ปิดท้ายสัปดาห์นี้...เดิมทีกะว่าจะชวนไปว่ากันเรื่อง “การเมืองอเมริกา” เพราะมีความเคลื่อนไหวใหม่ๆ ที่น่าคิด น่าสะกิดใจและน่าสนใจอยู่พอสมควร แต่เผอิญว่า...ช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา (26 ก.ค.) ดันมี “พิธีเปิดกีฬาโอลิมปิก” ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสแล้วถ่ายทอดสดมาให้ผู้คนในบ้านเรามีโอกาสทัศนากันโดยถ้วนหน้า ส่งผลให้บรรดาผู้ที่คิดว่าตัวเองเป็นพวกก้าวหน้า-ก้าวไกลอะไรทำนองนั้น ออกอาการซี๊ดซ๊าด ออกัสซั่มกันแบบพลั่กๆๆ!!!
ดาหน้าออกมาสรรเสริญเยินยอ แสดงความชื่นชมต่อความสูงส่งวิเศษวิเสโส ระดับถึงกับเรียกว่าซอฟต์เพาว่ง เพาเวอร์ อะไรไปโน่น ต่อความอลังการงานสร้างซึ่งถูกนำเสนอในพิธีเปิดคราวนี้โดยเฉพาะภาพที่อดีตพระราชินีฝรั่งเศส (Queen Marie Antoinette) กำลังหิ้วศีรษะตัวเอง หลังจากถูกบรรดา “นักปฏิวัติ” ตัดหัว คั่วแห้งในเหตุการณ์ปฏิวัติฝรั่งเศสเมื่อครั้งอดีต อันเป็นอะไรที่น่าอเนจอนาถ น่าสมเพช เวทนาเป็นอย่างยิ่ง เลยอดไม่ได้ที่ต้องหยิบเอาเรื่องราวเหล่านี้ มาคั่นรายการ มาพูดจาว่ากล่าวกันในที่นี้...
คืออันที่จริงการตัดหัวพระราชินีและกษัตริย์ฝรั่งเศสเมื่อครั้งอดีต...ก็ใช่ว่าจะเป็นอะไรที่เก๋ ที่เท่ น่ายกย่อง สรรเสริญเยินยอใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แม้จะเรียกว่า “การปฏิวัติ” ก็เถอะ เพราะสุดท้ายแล้ว...ผู้ที่ตัดหัวกษัตริย์-พระราชินี ก็หนีไม่พ้นต้องหันมา “ตัดหัวกันเอง” ไม่ว่าบรรดาพวกผู้นำการปฏิวัติทั้งหลาย อย่าง “โรเบสปิแอร์” (Maximilien Robespierre) “มาราต์” (Jean-Paul Marat) “ดังตอง” (Georges Dunton) ฯลฯ ต่างตายโหง-ตายห่าในแบบ “กรรมติดจรวด” ไปด้วยกันทั้งสิ้น และสิ่งที่เรียกว่า “เสรีภาพ-เสมอภาค-ภารดรภาพ” ที่บรรดานักปฏิวัติเพรียกหา ก็ไม่ได้อุบัติขึ้นมาอย่างเป็นจริง-เป็นจังเอาเลยแม้แต่น้อย แต่กลับก่อให้เกิดช่วงเวลาแห่งความน่าสยดสยอง น่าขนลุกขนพอง ทุกสิ่งทุกอย่างเละเป็นขี้-เละเป็นโจ๊ก จนสุดท้ายเลยต้องกลับไปเป็น “เผด็จการ” ถูกทหารปืนใหญ่อย่าง “Napoleon Bonaparte” ลากปืนใหญ่มายิงใส่รัฐสภาก่อนตั้งตัวเป็นจอมจักรพรรดิกลับไปสู่ระบอบกษัตริย์ตามเดิม...
หลังจากนั้นมาก็เละมาโดยตลอด...สลับสับเปลี่ยนระหว่างความเป็นเผด็จการกับประชาธิปไตยมาไม่รู้จะกี่ต่อกี่ร้อยปีต้องหันมาฆ่าฟันระหว่างชาวฝรั่งเศสด้วยกันเอง ชนิดแม้แต่ผู้ที่ท่องบ่นคำว่า “เสรีภาพ-เสมอภาค-ภารดรภาพ” ระดับแทบจะวันละ 3 เวลาหลังอาหาร อย่างพวกที่เรียกตัวเองว่า “คอมมูนปารีส” ที่ได้ประดิษฐ์คิดค้น เนื้อร้อง-ทำนองเพลงชาติฝรั่งเศสร้องกันไป-ร้องกันมาจนทุกวันนี้ (L’internationale) สุดท้าย...ยังต้องถูกนักการเมืองฝรั่งเศสที่มาจากการเลือกตั้งแท้ๆ อย่าง “นายAdolphe Thiers” สั่งทหารฝรั่งเศสแห่งรัฐบาลแวร์ซายให้ “จงสั่งสอนบทเรียนต่อพวกกบฏ” ส่งผลให้การไล่ปราบ ไล่ฆ่าครั้งนั้น หนักหนา-สาหัสยิ่งกว่าการเล่นงานพวก “เสื้อเหลือง-เสื้อแดง” ในบ้านเราไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า คือตายไปประมาณ 30,000-50,000 คน ถูกจับกุม 40,000 ประมาณ 10,000 คน ถ้าหากไม่ถูกลากไปประหาร ก็ต้องถูกเนรเทศไปอยู่ที่ “เกาะปิศาจ” หรือเกาะนิวแคลิโดเนีย โน่นเลย...
และแม้จะเป็น “ประชาธิปไตยแบบฝรั่งเศส” ในทุกวันนี้ ก็ใช่ว่าจะทำให้ “เสรีภาพ-เสมอภาค-ภารดรภาพ” เป็นจริง-เป็นจังขึ้นมาแต่อย่างใด การไล่ทุบ ไล่ตี ไล่กระทืบระหว่างผู้ประท้วงชาวฝรั่งเศสกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนับแต่หลังช่วงสถานการณ์ “COVID-19” เป็นต้นมา ก็ยังคงไม่เลิกราเอาง่ายๆ จนตราบเท่าทุกวันนี้ สิ่งที่เรียกว่า “เสรีภาพ” ซึ่ง “นายTomas Jolly” ผู้อำนวยการงานแสดงพิธีเปิดคราวนี้ระบุว่าเป็น “คุณค่าและหลักการ” เอาเข้าจริงๆ แล้ว...ก็น่าจะเป็นเสรีภาพแบบที่นักปรัชญาชาวไอริชยุคอดีต อย่าง “นายEdmund Burke” เคยสรุปไว้ด้วยคำพูดที่ว่า “What is liberty without wisdom and without virtue? It is the greatest of all possible evils.” หรือเสรีภาพที่ปราศจาก “ปัญญา” และ “คุณธรรม” ย่อมไม่ต่างอะไรไปจากความชั่วที่ร้ายกาจที่สุด นั่นเอง...
เพราะด้วยเสรีภาพทำนองนี้นี่แหละ...ที่เคยทำให้สื่อฯฝรั่งเศสอย่างนิตยสาร “Charlie Hebdo” (Charlie weekly) ไม่คิดจะสนใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น ไม่ได้เข้าใจความเคารพ-ศรัทธาของใครต่อใครเอาเลยแม้แต่น้อย จึงถูกผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามในฝรั่งเศสลากปืนอาก้า ลูกซอง ไปจนจรวดอาร์พีจีบุกไปถล่มถึงกองบรรณาธิการชนิดตายไป 12 บาดเจ็บ 11 เมื่อช่วงเกือบสิบปีที่แล้ว (7 ม.ค. 2015) ด้วยเหตุเพราะการนำเสนอภาพการ์ตูนที่เยาะเย้ยและเสียดสี “ศาสดามูฮัมหมัด” มาคราวนี้...นอกจากจะนำเสนอภาพอดีตพระราชินีฝรั่งเศสหิ้วหัวตัวเอง อันเป็นอะไรที่ “สะใจซาดิสต์” ของพวกก้าวหน้าก้าวไกลในบ้านเราเท่านั้น ฉากบางฉากในพิธีเปิดโอลิมปิก ยังได้นำเสนอภาพพวกโฮโมเซ็กชวล ทรานเซ็กชวล ที่นั่งเรียงรายอยู่หน้าโต๊ะอาหาร แบบเดียวกับภาพ “The Last Supper” ของ “Leonardo Da Vinci” แถมนักเต้นผู้ชายที่อยู่ด้านหลังยัง “โชว์ไข่” ให้เห็นอีกซะนี่ อันเป็นสิ่งที่ประชุม “Bishop” ในฝรั่งเศสถึงกับอดรนทนไม่ไหวต้องออกมาประณามว่าการใช้แนวคิดของพวก “LGBTQ” มาเป็นตัวเยาะเย้ย เสียดสี หมิ่นแคลน “ศาสนาคริสต์” เช่นนี้ ส่งผลให้...“ปวงประดาชาวคริสต์ทั้งมวลทั่วทุกทวีปต่างได้รับความเจ็บปวดจากการโอ้อวด และปลุกปั่นต่อฉากการแสดงพิธีเปิดโอลิมปิกคราวนี้” หรือกระทั่งรองนายกรัฐมนตรีอิตาลี “นายMatteo Salvini” ถึงกับต้องสรุปว่า “พิธีเปิดโอลิมปิกด้วยการดูหมิ่นบรรดาคริสเตียนนับพันล้านตลอดทั่วทั้งโลก...คือการเริ่มต้นที่เลวร้ายเอามากๆ ของประเทศฝรั่งเศส...”
การยกย่อง สรรเสริญ เยินยอ อันเนื่องมาจากความ “สะใจซาดิสต์” ของพวกก้าวหน้า-ก้าวไกลในบ้านเรา จึงเป็นอะไรที่น่าอเนจอนาถ น่าสมเพชเวทนาเอามากๆเพราะด้วยความหยาบ ความถ่อยของพวกเศษฝรั่ง ฝรั่งเศสนี่แหละ ที่เคยกระทำย่ำยีต่อประเทศไทย แผ่นดินไทย เมื่อครั้งอดีต ด้วยการลากเรือปืนมาปิดอ่าวไทย หรือยึดบ้าน-ยึดเมืองยึดดินแดนบางส่วน ที่ไม่เพียงแต่น่าจะก่อให้เกิดความเข้าใจเห็นอก-เห็นใจต่อผู้ซึ่งดำรงสถานะเป็น “พระมหากษัตริย์” ในประเทศไทย ประเทศสยาม อย่าง “ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕” ที่ถึงกับกินไม่ได้-นอนไม่หลับ ทุกข์ระทมขมขื่น เช่นเดียวกับผู้ที่รักบ้าน-รักเมืองทั้งหลาย แต่ยังควรที่จะก่อให้เกิดความชื่นชม เคารพศรัทธาต่อความอดทน อดกลั้น ความสุขุม รอบคอบ หรือกระทั่ง “ความกตัญญู-รู้คุณ” ที่องค์พระมหากษัตริย์ ท่านได้อาศัยกุศโลบายอันประณีตละเอียดอ่อน ประคับประคองประเทศไทยให้รอดพ้นไปจากปากเหยี่ยว-ปากกา จากอังกฤษและฝรั่งเศส ที่หวังจะฮุบผืนแผ่นดินไทยไปด้วยกันทั้งนั้น...
ดังนั้น....แม้สิ่งที่เรียกว่า “เสรีภาพ” จะเป็นอะไรที่ดูสูงส่งวิเศษวิเสโสเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าไร้เสียซึ่ง “ปัญญา” และ “คุณธรรม” การดาหน้าออกมายกย่อง เชิดชู บูชาแบบหน้ามืด-ตามัวต่อสิ่งเหล่านี้ ย่อมมีแต่จะนำมาซึ่งความ “ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย” ลูกเดียวเท่านั้นเอง เพราะขนาดนักประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา ประชากรศาสตร์ ที่เป็นชาวฝรั่งเศสด้วยกันเอง อย่าง “นายEmmanuel Todd” ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “La Defaite de L’ Occident” หรือ “The Defeat of the West” ก็เคยสรุปเอาไว้เมื่อไม่นานมานี้นั่นแหละว่า สิ่งที่เป็นตัวทำลาย “หัวใจแห่งโลกตะวันตก” อันเคยมีแนวคิดที่เรียกว่า “Protestantism” เป็นหลักยึด ก็คือสิ่งที่เรียกว่า “เสรีภาพ” แบบชนิด “ไร้ปัญญา” และ “ไร้คุณธรรม” นั่นเอง ที่ทำให้โลกตะวันตก หรือโลกของพวกฝรั่งไม่ว่าจะอเมริกาหรือยุโรป จึงค่อยๆ ลาดเอียงจากช่วงความกระตือรือร้น (Active Stage) มาสู่ช่วงแห่งความตายซาก (Zombi Stage) โดยกำลังจะก้าวเข้าสู่ช่วงแห่งความสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง (Stage Zero) หรือกำลังดำเนินไปในแบบ “From Zombie to Zero” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
โดยเฉพาะเสรีภาพของพวก “LGBTQ” ที่มีลักษณะออกไปทางสุดโต่ง สุดกู่ ยิ่งเป็นอะไรที่นักเขียนฝรั่งเศสรายนี้ถึงกับสรุปเอาไว้ว่าอาจถือเป็น “เครื่องบ่งชี้ขั้นสุดท้าย” ของความสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ระดับแม้แต่ “ความจริง” ก็ยังอาจสูญสลายหายไปด้วย เช่นการเห็นดี-เห็นงามกับ “การสมรสของเพศเดียวกัน” ที่อาจเป็นตัวบิดเบน ทำลาย “อัตลักษณ์” ของผู้คน จนไม่หลงเหลือ “มาตรฐาน” ใดๆ ที่จะกำหนดได้อีกต่อไปว่าใครคือผู้หญิง? ใครคือผู้ชาย? หรือเป็นแนวคิดที่อาจถึงขั้นนำไปสู่ “การทำลายล้าง” (Nihilism) จนไม่เหลืออะไรให้สามารถยึดเหนี่ยวในสังคมอีกต่อไปเพราะกระทั่ง “พระเยซูคริสต์” อันเป็นที่ยึดมั่นยึดเหนี่ยวของบรรดาชาวคริสต์นับเป็นพันล้าน ยังดันถูกนำมาเยาะเย้ย เสียดสี ถูกทำให้กลายเป็นพวกโฮโมเซ็กชวล ทรานเซ็กชวล ไปจนได้!!!
สรุปเอาเป็นว่า...ด้วยเหตุเพราะเสรีภาพที่ไร้ “ปัญญา” และ “คุณธรรม” นั่นเอง ที่กำลังทำให้สังคมตะวันตก โลกตะวันตก อารยธรรมตะวันตก หรือแม้กระทั่ง “ประชาธิปไตยตะวันตก” กำลังก้าวเข้าสู่จุดเสื่อม หรือกำลังพ่ายแพ้ อย่างที่ “นายEmmanuel Todd” ผู้เคยทำนายถึงการล่มสลายของสหภาพโซเวียตขณะที่มีอายุ-อานามเพียงแค่ 25 ปี ได้เขียนหนังสือซึ่งเพิ่งได้รับการตีพิมพ์ เผยแพร่ เมื่อไม่นานมานี้กล้า “ฟันธง” เอาไว้ล่วงหน้า ดังนั้น...ไม่ว่าใครก็ตามที่เพียงแค่เพราะความ “สะใจ” กับฉาก “ตัดหัว” อดีตพระราชินีฝรั่งเศส จนต้องออกมาสรรเสริญเยินยอ เชิดชู บูชาฝรั่ง ระดับถือเป็นซอฟต์เพาว่ง เพาเวอร์ โดยไม่ได้สนใจต่อ “ความจริง” ใดๆ ไม่ว่าในสังคมฝรั่งเศส หรือสังคมไทยของหมู่เฮาทั้งหลาย จึงเป็นอะไรที่ออกจะน่าสมเพช น่าอเนจอนาถ เวทนาเสียเหลือเกิน ไม่ได้ออกไปทางก้าวหน้า-ก้าวไกลอะไรเอาเลยแม้แต่น้อย แต่ออกอาการในลักษณะไม่ต่างไปจากที่อภิมหานักเศรษฐศาสตร์ “ดร.ณรงค์ เพชรประเสริฐ” ท่านใช้คำเรียกขานว่าพวก “ทัศนะทาส” หรือพวก “Colonial Mentality” อะไรประมาณนั้น...