ขณะที่เขียนต้นฉบับชิ้นนี้...ก็ยังมิอาจสรุป มิอาจคาดเดาได้เลยว่า ตกลงมันจะตูมๆ ตามๆ บึ้มๆ โครมๆ หรือเปรี้ยงๆ ดังเสียงฟ้าฟาด โครมๆ พินาศพังสลอนขึ้นมาในตอนไหน? เมื่อไหร่? และอย่างไร? สำหรับ “แนวรบตะวันออกกลาง” อันเนื่องมาจากความกระหาย ใคร่อยาก ความเพียรพยายามที่จะหาทางดำรงสถานะ บทบาท อำนาจของคนคนเดียวอย่างไอ้เหี้ยม ไอ้เลว หรือไอ้จอมเจ้าเล่ห์ ดังที่อาจารย์ “สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร” ท่านใช้คำเรียกขานไว้ในข้อเขียน บทความชิ้นล่าสุด ถึงผู้นำอิสราเอล ผู้มีนามกรว่า “Benjamin Netanyahu” รายนี้...นี่เอง!!!
เพราะอย่างที่รู้ๆ กันไปแล้วนั่นแหละว่า...การอาศัย “ข้ออ้าง” ในเรื่องการโจมตีหมู่บ้าน “Majdal Shams” บริเวณเขตยึดครองของอิสราเอลในที่ราบสูงโกลัน ส่งจรวดไปถล่มกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน จนผู้คนตายไป 10 บาดเจ็บ 75 โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงที่ปรึกษาผู้ใกล้ชิดเลขาธิการทั่วไปของกลุ่มนักรบ “Hezbollah” อย่าง “นายFuad Shukr” ทั้งที่นักรบกลุ่มนี้ หรือแม้แต่ตัวเลขาธิการฯ “นายHassan Nasrallah” ท่านจะออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการโจมตีครั้งนี้เอาเลยแม้แต่น้อย เพราะพวก “Hezbollah” นั้นไม่ได้คิดจะฆ่าเด็ก ฆ่าผู้หญิง เหมือนอย่างกองทัพอิสราเอลที่กำลัง “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ชาวปาเลสไตน์นับเป็นหมื่นๆ ศพ ในสงครามฮามาส ณ เขตฉนวนกาซาทุกวันนี้ แถมยังยืนยันด้วยว่ามีหลักฐานชัดเจนว่าจรวดที่ยิงใส่หมู่บ้าน “Majdal Shams” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็คือจรวดที่มาจากอิสราเอลเองนั่นแหละ แต่ก็นั่นแหละ...การอาศัยเหตุผล ข้ออ้าง ดังกล่าว ก็ได้กลายเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดการ “ขยายวงสงคราม” ในแนวรบตะวันออกกลางขึ้นมาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...
ยิ่งการส่งจรวด หรือลอบเอาระเบิดไปวางไว้ ณ ที่พักของหัวหน้านักรบฮามาสในกรุงเตหะราน เมืองหลวงของอิหร่าน ก็ยังมิอาจสรุปได้ จนสามารถ “ลอบสังหาร” “นายIsmail Haniyeh” ไปเมื่อช่วงวันพุธที่แล้ว (31 ก.ค.) ไม่เพียงแต่ทำให้การเจรจาหาทางหยุดยิงในสงครามฮามาส-อิสราเอล ณ เขตฉนวนกาซา ต้องพังพินาศ ต้องสิ้นสุดยุติลงไปโดยสิ้นเชิง แต่ยังเป็นการลากเอาอิหร่านให้ต้องโดดเข้ามาร่วม “เกมสงคราม” คราวนี้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ ฉากสถานการณ์ในแนวรบตะวันออกกลางช่วงนี้ มันเลยกำลังเป็นไปอย่างที่อดีตผู้สื่อข่าวสงครามผู้เคยคลุกคลีอยู่กับการหาข่าวในแถบอิหร่าน อิรัก ซีเรีย เลบานอน ซูดาน ฯลฯ มาไม่น้อยกว่า 37 ปี จนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญตะวันออกกลาง เคยเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ออกมาหลายต่อหลายเล่มด้วยกัน อย่าง “นายElijah J. Magnier” ได้สรุปไว้กับสำนักข่าว “Sputnik” เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมานั่นแหละว่า มันเป็นสิ่งที่ประจักษ์แจ้งชัด อย่างชนิดไม่ต้องเสียเวลาตั้งคำถามใดๆ อีกต่อไป ว่าผู้นำอิสราเอลอย่าง “นายNetanyahu” นั้น ต้องการที่จะ “ขยายวงสงคราม” เพื่อฉุดกระชากลากถูมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกา ให้เข้ามาร่วมใน “เกมสงคราม” คราวนี้ให้จงได้!!!
หรือ...ขณะนี้ Netanyahu ได้ต้อนทุกฝ่ายเข้ามุม ไม่ว่าอเมริกา อิหร่าน ซีเรีย เลบานอน เยเมน หรืออิรัก โดยการบอกว่ามาทำสงครามกันเถอะ (กู) ต้องการสงครามที่ใหญ่ยิ่งไปกว่านี้ นี่คือการส่งสาส์นไปยังแต่ละฝ่าย แม้ไม่มีใครอยากจะเล่นด้วย แต่ในเมื่อผู้นำรายนี้ยังคงมุ่งมั่นที่จะก่อกวน เล่นงาน แต่ละฝ่ายอีกต่อไป โดยถ้ารายใดคิดจะตอบโต้ ก็ยิ่งจะกลายเป็นการ “เข้าทาง” ของ “นายNetanyahu” ยิ่งขึ้นไปใหญ่ การจูงใครต่อใครให้ลงมาเล่นใน “สนามของตัวเอง” เลยทำให้แต่ละฝ่ายแทบไม่เหลือทางออก-ทางไป และสุดท้าย...ย่อมหนีไม่พ้นต้องหันไปตอบโต้-เอาคืนกันจนได้ โอกาสที่ “ไฟนรกสุดขอบฟ้า” จะลุกโพลงขึ้นมาในภูมิภาคตะวันออกกลาง แล้วลุกลามบานปลาย กลายเป็น “สงครามโลกครั้งที่ 3” หรือกระทั่ง “สงครามนิวเคลียร์” ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย...
และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่อดีตประธานาธิบดีรัสเซียและรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติปัจจุบัน อย่าง “นายDmitry Medvedev” ท่านเลยต้องออกมาโพสต์ไว้ในช่อง “Telegram” เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา (1 ส.ค.) ว่า “War is only way to peace in Middle East” หรือ “สงคราม” อาจเป็นหนทางเดียวที่จะนำไปสู่ “สันติภาพ” ในตะวันออกกลาง เพราะการดิ้นรนที่อยากจะมีอำนาจ บทบาท ในฐานะผู้นำอิสราเอลอีกต่อไปของไอ้เหี้ยม ไอ้เลว ไอ้จอมเจ้าเล่ห์อย่าง “นายBenjamin Netanyahu” ส่งผลให้แต่ละฝ่ายไม่อาจ “เอามือซุกหีบ” ได้เลยแม้แต่น้อย หรือดังที่เลขาธิการทั่วไปของกลุ่มนักรบ “Hezbollah” “นายHassan Nasrallah” ได้สรุปไว้เมื่อวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา (1 ส.ค.) นั่นแหละว่า หลังการลอบสังหาร “นายFouad Shukr” และหัวหน้านักรบฮามาส “Ismail Haniyeh” ได้ทำให้การต่อสู้แนวรบในตะวันออกกลางเข้าสู่ฉากใหม่ โฉมหน้าใหม่ หรือทำให้ “การตอบโต้ของเราจะต้องมีขึ้นอย่างแน่นอน โดยที่เรากำลังมองหาเป้าหมายที่อยู่ภายใต้การคาดคำนวณโดยละเอียด เพราะฝ่ายอักษะแห่งการต่อต้าน (The Axis of Resistance) จะต้องต่อสู้อย่างชาญฉลาดและด้วยความกล้าหาญ”...
การโจมตี-ตอบโต้ของพวก “The Axis of Resistance” ไม่ว่าตั้งแต่นักรบ Hamas ในกาซา นักรบ Hezbollah ในเลบานอน นักรบ Houthi ในเยเมน ไปจนถึงอิรัก ซีเรีย รวมทั้งพี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลางอย่างอิหร่านต่อ “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” ของคุณพ่ออเมริกาอย่างอิสราเอลอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้นี่เอง เลยทำให้ “รัฐบาลอเมริกันเชื้อสายยิว” ต้องออกมาป่าวประกาศว่าเป็น “หน้าที่” หรือเป็น “ภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์” ที่ประเทศอเมริกาจำต้องปกป้อง ต้องพิทักษ์รักษาอิสราเอล ดังที่อดีตประธานาธิบดีอเมริกัน “นายโอมาบ้า” (โอบามา) เคยว่าไว้ รัฐมนตรีกลาโหมอเมริกาจึงไม่ได้ลังเลใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ในการเพิ่มจำนวนกองเรือรบและเรือพิฆาตบ่ายหน้าเข้ามายังทะเลแดง เปลี่ยนถ่ายเรือบรรทุกเครื่องบิน เพิ่มจำนวนจรวดสกัดกั้นและโจมตีของระบบป้องกันภัยทางอากาศ เพื่อช่วยในการปกป้องอิสราเอล ไม่ว่าผู้นำประเทศอย่าง “นายNetanyahu” จะชั่ว จะเลว จะเหี้ย...ย์ย์ย์มม์ม์ม์ จะจอมเจ้าเล่ห์ เพียงใดก็ตาม!!!
ส่วน “พันธมิตรพรมเช็ดเท้า” ของคุณพ่ออเมริกาอย่างบรรดาชาติยุโรปอียู-อีย้วยทั้งหลายนั้น ก็อย่างที่รักษาการรัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน “นายAli Baqeri” ท่านได้ออกมาให้สัมภาษณ์หลังจากต่อสายโทรศัพท์พูดคุยกับตัวแทนระดับสูงในกิจการด้านต่างประเทศของอียู “นายJosep Borrell” ว่าการ “อมสากกะเบือ” หรือการเงียบๆ เฉยๆ ชาติยุโรป หลังจากการลอบสังหารนายทหารระดับสูงของ “Hezbollah” และผู้นำกลุ่มนักรบฮามาสนั้น ก็คือการให้ท้ายต่ออิสราเอล อย่างไม่สนใจความผิด-ความถูก ความถูกต้อง-ชอบธรรมใดๆ อีกต่อไป โอกาสที่จะช่วยๆ กันดับ “ไฟนรกสุดขอบฟ้า” ไม่ให้ลุกลามต่อไป จึงแทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย...
สิ่งที่กำลังจะบังเกิด กำลังจะอุบัติขึ้นมานับจากนี้ต่อไป ก็จึงอาจเป็นไปดังที่ “พระคัมภีร์ไบเบิล” บทวิวรณ์ 16:14 ได้สรุปไว้ล่วงหน้ามานับเป็นร้อยๆ พันๆ ปีมาแล้วนั่นแหละว่า... “ทูตสวรรค์องค์ที่หกได้เทขันของตนลงที่แม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติสทำให้น้ำในแม่น้ำนั้นแห้ง เพื่อเตรียมมรรคาไว้สำหรับกษัตริย์ที่มาจากทิศตะวันออก และข้าพเจ้าได้เห็นผีโสโครก 3 ตน รูปร่างคล้ายกบ ออกมาจากปากพญานาค ออกจากปากสัตว์ร้ายนั้น และออกจากปากคนที่ปลอมตัวเป็นผู้เผยพระวจนะ ด้วยว่าผีเหล่านั้น คือผีร้ายกระทำหมายสำคัญ มันออกไปหากษัตริย์ทั้งปวงทั่วพิภพ เพื่อให้บรรดากษัตริย์เหล่านั้นร่วมกันทำสงครามในวันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด และมันทั้ง 3 ได้ชุมนุมพวกกษัตริย์ไว้ที่ตำบลหนึ่ง ซึ่งภาษาฮิบรูเรียกว่า...อารมาเกดโดน!!!”
หรือพูดง่ายๆ ว่า...โอกาสที่จะเกิด “สงครามครั้งสุดท้ายของมวลมนุษยชาติ” หรือที่เรียกๆ กันมาโดยตลอดว่า “สงครามอารมาเกดโดน” อะไรประมาณนั้น ชักจะยิ่งมีความเป็นไปได้สูงยิ่งเข้าไปทุกที ความทุ่มเท ความเพียรพยายามที่จะให้ได้มาซึ่ง “สันติภาพ” ในภูมิภาคตะวันออกกลางของประเทศมหาอำนาจคู่แข่งอเมริกา อย่างจีนและรัสเซีย ที่อุตส่าห์จับมือ ถือแขน จูงให้ประเทศพี่เบิ้มในตะวันออกกลางอย่างซาอุดีอาระเบียและอิหร่านสามารถที่จะคืนดีกันได้ บรรลุความสำเร็จในการหลอมรวมความผิดแผกแตกต่างระหว่างบรรดากลุ่มชาวปาเลสไตน์ถึง 14 กลุ่มให้เป็นอันหนึ่ง-อันเดียวกัน ไปจนถึงทำให้ประเทศที่เต็มไปด้วยสงครามกลางเมืองอย่างซีเรีย กลับมามีสันติภาพสามารถอยู่ร่วมกับบรรดาประเทศสันติบาตอาหรับได้ตามปกติ แถมยังช่วยคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างซีเรียกับตุรเคีย ที่พวกฝรั่งตะวันตกเคยก่อร่างสร้างไว้ตั้งแต่เดิม ให้กลับมาอยู่ร่วมกันโดยสันติได้อีกครั้ง อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้...เลยกลายเป็นการ “เหนื่อยเปล่า” ไปโดยปริยาย อันอาจส่งผลให้ “กษัตริย์ที่มาจากทิศตะวันออก” อดไม่ได้ที่จะต้องโดดเข้ามาร่วม “เกมสงคราม” คราวนี้ หรือต้อง “War is only way to peace in Middle East” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้เลย...