เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตไปว่ากันเรื่อง “สงครามและสันติภาพ”ไว้อีกสักเล็กๆ น้อยๆ แม้ไม่ใช่ประเด็นที่ก่อให้เกิดความซี้ดๆ ซ้าดๆ ความเมามันซ์ซ์ซ์มากมายสักเท่าไหร่ แต่ต้องถือเป็นเรื่องชี้เป็น-ชี้ตาย เป็นเรื่องที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางความเป็นไปของโลกทั้งโลกใน “ภาพรวม” ว่าจะออกหัว-ออกก้อย-ออกกลาง หรือออกไปในแนวไหนกันแน่ จะฉิบหาย-วายวอด หรือพอ “อยู่ๆ กันไปได้” อันเป็นสิ่งสำคัญเอามากๆ ต่อฉากสถานการณ์แห่งอนาคตเบื้องหน้า...
คือเอาเป็นว่า...ไม่ว่าใครจะมีทัศนะต่อประเทศมหาอำนาจรายใหม่ หรือ “มหาอำนาจคู่แข่ง” ของคุณพ่ออเมริกาอย่างคุณพี่จีนและคุณน้ารัสเซียไปในแนวไหนต่อแนวไหน จะเลือกเป็น “ติ่งจีน” “ติ่งรัสเซีย”หรือ “ติ่งอเมริกา”ก็ตามที แต่คงต้องยอมรับนั่นแหละว่า โดยบทบาทและท่าทีต่อการริเริ่ม การมีส่วนรวม เพื่อให้ได้มาซึ่ง “สันติภาพ” ของทั้งสองประเทศนี้ ย่อมเป็นอะไรที่ “มิอาจปฏิเสธได้” โดยเด็ดขาด ดังเห็นได้ชัดเจนจากฉากสถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ที่เต็มไปด้วยความร้อนแรงแห่งการรบรา ฆ่าฟัน ชนิดฉิบหาย-วายวอดมาโดยตลอด โดยเฉพาะนับตั้งแต่บรรดาประเทศอดีตเจ้าอาณานิคมหรือบรรดาประเทศตะวันตกทั้งหลาย ได้เข้าไปขีด “เส้นแบ่ง” ให้เกิดความเป็นประเทศในแต่ละประเทศ ตามแบบแผนนโยบายอันสุดแสนคลาสสิก ที่เรียกๆ กันว่า “Divide and Rule”หรือ “Divide and Conquer”ประเภทแบ่งแยกแล้วปกครอง หรือแบ่งแยกแล้วครอบครอง...อะไรทำนองนั้น...
แต่ด้วยความช่วยเหลือของรัสเซีย...อันเนื่องมาจากการได้รับการร้องขอจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของซีเรีย หรือรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดี “Bashar al-Assad” ที่กำลังต้องเผชิญกับ “สงครามกลางเมือง” ซึ่งเริ่มต้นขึ้นมาในช่วงเหตุการณ์ “อาหรับ สปริง”ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011 โดยมีบรรดาประเทศตะวันตกและคุณพ่ออเมริกา ประเทศโลกอาหรับรวมทั้งพวก “ผู้ก่อการร้าย” รุมกินโต๊ะ รุมสหบาทารัฐบาลซีเรียชนิดไปแหล่-มิไปแหล่ นอกจากกองทัพรัสเซียและพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ของซีเรียอย่างอิหร่าน จะช่วยกอบกู้ ฟื้นฟูสถานะของซีเรียให้กลับคืนมาสู่ความสงบสันติได้อีกครั้ง ยังช่วยให้บรรดา “ข้อขัดแย้ง”ต่างๆ ที่ประเทศซีเรียกับบรรดาประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง ที่เคยดำรงคงอยู่มานานแสนนาน ค่อยๆ “หายเกลี้ยง” ไปตามลำดับ บรรดาประเทศที่เคยร่วมรุมกินโต๊ะซีเรีย ไม่ว่าซาอุดีอาระเบีย กลุ่มประเทศอ่าวฯ ไปจนถึงตุรกี-ตุรเคีย ต่างกลับหันมาญาติดีกับรัฐบาลซีเรียไปเป็นประเทศๆ การสถาปนาสัมพันธภาพโดยปกติระหว่างซีเรียกับยูเออี กาตาร์ อียิปต์ ซาอุฯ ไปจนการกลับไปเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งส่วนเดียวกับกลุ่มประเทศสันนิบาตอาหรับ หรือ “Arab Leage” อีกครั้ง ได้ก่อให้เกิดบรรยากาศ “สันติภาพ” แผ่ซ่านไปในภูมิภาคแห่งนี้ อย่างน่าทึ่ง น่าประทับใจเอามากๆ...
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความขัดแย้งกับตุรเคีย ที่ยาวนานนับตั้งแต่ประเทศเจ้าอาณานิคมตะวันตกได้ขีด “เส้นแบ่ง” จนก่อให้เกิด “ปัญหา” ระหว่างสองประเทศที่ยากจะแก้ไข เยียวยา ได้ง่ายๆ ไม่ว่าปัญหาเขตแดน ปัญหาชนกลุ่มน้อย ไปจนความผิดแผก แตกต่างในทางศาสนาเอาเลยด้วยซ้ำ แต่ด้วยความเพียรพยายามของรัสเซีย ที่ต่างเป็นมิตรประเทศกับซีเรีย-ตุรเคีย ด้วยกันทั้งคู่ การอาศัยเวทีประชุมต่างๆ ไม่ว่าเวทีประชุม “SCO” หรือการพบปะ 4 ฝ่ายระหว่างรัสเซีย-อิหร่าน-ตุรเคีย และซีเรีย ที่ประเทศรัสเซียเอง ค่อยๆ ตะล่อม ค่อยๆ เจรจา จนสุดท้าย...ข้อขัดแย้งระหว่างสองประเทศก็ค่อยๆ คลี่คลาย จนทำให้เมื่อช่วงวันที่ 15 ก.ค.ที่เพิ่งผ่านมา ผู้นำตุรเคีย ประธานาธิบดี “Recep Tayyip Erdogan” ได้ออกมาป่าวประกาศแบบเสียงดัง-ฟังชัด ว่านอกจากตุรเคียจะตัดสินใจ “ถอนทหาร” ออกจากพรมแดนด้านเหนือของซีเรียแล้ว ยังจะยุติหรือเลิกให้การสนับสนุนกองกำลังอาวุธที่รัฐบาลซีเรียเคยเรียกขานในนาม “ผู้ก่อการร้าย” แบบโดยสิ้นเชิง...
ภาพของการเดินทางไปพบปะหารือ ระหว่างผู้นำซีเรียกับผู้นำรัสเซีย เมื่อช่วงวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา มันเลยเป็นภาพที่ก่อให้เกิดความชื่นมื่น ชื่นสะดือ สะท้อนให้เห็นถึงความสงบ ความมีสันติ อันเป็นสิ่งพึงปรารถนาของใครก็ตามในโลกใบนี้ ไม่ต่างไปจากภาพเวทีประชุมเพื่อลงนามข้อตกลงของกลุ่มชาวปาเลสไตน์จำนวนถึง 14 กลุ่มด้วยกัน เพื่อ “ยุติการแบ่งแยกและมุ่งหน้าสู่ความเป็นเอกภาพ” ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ระหว่างวันที่ 21-23 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยมีตัวแทนประเทศต่างๆ ไม่ว่าอียิปต์ แอลจีเรีย ซาอุฯ กาตาร์ จอร์แดน ซีเรีย เลบานอน รัสเซีย และตุรเคีย ฯลฯ เข้าร่วมด้วย และก่อให้เกิดผลสรุปที่น่าสนใจเอามากๆ นั่นก็คือ...ได้ทำให้บรรดาความผิดแผก แตกต่าง ในแนวทางแห่งการปลดปล่อยปาเลสไตน์ของบรรดาชาวปาเลสไตน์กลุ่มต่างๆ ที่เคยมีมาอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน ถูกหลอมรวมให้เป็นอันหนึ่ง-อันเดียวกัน ภายใต้การยอมรับให้องค์กร “PLO” (The Palestine Liberation Organization) เป็นตัวแทนที่มีความชอบธรรมเพียงหนึ่งเดียว...
อันเป็นข้อตกลงที่ผู้นำตัวแทนนักรบฮามาสอย่าง “Musa Abu Marzouk” ถึงกับสรุปว่า “เป็นข้อตกลงแห่งประวัติศาสตร์” เอาเลยถึงขั้นนั้น เพราะจะนำไปสู่บันได 3 ขั้นในลำดับต่อไป คือการยุติการสู้รบในเขตฉนวนกาซาและเปิดทางให้กับการช่วยเหลือทางมนุษยธรรม การส่งเสริมการปกครองในดินแดนปาเลสไตน์ทั้งมวลให้เป็นไปตามหลักการ “ชาวปาเลสไตน์คือผู้ปกครองดินแดนปาเลสไตน์” ไปจนการผลักดันให้ปาเลสไตน์ได้เข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ เป็นรัฐเอกราชตามแนวทาง “The Two-state Solution” โดยมีกรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวง ตามมติของยูเอ็น...
และอย่างที่รู้ๆ กันไปแล้วนั่นแหละว่า...ไม่เพียงแต่การริเริ่มสร้างสรรค์ของคุณพี่จีนในการสร้างความกลมกลืนให้กับบรรดาชาวปาเลสไตน์ถึง 14 กลุ่มด้วยกัน หันมาลบข้อขัดแย้ง อันก่อให้ความผิดแผกแตกต่างระหว่างกันและกันได้โดยสิ้นเชิง การจูงมือผู้ที่เคยเป็นเสมือนหนึ่งคู่กัด-คู่อาฆาตในตะวันออกกลาง อย่างพี่เบิ้มซาอุดีอาระเบียและอิหร่าน ให้หันมาจูบปากกันจนได้ ย่อมต้องถือเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ความเพียรพยายามเพื่อ “สันติภาพ” อย่างมิอาจปฏิเสธได้โดยเด็ดขาด โดยไม่ว่า 2 มหาอำนาจคู่แข่งของคุณพ่ออเมริกาจะปรารถนา-ต้องการสิ่งใดๆ ก็ตามที แต่สิ่งที่จะอุบัติตามมานับจากนี้ก็คือความสงบ สันติ ความร่วมไม้-ร่วมมือ การลด-ละ-เลิกความโกรธ เกลียด เคียดแค้น อาฆาตพยาบาทระหว่างกันและกัน อันเป็นสิ่งที่ชาวโลกทั้งหลายพึงปรารถนาไปด้วยกันทั้งสิ้น...
แต่ท่ามกลางบรรยากาศทำนองนี้นี่เอง...ในการเดินทางไปเยือนอเมริกาของ “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” ของคุณพ่ออเมริกาและบรรดาพวก “พรมเช็ดเท้า” ในยุโรปอย่างอิสราเอล ผู้นำชาวยิวอย่าง “นายBenjamin Netanyahu” ได้พยายามนำเสนอข้อเสนอบางประการ ที่เป็นไปในทางตรงกันข้ามกับบรรยากาศดังกล่าวแบบชนิดพลิกหน้ามือเป็นหลังตีน นั่นคือได้เสนอให้องค์กรพันธมิตรทางทหารอย่าง “NATO” ที่มีคุณพ่ออเมริกาเป็นผู้นำ ขยายบทบาท อิทธิพล เข้าไปในภูมิภาคตะวันออกกลาง หรือให้จัดตั้ง “NATO แห่งตะวันออกกลาง” ไม่ว่าจะในนาม “พันธมิตรอับราฮัม” (Abraham Alliance) หรืออะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ เพื่อหาทางเล่นงานประเทศศัตรู-คู่กัดของทั้งอเมริกาและอิสราเอล นั่นก็คืออิหร่าน ให้ย่อยยับ ดับสูญ หรือให้ “ลบประเทศอิหร่านออกจากแผนที่” ดังที่ผู้คิดจะช่วงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกาปลายปีนี้ อย่าง “ทรัมป์บ้า” ถึงกับออกมาขู่คำรามทำนองนี้ หลังจากได้พบปะ เจอะเจอ กับผู้นำอิสราเอล ไปเมื่อวัน-สองวันมานี้...
โดยไม่ว่าข้อเสนอของ “นายNetanyahu” จะเป็นไปได้-เป็นไปไม่ได้ หรือไม่? อย่างไร? ก็ตามที แต่ก็น่าจะถือเป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจต่อจุดยืน-ทัศนะ-และวิธีการขององค์กรพันธมิตรทางทหารอย่าง “NATO” ได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือความกระหายใคร่อยากใน “อำนาจ” โดยอาศัย “สงคราม” นั่นแหละเป็นเครื่องมือ ไม่ว่านับตั้งแต่การละเมิดคำมั่นสัญญา ที่เคยให้ไว้กับผู้นำโซเวียตรัสเซีย ว่าไม่คิดจะ “ขยาย” บทบาทเข้าไปในประเทศยุโรปตะวันออก ที่เคยเป็นพันธมิตรกับรัสเซียในช่วงยุคสงครามเย็น (WARSAW) แต่สุดท้าย...ก็โผล่เข้าไปติดตั้งจรวด เข้าไปขยายขอบเขตอิทธิพลจ่อหน้าปากประตูบ้านของรัสเซียจนได้ หรือกระทั่งเข้าไปยุแยงตะแคงรั่ว ให้ชาวสลาฟในยูเครนเข่นฆ่ากับชาวสลาฟในรัสเซีย ชนิดหาข้อยุติไม่เจอจนบัดนี้ หรือการที่อดีตนายกรัฐมนตรี (2 เดือน) ของอังกฤษ “นางLiz Truss” ที่หวังจะได้รับแรงสนับสนุนจากตะวันตก ถึงกับป่าวประกาศว่าอยากจะเห็น “NATO แห่งโลก” เอาเลยถึงขั้นนั้น ไปจนการแสดงความภูมิอก-ภูมิใจของเลขาธิการ “NATO” คราวล่าสุด ที่สามารถเกลี้ยกล่อมให้บรรดาชาติสมาชิกในองค์กรเหล่านี้ ร่วมออกแถลงการณ์ “ประณามจีน” อันจะนำไปสู่การขยายอิทธิพลของ “NATO” ไปยังภูมิภาคเอเชียภายในอนาคตเบื้องหน้า ไม่ว่าจะโดยอาศัยพันธมิตรประเภทเดียวกับ “พันธมิตรอับราฮัม” อย่าง “QUAD” หรือ “AUKUS” ก็ตามที....
ความผิดแผกแตกต่างกันในระดับรากฐาน ไม่ว่าในแง่จุดยืน-ทัศนะ-และวิธีการ ระหว่าง “มหาอำนาจสูงสุด” อย่างอเมริกาและบรรดาพันธมิตร “พรมเช็ดเท้า” ทั้งหลาย กับ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างจีนและรัสเซีย ว่าไปแล้ว...ก็เลยหนีไม่พ้นไปจากความแตกต่างระหว่างผู้ที่ใฝ่หา “สงคราม” อันจะนำมาซึ่งความสูญเสีย ความเศร้าโศรก ทุกข์ระทมให้กับผู้คนทั้งหลาย กับผู้ที่แสวงหาและปรารถนาจะได้มาซึ่ง “สันติภาพ” อันเป็นตัวนำมาซึ่งความร่วมไม้-ร่วมมือ การประนีประนอมยอมความ ความเข้าอก-เข้าใจ เห็นอก-เห็นใจซึ่งกันและกัน นั่นเอง ด้วยเหตุนี้...บรรดาชาติเล็ก-ชาติน้อย หรือบรรดาประเทศ “หญ้าแพรก” ทั้งหลาย จึงน่าจะตัดสินใจได้ไม่ยากว่า อะไรที่ถูกต้อง-ไม่ถูกต้อง อะไรที่ควรสนับสนุน ส่งเสริม อะไรควรปฏิเสธ คัดค้าน ต่อบทบาท ท่าที ของมหาอำนาจฝ่ายหนึ่ง-ฝ่ายใด??? มันถึงจะเป็นประโยชน์กับตัวเองและโลกทั้งโลกได้อย่างจริงๆ-จังๆ...