั้งแต่เหนือจรดใต้ ไม่เว้นโรงเรียน โรงพยาบาล หรือกระทั่งศูนย์ผู้อพยพลี้ภัย ฯลฯ ส่วนจำนวนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ต้องพิการ ทุพพลภาพปาเข้าไป 92,401 รายเป็นอย่างน้อย แต่สิ่งเหล่านี้...กลับถูกมองไม่เห็นเอาดื้อๆ!!! ไม่ว่าสายตาของชาวอิสราเอลหรือ “นักการเมืองอเมริกัน” ที่พร้อมใจลุกขึ้นปรบมือยกย่องสรรเสริญ “นายBenjamin Netanyahu” ในรัฐสภาอเมริกัน ชนิดทุกๆ 2 นาที หรือประมาณ 50-60 ครั้งเอาเลยถึงขั้นนั้น...
การระงับยับยั้ง ความเหี้ยม-ความห่ามของอิสราเอล...มันจึงเอาแต่มัว “เอามือซุกหีบ” ไม่น่าจะได้ การตอบโต้-เอาคืนไม่ว่าโดยพวก “อักษะแห่งการต่อต้าน” หรือโดยอิหร่าน จึงเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ด้วยประการละฉะนี้ ส่วนจะออกมาในรูปไหน? อย่างไร? อันนี้...คงต้องขออนุญาตชี้ชวน เชิญชวน ให้ลองไปควานหาคลิปวิดีโอครั้งล่าสุด ที่พวกนักรบ “Hezbollah” ได้นำออกมาเผยแพร่เมื่อช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา (16 ส.ค.) ที่แม้จะถือเป็นการโปรปะกันดา หรือการกระทำ “สงครามจิตวิทยา” ของกลุ่มคนเหล่านี้ก็ตามที แต่คงต้องยอมรับว่า...ใครที่มีโอกาสได้ดู ได้ชม โดยเฉพาะบรรดาลูกหลานชาวอิสราเอลทั้งหลาย น่าจะหนาวว์ว์ว์ยะเยือกไปถึงกระดูกเอาง่ายๆ เพราะภาพการลำเลียงขีปนาวุธภายในอุโมงค์ใต้ดินอันกว้างขวางของพวก “Hezbollah” ที่สามารถใช้รถบรรทุกขนาดยักษ์ขนจรวดแล่นไป-แล่นมาได้สบายๆ แถมเวลายิงยังไม่ต้องเสียเวลาขับรถขึ้นมาบนพื้นผิวดินอีกด้วยต่างหาก แต่อาศัยช่องที่เจาะไว้ในอุโมงค์เล็งเป้า ส่งจรวดแสนๆ ลูกข้ามฟ้า ข้ามอากาศ ไปสู่เป้าหมายได้แบบน่าสยดสยอง น่าขนลุกขนพอง เอามากๆ...
และด้วยการประเมินของบรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย...ว่ากันว่า “ขีดความสามารถ” ของพวก “Hezbollah” นั้นน่าจะสามารถล้างผลาญ ทำลาย “หัวใจทางเศรษฐกิจ” ของอิสราเอล ไม่ว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ผลิตทางการเกษตร 70 เปอร์เซ็นต์ของโรงงานผลิตนม 40 เปอร์เซ็นต์ของการผลิตเนื้อ 60 เปอร์เซ็นต์ของโรงกลั่นน้ำมัน ฯลฯ หรือน่าจะสร้างความเสียหายให้กับระบบเศรษฐกิจของอิสราเอล ไม่น้อยไปกว่า 150,000 ล้านดอลลาร์ หรือทำให้ “ตลาดอาหาร” ของอิสราเอลตกอยู่ในสภาวะ “อัมพาต” ได้แบบฉับพลัน-ทันที เพราะบรรดาสิ่งก่อสร้างและสาธารณูปโภคเหล่านี้ อยู่ห่างจากพรมแดนเลบานอนแค่ไม่กี่สิบกิโลเมตร...
ดังนั้น...ย่อมถือเป็นเรื่องไม่แปลก ที่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง (18 ส.ค.) ถ้าว่ากันตามรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์อิสราเอล “Hayom Daily” บรรดาทวยทหารกองทัพอิสราเอล เลยถึงกับ “หูแหก-ตาแหก” เมื่อปรากฏภาพ “วัตถุแปลกปลอม” โผล่ขึ้นมาบนจอเรดาร์ และกำลังบินเข้าใกล้บ้านพักตากอากาศของ “นายBenjamin Netanyahu” บริเวณชายหาด “Caesarea” ด้านเหนือของกรุงเทลอาวีฟโดยแม้ว่าจะไม่มีรายละเอียดอื่นๆ ตามมา แต่ก็พอทำให้เกิดข้อสรุปได้ว่า น่าจะมี “จุดอ่อน” บางประการที่ทำให้การ “เจาะทะลวง” ระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิสราเอล ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เหลือบ่ากว่าแรง อะไรมากมาย...
นั่นยังไม่รวมไปถึง “ขีดความสามารถ” ของพี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลาง อย่างอิหร่าน ที่มีรัฐมนตรีต่างประเทศจีน อย่าง “นายWang Yi” ได้ออกมาสนับสนุนถึงความชอบธรรมในการตอบโต้-เอาคืน รวมทั้งการสร้างความร่วมมือทางยุทธศาสตร์กับรัสเซียในระดับ “Big Treaty” เอาเลยถึงขั้นนั้น และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้รัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอลอย่าง “นายIsrael Katz” เลยต้องฉวยโอกาสออกมาป่าวประกาศ หลังพบปะกับ “นายDavid Lammy” รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษและ “นายStephane Sejourne” รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส ว่าอิสราเอลไม่ได้หวังแค่ให้อเมริกาช่วยเหลือเท่านั้น แต่ยังหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรในยุโรปอย่างอังกฤษและฝรั่งเศส ในการเล่นงานอิหร่าน หรือ... “ถ้าอิหร่านโจมตีอิสราเอล เราไม่เพียงแต่จะป้องกันตนเอง แต่ยังรวมไปถึงการโจมตีเป้าหมายสำคัญต่างๆ ในอิหร่านอีกด้วย”...
พูดง่ายๆ ว่า...ไม่ได้แค่คิดจะลากอเมริกาเข้ามาสู่สมรภูมิ ที่ผู้นำอิสราเอลประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาเท่านั้น แต่ยังคิดจะลากเอาพวก “พรมเช็ดเท้า” คุณพ่ออเมริกาเข้ามา “ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย” ตามไปด้วยซะอีกต่างหาก แม้ว่าบรรดาชาติพันธมิตรตะวันตกทั้งหลาย ต่างก็กำลัง “กรอบเป็นข้าวเกรียบ” เพราะต้องสู้กับรัสเซียในแนวรบยุโรปตะวันออกก็ตามที ชนิดรัฐมนตรีคลังเยอรมนี “นายChristian Linder” ต้องออกมาป่าวประกาศว่า “บ่อจี๊” หรือแทบไม่เหลือเงินที่จะส่งไปช่วยเหลือสนับสนุน “ตัวตลก-ตัวแทน” ของชาติตะวันตกอย่างยูเครนอีกต่อไปแล้ว...
ส่วนจะต้องถูกฉุดกระชากลากถูให้เข้ามาช่วยเหลืออิสราเอลหรือไม่? อย่างไร? อันนี้...คงต้องไป “ชั่งน้ำหนัก” กันดูอีกที เพราะโดยอำนาจ อิทธิพลของบรรดา “นักธุรกิจชาวยิว” ทั้งหลาย คงต้องยอมรับว่า ไม่ใช่เพียงแค่สามารถ “หันซ้าย-หันขวา” มหาอำนาจสูงสุดแห่งโลกอย่างรัฐบาลอเมริกันได้แบบสบายๆ กระทั่งประเทศที่เคยก่อเหตุการณ์สังหารหมู่ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในช่วง “สงครามโลกครั้งที่ 2” อย่างเยอรมนีก็เถอะ มาถึง ณ ขณะนี้...เพียงแค่สาววัยรุ่นชาวเยอรมัน อย่าง “นางสาวAva Moayeri” เผลอส่งเสียงตะโกนออกมาดังๆ ว่า “จากแม่น้ำถึงทะเล...ขอให้ปาเลสไตน์จงเป็นอิสระ” เพียงเท่านั้นยังถูกศาลเยอรมนีสั่งปรับไปถึง 600 ยูโร อันถือเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงอำนาจอิทธิพลของนักธุรกิจชาวยิวว่าน่าจะแผ่ซ่านไปทั่วทั้งโลกตะวันตก ความพยายามฉุดกระชากลากถู “โลกตะวันตก” หรือพวก “โลกขั้วอำนาจเดียว” ให้เข้ามาเผชิญหน้ากับพวก “โลกหลายขั้วอำนาจ” ในแนวรบตะวันออกกลาง มันเลยทำให้ “เข็มนาฬิกาแห่งวันสิ้นยุค” หรือ “Doomsday Clock” จึงต้องกระดิกเดินหน้าไปจนเหลือเวลาเพียงแค่อีก 90 วินาที หรือแค่นาทีกว่าๆ ก็จะถึงเวลาเที่ยงคืน หรือถึงช่วงเวลาแห่งการสิ้นสุดอารยธรรมของมวลมนุษชาติ ไปด้วยประการละฉะนี้...แล…