ปิดท้ายสัปดาห์นี้...คงต้องขอเริ่มต้นด้วยการชี้ชวน เชิญชวน ให้ลองไป “เงี่ยหูฟัง” คำพูด-คำจาของรัฐมนตรีต่างประเทศจีน “นายWang Yi” หลังจากที่ได้พูดคุยโทรศัพท์กับรักษาการรัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน “นายAli Bagheri Kani” เมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (11 ส.ค.) ที่แม้เป็นคำพูดสั้นๆ ตรงไป-ตรงมา แต่ต้องถือเป็นคำพูดที่ “ไม่ธรรมดา” หรือคงต้องหยิบมาใคร่ครวญ หวนคิด ประมาณแปดตลบ หรือสิบตลบ ก็แล้วแต่จะว่ากันไป นั่นคือคำพูดที่ว่า... “จีนสนับสนุนอิหร่านในการปกป้องอธิปไตย ความมั่นคง เกียรติภูมิของประเทศตนเอง!!!”
คือถ้าว่ากันโดยบุคลิก ลีลา ของคุณพี่จีนโดยทั่วๆ ไปแล้ว....ถ้าหากไม่หนักไปทางลอดเลื้อย โอบกระหวัดรัดพัน ส่วนใหญ่ก็มักออกไปทาง “สันติ” นั่นแหละเป็นหลัก ชนิดที่สามารถจูงไม้-จูงมือคู่กัด-คู่แข่ง 2 พี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลางอย่างอิหร่านและซาอุดีอาระเบีย ให้หันมา “จูบปาก” กันจนได้ หรือสามารถเกลี้ยกล่อม โน้มน้าว ให้กลุ่มชาวปาเลสไตน์ที่มีความผิดแผกแตกต่างกันในเรื่อง “กรรมวิธี” ในการปลดปล่อยปาเลสไตน์ ให้หันมาผนึกรวมเป็นหนึ่งเดียว พร้อมที่จะอยู่ภายใต้การนำขององค์กร “PLO” (Palestine Liberation Organization) อันอาจถือเป็น “อิฐก้อนแรก” ในการจะนำมาซึ่งเอกราชของรัฐปาเลสไตน์และสันติภาพตะวันออกกลางในระยะยาว หรือแม้แต่ในกรณีความขัดแย้งยูเครน-รัสเซีย การนำเสนอ “แผนสันติภาพ 12 ข้อ” ของคุณพี่จีนก็ดูจะเป็นไปในแนวนี้...
แต่สำหรับความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล...อันเนื่องมาจากการ “ลอบสังหาร” ผู้นำฮามาสขณะเดินทางไปร่วมพิธีสาบานตนของประธานาธิบดีคนใหม่แห่งอิหร่าน อันนี้นี่แหละแทนที่คุณพี่จีนท่านจะลอดเลื้อยลัดเลี้ยวเอาตัวรอดไปวันๆ แต่กลับหันมาสนับสนุนการจัดหนัก จัดเต็ม การตอบโต้-เอาคืนของอิหร่านต่อการล่วงละเมิดอธิปไตย ความมั่นเกียรติภูมิประเทศ โดยไอ้เหี้ยมไอ้ชั่ว หรือไอ้จอมเจ้าเล่ห์ อย่างอิสราเอล แบบชนิดตรงไป-ตรงมาเอาเลยก็ว่าได้ โดยทั้งนั้น ทั้งนี้ ก็คงไม่ได้มีแต่รัฐมนตรีจีนอย่าง “นายWang Yi” รายเดียวเท่านั้น ที่พร้อมจะถือหาง สนับสนุนอิหร่านอย่างเปิดเผย เพราะเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว นักยุทธศาสตร์ทางการทหารของจีน อย่าง “พลเรือเอกZhang Zhaozhong” แห่งมหาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (PLA-National Defense University) ท่านเคยได้ประกาศ “จุดยืน” ของจีนที่ควรมีต่อประเทศอิหร่านเอาไว้ถึงขั้นว่า... “จีนไม่ควรมีความลังเลใดๆ เลย ในการปกป้องอิหร่าน แม้การกระทำเช่นนั้นจะนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ก็ตามที”
และเหตุที่นักทฤษฎี นักยุทธศาสตร์การทหารรายนี้...ออกมาแสดงความคิดเห็นไปแนวนี้ ก็ดูจะมีที่มา-ที่ไป มี “น้ำหนัก” ของเหตุผลรองรับอยู่พอสมควร คือเพียงแค่ดูจากการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองในช่วงประมาณ 3 ทศวรรษที่ผ่านมา หรือตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 ที่ตัวเลขการค้าระหว่างสองประเทศ เคยมีมูลค่าอยู่แค่ประมาณ 1.627 พันล้านดอลลาร์ แต่พอถึงช่วงปี ค.ศ. 2012 การค้าระหว่างจีนและอิหร่าน เพิ่มพรวดๆ พราดๆ ขึ้นไปถึง 50,000 ล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นไปเกือบ 50 เท่าตัวเอาเลยถึงขั้นนั้น ยิ่งช่วงที่อิหร่านถูกคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรพรมเช็ดเท้า รวมหัวกันบอยคอต แซงชั่นอย่างเป็นระบบและกิจการ อิหร่านได้กลายเป็น “ตลาด” ระบายสินค้าจากจีน ชนิดที่มูลค่าการนำเข้าสินค้าจีนไปยังอิหร่านระหว่างปี ค.ศ. 2000-2005 เพิ่มขึ้นไปถึง 360 เปอร์เซ็นต์เอาเลยทีเดียว...
หรือนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011 เป็นต้นมา การนำเข้าพลังงานของประเทศจีนทั้งประเทศ ก็ได้มาจากแหล่งน้ำมัน แหล่งแก๊ส ในประเทศอิหร่านไม่ต่ำไปกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนพลังงานทั้งหมด บริษัท “CNPC” (China National Petroleum Corporation) ของจีนเคยทุ่มเงินช่วยเหลือประมาณ 85 ล้านดอลลาร์ เพื่อให้ได้สิทธิในการขุดเจาะหลุมแก๊ส 19 หลุม ในพื้นที่ด้านใต้ของอิหร่าน ข้อตกลงระยะยาวของจีนในการนำเข้าแก๊สจำนวนไม่น้อยกว่า 270 ล้านตันจากอิหร่านตลอดช่วงระยะ 30 ปี นับจากปี ค.ศ. 2004 ถ้าคำนวณเป็นมูลค่าแล้ว ไม่น้อยไปกว่า 70,000 ล้านดอลลาร์ บริษัทพลังงานอีกแห่งของจีน คือ “Sinopec Group” ยังได้โดดเข้าไปร่วมถือหุ้นครึ่งหนึ่งในการขุดเจาะน้ำมันจากแหล่ง “Yardarvaran” ในอิหร่านคิดเป็นมูลค่าประมาณ 100,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่บริษัท “Zhuhai Zhenrong” ของจีน เซ็นสัญญาซื้อแก๊สอีกจำนวน 110 ล้านเมตริกตัน จากบริษัท “LNG” ของอิหร่านในตลอดช่วงระยะ 25 ปี อีกทั้งจีนยังพยายามอาศัยอิหร่านเป็นฐานในการขยายบทบาทต่อไปยังแหล่งน้ำมันและแก๊สในทะเลสาบแคสเปียนอีกด้วยต่างหาก ด้วยการร่วมมือจัดสร้างท่อลำเลียงน้ำมันและแก๊สจากแหล่งพลังงานในพื้นที่เหล่านี้ เชื่อมต่อไปยังตลาดในยุโรปและเอเชีย นั่นยังไม่รวมไปถึงการร่วมพัฒนาแหล่งน้ำมันที่ “Azadegan” มูลค่าไม่น้อยไปกว่า 1.76 พันล้านดอลลาร์และสัญญาร่วมลงทุนขุดแก๊สธรรมชาติอีก 3.39 พันล้านดอลลาร์ ในอีก 2 เดือนต่อมา ฯลฯ ฯลฯ จนทำให้ “จุดยืน” ของจีนที่ควรมีต่อประเทศอิหร่าน น่าจะเป็นไปดังที่นักยุทธศาสตร์การทหาร อย่าง “พลเรือเอกZhang Zhaozhong” ท่านว่าเอาไว้จริงๆ นั่นแล...
แต่ก็คงไม่ใช่แค่คุณพี่จีนรายเดียวที่แน่นเหนียว หนึบหนับ อยู่กับประเทศอิหร่าน พันธมิตรที่ไร้ขีดจำกัดของจีนอย่างคุณน้ารัสเซีย ก็นุงนัง นัวเนีย อยู่กับความเป็นไปในอิหร่านไม่ได้น้อยไปกว่ากัน โดยเฉพาะหลังๆ นี้ หรือหลังจากที่อดีตผู้นำอิหร่าน ประธานาธิบดี “Ebrahim Raisi” ได้เดินทางไปเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการ เมื่อช่วงเดือนธันวาคมปี ค.ศ. 2023 และร่วมปรึกษาหารือ พูดคุยกับผู้นำรัสเซียอย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ยาวนานถึง 5 ชั่วโมง ก่อนที่จะกลายมาเป็นร่างสนธิสัญญาครั้งสำคัญที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียอย่างคุณ “Maria Zakharova” เธอใช้คำเรียกว่า “A Big Treaty” ด้วยเหตุเพราะถือเป็นตัวสะท้อนความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศ แบบชนิด “Unprecedented upswing” หรือเจริญรุดหน้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ดังที่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียได้ให้คำนิยามเอาไว้นั่นเอง...
คือไม่ใช่แค่ความร่วมมือในด้านการค้า พลังงาน การศึกษา ฯลฯ เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงเรื่องการทหาร ความมั่นคง หรือในด้าน “ยุทธศาสตร์” ระหว่าง 2 ประเทศ จนทำให้พวกโลกตะวันตกหันไปตีความ แปลความ ถึงการส่งเครื่องบินโดรน ของอิหร่านไปให้รัสเซียเอาไว้สู้กับคู่ขัดแย้งอย่างยูเครนอะไรไปโน่น และแม้ว่าอดีตประธานาธิบดี “Ebrahim Raisi” จะมาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางการบินไปเสียก่อน แต่ประธานาธิบดีรายใหม่ “นายMasoud Pezeshkian” ก็ได้ยืนยัน นั่งยันอย่างเป็นมั่น-เป็นเหมาะว่าสนธิสัญญาครั้งสำคัญระหว่างรัสเซียกับอิหร่านที่ว่านี้ จะไม่มีการแก้ไข เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมรอจังหวะเพียงแค่การลงนามในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกลนับจากนี้...
ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้ผู้ที่คิดจะลงมือตอบโต้-เอาคืนต่ออิสราเอล อย่างอิหร่าน ย่อมไม่ได้ตัวเปล่า เล่าเปลือย แต่จัดอยู่ในประเภท “นกมีขน-คนมีเพื่อน” แถมผู้ที่เป็นเพื่อนซี้-เพื่อนตายยังมีสถานะ อำนาจ ระดับที่ถือเป็น “มหาอำนาจคู่แข่ง” ของคุณพ่ออเมริกาอีกด้วยต่างหาก การที่อิสราเอลคิดจะ “โจมตีก่อน” หรือคิดจะแก้แค้นแบบกลับไป-กลับมา จึงย่อมไม่ใช่เรื่องกล้วยๆ โดยเด็ดขาด แม้จะมีคุณพ่ออเมริกายกทัพ โยธาขนอาวุธยุทโธปกรณ์ กำลังรบแทบทั้งประเทศ ไม่ว่าเรือบรรทุกเครื่องบิน “USS Abraham Lincoln” เรือดำน้ำ “USS Georgia” ที่ติดขีปนาวุธพิสัยไกลอย่าง “Tomahawks BGM-109” เตรียมไว้เล่นงานอิหร่านกันโดยเฉพาะ ไปจนเครื่องบินโจมตีทิ้งระเบิดอานุภาพสูงอย่าง “F-22 Raptor” และ “F-35 Fighter” ก็ยังอุตส่าห์ขนมาด้วย แต่นั่นเท่ากับไม่เพียงแต่เป็นการนำตัวเองเข้ามาเผชิญหน้ากับ “อักษะแห่งการต่อต้าน” (Axis of Resistance) หรือกับอิหร่าน เลบานอน เยเมน ซีเรีย ปาเลสไตน์ เท่านั้น แต่ยังอาจหมายรวมไปถึงการเผชิญหน้ากับ 2 มหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนและรัสเซีย จนอาจกลายเป็นการเผชิญหน้าใน “สงครามครั้งสุดท้ายของมวลมนุษยชาติ” หรือที่พระคัมภีร์ไบเบิลท่านเรียกขานไว้ในนาม “สงครามอารมาเกดโดน” นั่นแล!!!
ดังนั้น...ใครจะชนะ-ใครจะแพ้ อย่ามัวไปเสียเวลาแหกปากตะโกนเชียร์แบบประดาพวก “ติ่งๆ” ทั้งหลาย ที่มีหัวเอาไว้แค่เพื่อทัดดอกไม้ หรือมีสมองพอๆ กับก้อนเต้าหู้ในต้มพะโล้อะไรทำนองนั้น เพราะโดยภาพเหตุการณ์ในช่วง “สงครามครั้งสุดท้ายของมวลมนุษยชาติ” ตามที่พระคัมภีร์ไบเบิลท่านทำนายทายทักเอาไว้ มันออกจะน่าเกลียด น่ากลัว น่าสยดสยองพองขน จนไม่น่าจะเหลืออารมณ์-ความรู้สึกที่คิดจะไปเชียร์ใครต่อใครต่อไปได้อีกเลย ดังข้อความที่ระบุเอาไว้ว่า... “เมื่อทูตสวรรค์องค์ที่หกเป่าแตรขึ้น ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงออกมาจากเชิงงอนมุมทั้งสี่ของแท่นทองคำ ที่อยู่เบื้องหน้าพระเจ้า เสียงนั้นสั่งทูตสวรรค์องค์ที่หกที่ถือแตรนั้นว่า จงแก้มัดทูตสวรรค์ทั้งสี่ ที่ถูกมัดไว้ที่แม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติส เพราะพระเจ้าได้ทรงเตรียมทูตสวรรค์ทั้งสี่ไว้สำหรับชั่วโมง วัน เดือนและปี ที่จะให้ฆ่ามวลมนุษย์เสียหนึ่งในสามส่วนและพลทหารม้าอีกสองร้อยล้าน...นี่คือจำนวนที่ข้าพเจ้าได้ยิน” นี่...เชื่อ-ไม่เชื่อ จริง-ไม่จริง แต่ฟังแล้วน่าจะหัด “หุบปาก” ลงไปได้มั่ง...