xs
xsm
sm
md
lg

โต้ ศ.ดร.สุรพลกรณีพรรคก้าวไกล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ



ดูเหมือนหัวใจหลักของ ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ นักกฎหมายมหาชนคนดังจะบอกว่า การกระทำหรือการแสดงความคิดเห็นที่จะนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองนั้น ต้องไม่เพียงแค่เป็นเพียงความคิดเห็นที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน แต่การกระทำหรือการแสดงความคิดเห็นนั้นจะต้องมีองค์ประกอบของการใช้ความรุนแรงนอกกรอบของรัฐธรรมนูญอยู่ การเรียกร้องความเปลี่ยนแปลงตามวิธีทางรัฐธรรมนูญโดยสันติวิธี ย่อมไม่เพียงพอที่จะเป็นเหตุแห่งการยุบพรรคการเมือง

หรือมีการแสดงออกมาผ่านการกระทำ แผนงาน หรือคำปราศรัยที่ชัดแจ้งว่า ต้องการเปลี่ยนแปลงอุดมการณ์พื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยความรุนแรง เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยไม่เป็นไปตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญ 

อาจารย์สุรพลย้ำหลายครั้งโดยเน้นว่าต้อง “กระทำด้วยความรุนแรง” และเน้นย้ำในบางตอนว่า “ใช้กำลังบังคับ”

ดูเหมือนว่า “ความรุนแรง” ในความหมายของอาจารย์สุรพลนั้น จะหมายถึงการใช้กำลังเป็นความรุนแรงทางกายภาพ ทั้งที่การใช้ความรุนแรงนั้นอาจหมายถึงข้อเรียกร้องที่ต้องการให้เปลี่ยนแปลงระบอบ รูปแบบ และอุดมการณ์ของรัฐไปเป็นอย่างอื่น แม้จะไม่ใช่ความรุนแรงทางกายภาพก็ได้

อาจารย์สุรพลบอกว่า กรณีการเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้นมิได้เป็นการใช้กำลังบังคับหรือเป็นการกระทำโดยใช้ความรุนแรงเพื่อให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขสิ้นสุดลง หรือเป็นการกระทำที่ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญเพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไปเป็นระบอบการปกครองแบบอื่นแต่ประการใด

เห็นไหมว่า ความหมายของคำว่า “ความรุนแรง” ของอาจารย์สุรพลนั้น มุ่งเน้นไปที่ความรุนแรงทางกายภาพ เห็นไหมพรรคก้าวไกลเขาเพียงแต่ยื่นให้แก้ไขมาตรา 112 ซึ่งเป็นเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ

แต่เมื่อพิจารณาร่างแก้ไขมาตรา 112 ที่พวกเขาพยายามยื่นเข้าสภาฯ หลายครั้งกลับพบว่า แท้จริงแล้วพวกเขาต้องการยกเลิกมาตรา 112 ในปัจจุบันนั่นเอง แม้ว่าพวกเขาจะเขียนมาตราคุ้มครองประมุขของรัฐหรือพระมหากษัตริย์ขึ้นมาใหม่ก็ไม่ต่างอะไรกับการยกเลิกเลย

เพราะบทบัญญัติที่เขาเขียนขึ้นใหม่นั้นพระมหากษัตริย์จะได้รับความคุ้มครองไม่ต่างกับกฎหมายหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาในปัจจุบัน กฎหมายที่พวกเขาจะเขียนขึ้นใหม่ระบุว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

และจะเอาออกจากหมวดความมั่นคง หากพระมหากษัตริย์ถูกดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ก็จะเป็นคู่กรณีกับผู้กระทำผิดโดยตรง โดยให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษแทน

โดยศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า การที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล เสนอเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง เป็นการใช้นโยบายทางการเมืองโดยนำสถาบันฯ ลงมาเพื่อหวังผลในการได้คะแนนเสียงและประโยชน์ในการชนะการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นผลทำให้สถาบันฯ ตกเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน จึงถือว่ามีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายที่อาจนำไปสู่การล้มล้างการปกครองฯ ได้ในที่สุด

อาจารย์สุรพลพยายามจะอ้างว่า การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือการแก้ไขบทบัญญัติที่มีลักษณะเดียวกันในอดีตนั้น ก็ปรากฏมาอยู่โดยตลอด เช่น ข้อเสนอคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ซึ่งได้รับการตั้งขึ้นโดยคณะรัฐมนตรี มีศ.ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธานกรรมการ ที่เสนอให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากเดิม

แต่เมื่อพิจารณาแล้วก็เสนอแก้ไขมาตรา 112 ของศ.ดร.คณิตนั้นไม่ได้เปลี่ยนโครงสร้างสำคัญของมาตรา 112 แตกต่างกับที่พรรคก้าวไกลต้องการยกเลิกมาตรา 112 และไปเขียนมาตราใหม่ออกจากหมวดความมั่นคง ซึ่งการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญได้อธิบายไว้อย่างชัดแจ้งแล้ว และอาจารย์สุรพลก็น่าจะทราบดีว่าข้อเสนอของ ศ.ดร.คณิตกับของพรรคก้าวไกลนั้นแทบต่างกันมากจนไม่อาจจะยกมาเปรียบเทียบกันได้ แต่ดูเหมือนอาจารย์แกล้งจะละเลยสิ่งนี้ไป

อาจารย์สุรพลอ้างว่า พรรคการเมืองเป็นองค์กรที่มีสถานะเป็นตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างประชาชนกับรัฐ ช่วยรวบรวมความปรารถนาที่หลากหลายของประชาชนเข้าด้วยกัน แล้วนำเสนอออกมาเป็นนโยบายของพรรคการเมือง โดยกระบวนการรวบรวมความคิดเห็นของประชาชนจนนำมาสู่ข้อเสนอในทางนโยบายของพรรคการเมืองนี้มีจุดหมายเพื่อดึงดูดแรงสนับสนุนจากประชาชนให้กว้างขวางที่สุด นอกจากนี้พรรคการเมืองยังเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มบุคคลที่ต้องการแสดงออกในทางการเมือง และประสงค์ที่ต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมในการผลักดันนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก แสดงให้เห็นว่าการรวมตัวกันเป็นพรรคการเมืองของประชาชนนั้น เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ ได้แก่ สิทธิในการรวมกลุ่มกันทางการเมือง และสิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเอง ดังนั้น มาตรการยุบพรรคการเมือง จึงถือเป็นการกระทำที่กระทบสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของพลเมือง

ด้วยเหตุผลดังกล่าว มาตรการยุบพรรคการเมืองหากจะมีขึ้นจึงจะต้องอยู่ภายใต้หลักการสากล กล่าวคือการยุบพรรคการเมืองต้องเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ดูเหมือนอาจารย์สุรพลจะอ้างแต่สิทธิตะพึดตะพือ พลเมืองจะใช้สิทธิอย่างไรก็ได้ เหมือนมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญไม่ได้มีอยู่

ความหมายของพรรคการเมืองที่อาจารย์สุรพลหยิบยกมานั้นเป็นความหมายเชิงอุดมคติ แต่สภาพพรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นแท้จริงนั้นเป็นเพียงอุดมการณ์ของผู้ก่อตั้งเท่านั้น และชัดเจนว่าอุดมการณ์ความคิดของผู้ก่อตั้งพรรคก้าวไกลที่มีที่มาจากพรรคอนาคตใหม่นั้น ถูกครอบงำความคิดด้วยแนวคิดปฏิกษัตริย์นิยมซึ่งมีทัศนคติที่ตรงกันข้ามกับรูปแบบและอุดมการณ์ของรัฐ ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญย่อมจะต้องมีหน้าที่จะต้องปกป้องรูปแบบและอุดมการณ์ของรัฐ หากพบว่าพรรคการเมืองไหนมีแนวคิดที่ขัดแย้งต่อรูปแบบและอุดมการณ์ของรัฐ

ไม่ใช่เพราะเหตุผลที่อาจารย์สุรพลพยายามจะบอกว่า ต้องไม่เพียงแค่เป็นเพียงความคิดเห็นที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน แต่การกระทำหรือการแสดงความคิดเห็นนั้นจะต้องมีองค์ประกอบของการใช้ความรุนแรงนอกกรอบของรัฐธรรมนูญ แต่ส่วนตัวผมคิดว่า หากพรรคการเมืองมีความคิดเห็นที่เป็นปฏิปักษ์กับรูปแบบและอุดมการณ์ของรัฐก็มีความผิดรุนแรงแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงทางกายภาพเลย

ผมไม่ได้โต้แย้งกับความคิดของอาจารย์สุรพลทุกประเด็นเพราะข้อจำกัดในพื้นที่ แต่จากที่ผมยกมาก็เห็นแล้วว่า ความคิดของอาจารย์สุรพลนั้นไม่ได้ตั้งอยู่บนบรรทัดฐานและเจตนารมณ์ของกฎหมายของทุกรัฐที่ย่อมจะต้องปกป้องต่อระบอบ รูปแบบ และอุดมการณ์ของรัฐ เพียงแต่แสดงออกมาก็มีความผิดแล้ว ไม่ใช่ต้อง “ใช้ความรุนแรง” หรือ “ใช้กำลังบังคับ” อย่างที่อาจารย์สุรพลกล่าวอ้าง และชัดเจนว่า การเสนอความคิดนั้นเป็นความคิดของพรรคก้าวไกลทั้งพรรค ไม่ใช่การแสดงของสมาชิกบางคนไม่เกี่ยวข้องกับพรรค

ผมก็เห็นด้วยนะครับว่า การยุบพรรคก้าวไกลไม่ใช่ทางออกที่หยุดยั้งอุดมการณ์ของพรรคก้าวไกล และอาจทำให้ความคิดนี้ยิ่งเติบโตขึ้น แต่ถ้าเราใช้กฎหมายเป็นบรรทัดฐานในการปกครองประเทศ เมื่อมีพรรคการเมืองกระทำผิดถึงขั้นยุบพรรคก็ต้องยุบ ไม่ว่าจะส่งผลสะท้อนกลับอย่างไร
 
ติดตามผู้เขียนได้ที่
https://www.facebook.com/surawich.verawan



กำลังโหลดความคิดเห็น