หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
การยุบพรรคก้าวไกลนั้นเป็นบทพิสูจน์อีกครั้งของอำนาจรัฐที่ต้องปกป้องระบอบ รูปแบบและอุดมการณ์ของรัฐเอาไว้ จากพรรคที่ท้าทายต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แม้ว่าไม่อาจจะหยุดอุดมการณ์ของพวกเขาและความร้อนแรงของพรรคในสายตาของคนรุ่นใหม่และคนชั้นกลางจำนวนมากที่ทำให้พรรคการเมืองของพวกเขาชนะการเลือกตั้ง
ไม่รู้ว่าผลจากการถูกยุบพรรคครั้งนี้จะทำให้พวกเขาต้องทบทวนหรือไม่ว่า การท้าทายต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้นจะต้องปะทะกับองค์ประกอบที่แวดล้อมสถาบันหลักของชาติ(Establishment)ไม่ว่าจะเรียกสิ่งนั้นว่า อำนาจเก่าหรือ Deep State ก็ตาม พวกเขาจะต้องถูกกลไกของรัฐต่อต้านอย่างถึงที่สุด และเมื่อกฎหมายและรัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดแล้วศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่อาจจะมีทางเลือกเป็นอย่างอื่น
อย่าไปหวั่นไหวกับการออกมาต่อต้านของเอกอัครราชทูตชาติต่างๆ ที่กระทำการที่ไร้มารยาทแทรกแซงกิจการการเมืองของเรา เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้วไม่ว่ารัฐธรรมนูญของประเทศไหน ถ้าพรรคการเมืองนั้นเป็นศัตรูกับระบอบการปกครองของรัฐ อุดมการณ์ของรัฐ หรือละเมิดรัฐธรรมนูญก็จะถูกยุบพรรคเหมือนกันทั้งสิ้น เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาแล้วในหลายประเทศไม่ว่าจะในเยอรมนี สเปน ตุรกี อียิปต์ ฯลฯ
แม้ว่าการยุบพรรคจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุดมการณ์และยับยั้งการเติบโตของพวกเขาได้ แต่มาตรการทางกฎหมายที่นำเอามาใช้ก็น่าจะเป็นวิถีทางที่เป็นอารยธรรมมากที่สุดเท่าที่จะยอมรับได้ และเป็นเรื่องปกติที่สถาบันหลักของชาติจะต้องปกป้องตัวเอง แม้ว่าพวกเขาจะเรียกสิ่งนี้ว่านิติสงครามก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าการถูกต่อต้านด้วยความรุนแรงจนเกิดการสูญเสียเลือดเนื้อ
หากจะว่าไปแล้วถ้าพวกเขาไม่แตะต้องไปที่สถาบันกษัตริย์แต่มุ่งที่จะท้าทายต่อกลุ่มหรือชนชั้นนำที่มีอำนาจ อิทธิพล และสิทธิอำนาจภายในสังคมหรือระบบการเมือง ที่ประกอบด้วยผู้นำทางการเมือง บุคคลสำคัญทางธุรกิจ เจ้าหน้าที่ทหารระดับสูง และผู้มีบทบาทสำคัญอื่นๆ ที่ควบคุมและกำหนดบรรทัดฐานและนโยบายทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง พวกเขาก็อาจจะได้รับการสนับสนุนที่กว้างขวางกว่านี้
พูดตรงๆ ว่าพวกเขาเร่าร้อนเกินไปที่จะทลายโครงสร้างของสังคมไทยและพยายามทลายเพดานขึ้นไปจนไปแตะต้องสถาบันกษัตริย์ เพราะถูกยุยงกล่อมเกลาล้างสมองจากพวกปฏิกษัตริย์นิยม พวกเขาไม่ได้สรุปบทเรียนในอดีต เพียงแต่เชื่อมั่นในอำนาจในการสื่อสารผ่านสื่อใหม่เข้าสู่สังคมว่าพวกเขายึดกุมความได้เปรียบกระบอกเสียงของรัฐที่ยังคงมีรูปแบบและโครงสร้างแบบเก่า และในสภาวะที่สถาบันถูกคนรุ่นใหม่มองว่าขัดขวางการเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้าและรักษาโครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน จนทำให้พวกเขาเชื่อมั่นว่าจะสามารถเข้ามาเปลี่ยนแปลงสังคมไทยได้
พวกเขาเชื่อมั่นเกินไปว่าพวกเขาเป็นเจ้าของกาลเวลาที่จะเปลี่ยนแปลงและกวาดล้างสิ่งเก่าให้หมดไป จนลืมไปว่า สถาบันหลักที่เข็มแข็งและตั้งมั่นอยู่ในสังคมมากยาวนานจะไม่ยอมให้พวกเขาโค่นล้มลงไปได้ง่าย ขณะเดียวกันพลังของสถาบันหลักของชาติก็ยังมีประชาชนอีกจำนวนมากที่ยังเป็นพลังเพื่อต้านทานการเปลี่ยนแปลงที่พร้อมจะลุกขึ้นมาต่อต้านพวกเขาไม่ให้ไปสู่เป้าหมายหากการกระทำนั้นขาดความนุ่มนวลค่อยเป็นค่อยไป แต่ต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันจนเกินไป
ต้องยอมรับว่า การเติบโตของพรรคอนาคตใหม่ มาเป็นพรรคก้าวไกล ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในภูมิทัศน์ทางการเมืองของประเทศ พวกเขาท้าทายต่ออุดมการณ์ของรัฐอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นคือสนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นการดึงสถาบันกษัตริย์ลงมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองทั้งที่สถาบันกษัตริย์ของไทยนั้นทรงอยู่เหนือการเมืองและอยู่ใต้รัฐธรรมนูญมาตั้งแต่คณะราษฎรแย่งชิงพระราชอำนาจและพระราชสมบัติมาตั้งแต่ปี 2475
ชัดเจนว่าการแสดงออกของพวกเขาทั้งในรัฐสภา ทั้งการสนับสนุนการชุมนุมบนท้องถนนของคนรุ่นใหม่ และการแสดงออกต่อสถาบันกษัตริย์ที่ผ่านมานั้น มีเจตนาที่จะเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเหตุให้ชำรุด ทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง นำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุดตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยออกมาอย่างเป็นเอกฉันท์
พรรคอนาคตใหม่ได้รับความนิยมอย่างมากในการเลือกตั้งครั้งแรก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นเยาว์และประชากรในเขตเมือง โดยได้รับที่นั่งมากเป็นอันดับสามในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2562 ซึ่งบ่งชี้ถึงความปรารถนาในการเปลี่ยนแปลงในกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนมาก ซึ่งสะท้อนถึงความผิดหวังที่มีต่อสถานะเดิมและรัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ และพวกเขาสามารถช่วงชิงชัยชนะมาเป็นพรรคการเมืองอันดับหนึ่งในการเลือกตั้งในปี 2566 ในนามของพรรคก้าวไกล และมีความเชื่อกันว่า พรรคของพวกเขาจะชนะเลือกตั้งมากยิ่งขึ้นในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
แต่ต่อให้พรรคของพวกเขาชนะการเลือกตั้งและได้อำนาจรัฐไว้ในมือก็เชื่อว่าพวกเขาจะต้องถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากสถาบันต่างๆที่เชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับสถาบันสำคัญๆ เช่น รัฐบาล กองทัพ ตุลาการ บริษัทขนาดใหญ่ที่มีสายสัมพันธ์กับการเมือง เพราะต้องรักษาอำนาจและอุดมการณ์หลักของรัฐเอาไว้ มีคนเชื่อว่า จุดแตกหักที่เกิดขึ้นถ้าพรรคของพวกเขาได้อำนาจรัฐนั่นก็คือ การปะทะกันของคนในสังคมไทยแบบที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตที่พรรคคอมมิวนิสต์สามารถเข้าจัดตั้งกับคนรุ่นใหม่ นิสิตนักศึกษา และปัญญาชนในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
ต้องยอมรับว่าการเติบโตของพรรคอนาคตใหม่และการกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งในฐานะพรรคก้าวไกลถือเป็นพัฒนาการที่โดดเด่นในพลวัตทางการเมืองของประเทศไทย เป็นการสร้างนวัตกรรมทางการเมือง และต้องยอมรับว่าคนรุ่นใหม่ที่เกิดจากวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องของพรรคอนาคตใหม่จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการกำหนดทิศทางและการพัฒนาทางการเมืองในอนาคตของประเทศไทย เพียงแต่คนรุ่นใหม่เหล่านั้นถูกใส่ข้อมูลผิดๆ ที่ทำให้เข้าใจว่าสถาบันกษัตริย์เป็นส่วนเกินของระบอบประชาธิปไตยทั้งที่จริงแล้วสถาบันกษัตริย์ของไทยและระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้นเป็นองค์ประกอบของกันและกันที่ไม่อาจแบ่งแยกได้
ต้องยอมรับว่าพรรคการเมืองของพวกเขามีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นและระดมผู้มีสิทธิเลือกตั้งและนักเคลื่อนไหวที่เป็นคนรุ่นใหม่ กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของการเคลื่อนไหวที่นำโดยคนรุ่นใหม่ที่กว้างขึ้นซึ่งสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงในระบบ การปกครองที่ครอบคลุมมากขึ้น และเสรีภาพพลเมืองที่มากขึ้นและเป็นเครื่องมือให้พรรคการเมืองเก่าต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองออกจากความล้าหลังทางการเมืองที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ แม้เราจะไม่รู้ว่าหากได้อำนาจรัฐแล้วพรรคของพวกเขาจะมีความสามารถที่จะบริหารประเทศได้หรือไม่ ถ้ามองเข้าไปในพรรคของพวกเขาที่ยังมองไม่เห็นเลยว่ามีใครที่ทีมีความรู้ความสามารถที่โดดเด่นเพียงพอในการเข้ามาบริหารประเทศ
ดูเหมือนว่าจุดอ่อนของพวกเขาก็คือ การคัดสรรบุคลากรเข้ามาในพรรค สมาชิกพรรคของพวกเขาที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาในนามพรรคก้าวไกล 150 คนนั้น มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีความโดดเด่นและมีบทบาทเข้ามาสื่อสารกับสังคมได้ อีกจำนวนมากเราไม่รู้เลยว่า ส.ส.ของพรรคของพวกเขาชื่ออะไร มีความสามารถและมีบทบาทอย่างไรในทางการเมือง เพียงแต่พวกเขาได้รับการเลือกตั้งเข้ามาตามกระแสของพรรคเท่านั้นเอง และคนที่ไปลงเลือกตั้งให้พรรคของพวกเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าผู้สมัครเป็นใครมีที่มาอย่างไร
แม้ว่าพรรคก้าวไกลจะถูกยุบ และคงไม่อาจจะหยุดยั้งอุดมการณ์ของพวกเขาได้ แต่พวกเขาก็ต้องทบทวนว่า หากพวกเขาต้องการต่อสู้เพื่อให้ได้อำนาจการเมืองได้มีโอกาสเข้ามาบริหารประเทศ พวกเขาต้องเลิกที่จะดึงสถาบันกษัตริย์ลงมาเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมือง เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ว่าต่อไปพวกเขาจะยิ่งได้รับการเลือกตั้งเข้ามามากขึ้นหรือไม่ แต่ถ้ายังแสดงออกในการเป็นศัตรูกับระบอบของรัฐ อุดมการณ์ของรัฐ และทำตัวให้เป็นอันตรายต่อเสถียรภาพของชาติที่มีองค์ประกอบสำคัญคือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พรรคใหม่ของพวกเขาก็จะถูกยุบพรรคอีกอย่างแน่นอนในอนาคต
อนาคตของพวกเขาเป็นอย่างไรประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน อย่างไรก็ตามองค์ประกอบของรัฐในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขก็จะต้องสร้างศรัทธาให้กับประชาชนส่วนใหญ่เพื่อรักษาระบอบของรัฐ อุดมการณ์ของรัฐเอาไว้ได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียงของประชาชนส่วนใหญ่คือองค์ประกอบที่สำคัญของความเป็นชาติ
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan