xs
xsm
sm
md
lg

ความท้าทายต่อสถาบันกษัตริย์ และความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ

เพนกวิน พริษฐ์ ชีวารักษ์ หลบหนีคดี 112 ไปแล้ว รุ้ง ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล สารภาพผิดต่อศาลที่เธอขึ้นไปพูดถึงข้อเรียกร้อง 10 ข้อต่อสถาบันกษัตริย์บนเวทีที่ธรรมศาสตร์ รังสิต การกล่าวหาต่อพระมหากษัตริย์ขอเธอนั้นรุนแรงและเต็มไปด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ซึ่งเธอบอกว่ามีผู้ยื่นมาให้เธออ่านก่อนจะขึ้นเวที และเธอก็เห็นด้วยกับข้อความนั้น

จากนี้ก็รอดูว่าจะได้รับความเมมตาต่อศาลอย่างไร ก่อนหน้านี้ก็มีคนรุ่นใหม่ทยอยกันติดคุกเพราะมาตรา 112 รวมทั้งบางคนที่ศาลเมตตาให้รอลงอาญา ซึ่งรวมถึงคดีของเบนจา อาปัญที่ได้รอลงอาญาด้วย แต่คนหนุ่มสาวทั้งหมดก็มีคดีรวมกันกว่า 1,000คดี ซึ่งหากดูเนื้อหาของการกระทำผิดและการกล่าวหาต่อสถาบันกษัตริย์แล้วต้องบอกเลยว่า หลายคดีนั้นรอดยาก และดูเหมือนวันนี้ที่การเคลื่อนไหวของคนหนุ่มสาวที่เรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์นั้นเงียบไปเพราะรอคอยว่า พรรคก้าวไกลจะสามารถผลักดันให้พวกเขาได้รับการนิรโทษกรรม

เราคงจะยังจำกันได้ว่า การตื่นตัวออกมาบนถนนและเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ของคนหนุ่มสาว รวมถึงการกล่าวหาต่อสถาบันกษัตริย์ที่รุนแรงของรุ้งปนัสยา และคำพูดของมายด์ ภัทราวลี ธนกิจวิบูลย์พล หน้าสถานทูตเยอรมันประจำประเทศไทยนั้น เกิดขึ้นภายหลังการยุบพรรคอนาคตใหม่ของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และต่อมาการเคลื่อนไหวของคนหนุ่มสาวก็ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกพรรคที่เปลี่ยนไปเป็นพรรคก้าวไกลทั้งการร่วมชุมนุมและให้การช่วยเหลือในการประกันตัว รวมไปถึงการนำเอาไปพูดในที่ประชุมสภา เรียกได้ว่าทั้งพรรคและการเคลื่อนไหวของคนหนุ่มสาวเหล่านั้นเป็นกระบวนการเดียวกัน

แน่นอนผู้ใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังคนหนุ่มสาวและดันหลังให้พวกเขาออกมาข้างหน้าบนท้องถนนแล้วตัวเองแอบอยู่ด้านหลังนั้น มีทั้งคนที่เคยผิดหวังต่อการต่อสู้ในอดีตของคนหนุ่มสาวเดือนตุลา อาจารย์มหาวิทยาลัย และนักวิชาการจำนวนหนึ่งที่มีความคิดปฏิกษัตริย์นิยม พวกเขาเสี้ยมสอนให้คนรุ่นใหม่มีความคิดที่เป็นลบต่อสถาบันกษัตริย์ แต่ไม่กล้าออกมาเรียกร้องด้วยตัวเอง แม้บางครั้งพวกเขาจะพูดถึงสถาบันกษัตริย์ในห้องเรียนในวงวิชาการพวกเขาก็รู้ว่าจะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างไรเพื่อไม่ให้มีความผิดทางกฎหมายเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112 แต่คนรุ่นใหม่ที่ออกมาโจมตีสถาบันกษัตริย์นั้นล้วนใช้ถ้อยคำที่รุนแรง ด้วยข้อมูลที่เป็นเท็จ ไม่รู้ว่าการพูดแบบไหนที่จะสามารถหลบหลีกความผิดทางกฎหมายได้จึงทำให้ถูกดำเนินคดีจำนวนมาก

ความคิดที่จะท้าทายสถาบันกษัตริย์ของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจนั้นมีการเตรียมการเป็นอย่างดีตั้งแต่การปูพื้นทางความคิดของคนในสังคมด้วยการจัดตั้งสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันในการผลิตสื่อความคิดในเชิงปฏิกษัตริย์นิยมออกมา และวิพากษ์วิจารณ์การดำรงอยู่ของสถาบันกษัตริย์ร่วมกับ ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกลในปัจจุบัน และธนาพล อิ๋วสกุลที่เป็นคนดูแลเนื้อหาสื่อที่ผลิตออกสู่สังคม หนังสือหลายเล่มของพวกเขากลายเป็นคัมภีร์ของคนรุ่นใหม่ที่มีมุมมองต่อสถาบันกษัตริย์ในเชิงลบ เมื่อตั้งพรรคการเมืองร่วมกับปิยบุตร แสงกนกกุล นักวิชาการที่มีความคิดปฏิกษัตริย์นิยมอยู่แล้ว ความคิดของพวกเขาจึงปรากฎออกมาอย่างชัดเจน เพราะที่ผ่านมาปิยบุตรใช้ทักษะทางกฎหมายในการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ของไทยผ่านการเปรียบเทียบเปรียบเปรยกับกษัตริย์ในต่างประเทศหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิวัติฝรั่งเศสที่นำไปสู่การล้มล้างสถาบันกษัตริย์ในที่สุด

แต่ผู้ใหญ่ที่แอบอยู่ข้างหลังก็ต้องการให้เป็นเช่นนั้น เพื่อเอาไปอ้างกับเวทีโลกว่า รัฐไทยใช้กฎหมายในการปิดกั้นเสรีภาพของการแสดงออก ทั้งที่ความจริงเด็กที่เขาดันหลังเหล่านั้นที่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น เพราะไม่มีชาติไหนในโลกที่เปิดโอกาสให้ดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายต่อผู้อื่นไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม


ถามว่ากระแสความคิดนี้เป็นกระแสรุ่นใหม่ของคนในสังคมไหม อาจพิจารณาถึงการที่พรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้งเป็นอันดับ 1 แน่นอนว่าพรรคก้าวไกลชนะเป็นอันดับ 1 พวกเขาได้รับเสียงเลือกตั้งถึง 14 ล้านเสียงก็จริง แต่หากพิจารณาจากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งประมาณ 50 ล้านเสียงพวกเขายังได้รับความนิยมและการสนับสนุนไม่ถึงครึ่งหนึ่ง แต่มีคนบอกว่า อนาคตข้างหน้าที่คนรุ่นใหม่เข้ามาเติมเรื่อยๆ ในวันข้างหน้าวันหนึ่งพรรคก้าวไกลก็จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างแน่นอน แต่ส่วนตัวผมคิดว่ายังไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะไม่เชื่อว่าอำนาจหลักของสังคมไทยจะยอมให้ถึงวันนั้น

แต่ต้องยอมรับนั่นแหละว่า พรรคก้าวไกลกลายเป็นความหวังของยุคสมัยที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทย ด้านหนึ่งเพราะคนจำนวนมากเริ่มจะเบื่อหน่ายกับนักการเมืองรุ่นเก่าที่ครองอำนาจในสังคมมา และภาพของนักการเมืองเป็นภาพของการแย่งชิงอำนาจแสวงหาผลประโยชน์และประพฤติมิชอบมากกว่าจะเป็นคนกลุ่มที่ทำให้สังคมมีความหวังกับอนาคตที่พวกเขาจะนำพาไป คนจำนวนหนึ่งจึงต้องการให้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารบ้านเมือง ผู้ใหญ่หลายคนที่เห็นด้วยกับแนวทางของพรรคก้าวไกลก็บอกให้คนรุ่นเก่าถอยออกมาจากการเมืองเพราะอนาคตเป็นของคนรุ่นใหม่ที่ควรจะให้เขากำหนดชีวิตและบ้านเมืองในรูปแบบที่พวกเขาต้องการ

แต่ถามว่า เราต้องการให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิมอย่างที่พรรคก้าวไกลต้องการจริงๆ หรือ วันข้างหน้าเราจะฝากความหวังไว้กับนักการเมืองมากกว่าสถาบันกษัตริย์ได้จริงหรือ ถ้าวันข้างหน้าเรามีความขัดแย้งกันรุนแรงในชาติอีก เราจะมีหลักยึดเป็นนักการเมืองคนใดคนหนึ่งเหมือนกับการที่พระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจคนไทยและสามารถดับความขัดแย้งในแผ่นดินลงได้จริงหรือ

แน่นอนแหละว่าอีกไม่นานคนจำนวนหนึ่งจะต้องล้มตายจากไป คนรุ่นเก่าส่วนใหญ่ที่มีความคิดสนับสนุนสถาบันกษัตริย์คงจะทยอยจากกันไปในที่สุด อนาคตเป็นของคนรุ่นใหม่ก็จริง แต่ไม่แน่เหมือนกันว่า คนส่วนใหญ่ของสังคมไทยจะเห็นดีเห็นงามกับการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งที่ต้องการเรียกร้องให้ลดทอนบทบาทและสถานะของสถาบันกษัตริย์ลงมา เพราะไม่แน่เสมอไปว่าความคิดใดความคิดหนึ่งจะจีรังและคงอยู่ตลอดไป ถึงวันข้างหน้าคนรุ่นต่อไปก็อาจจะมีความคิดว่าสถาบันกษัตริย์มีความจำเป็นต่อสังคมไทย ถ้าพวกเขาได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง

นักการเมืองรุ่นเก่ามีภาพของผลประโยชน์และการแย่งชิงอำนาจก็จริง แต่คิดหรือว่านักการเมืองรุ่นใหม่จะไม่มีภาพของผลประโยชน์และการแย่งชิงอำนาจ ย้อนกลับไปถึงคณะราษฎรที่พรรคก้าวไกลเทิดทูนและประกาศว่าสืบสานอุดมการณ์ของคณะราษฎรและผลักดันแนวทางของคณะราษฎรให้สำเร็จก็จะพบว่า เมื่อพวกเขามีอำนาจก็ล้วนแล้วแต่แย่งชิงอำนาจกันและเบียดบังเอาผลประโยชน์ของชาติไปเป็นของตัวเอง และเป็นต้นเหตุที่ทำให้ประชาธิปไตยของไทยล้มลุกคลุกคลานเพราะพวกเขาชิงสุกก่อนห่ามมาจนถึงวันนี้

วันนั้นเมื่อ 2475 เราปล่อยให้คนรุ่นใหม่ที่มีแต่ความรู้จากห้องเรียนมาแย่งชิงอำนาจจากพระมหากษัตริย์ที่กำลังทำให้คนไทยค่อยเป็นค่อยไปในการเรียนรู้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย วันนี้เราคาดหวังหรือว่า คนรุ่นใหม่ที่มีความรู้จากห้องเรียนไม่มีประสบการณ์ในการทำงานเลยจะกลายเป็นความหวังใหม่ของชาติ เพราะเราเกลียดชังนักการเมืองรุ่นเก่าที่แย่งชิงอำนาจรัฐกันมา เราต้องการให้คนที่มีแต่ความรู้แต่ไม่มีประสบการณ์เข้ามาบริหารบ้านเมืองเพื่อซ้ำรอยกับความผิดพลาดในอดีตที่ปรีดี พนมยงค์เคยสารภาพในบั้นปลายของชีวิตอีกครั้งหรือ

ส่วนตัวผมเองก็ไม่ได้เห็นด้วยกับการเรียกร้องให้ถวายคืนพระราชอำนาจอย่างที่มีบางคนพยายามจะก่อกระแสอยู่ตอนนี้ แต่ผมต้องการให้สถาบันกษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะหลักชัยของสังคมไทย เป็นศูนย์รวมจิตใจของสังคมไทย และเป็นที่ดับร้อนในคราวที่บ้านเมืองมีความขัดแย้งแบ่งฝักฝ่ายจนเกิดความรุนแรงขึ้นในสังคม ที่ไม่เชื่อว่าเราจะฝากความหวังนี้ไว้กับนักการเมืองได้ เราไม่จำเป็นต้องย้อนคืนไปเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่ต้องดึงพระมหากษัตริย์ลงมาเล่นการเมือง ขอเป็นเพียงดังที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงประกาศว่า “เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุชแก่มหาชนชาวสยาม”และในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงประกาศว่า “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป”

เราต้องแยกแยะพฤติกรรมของนักการเมืองในอดีตออกไปไม่ให้บางคนบางฝ่ายนำมาบั่นทอนสถาบันกษัตริย์เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปให้ไม่เหมือนเดิม เพราะถ้าเราปล่อยให้ถึงวันนั้นทุกอย่างก็อาจจะสายเกินกว่าเราจะแก้ไขให้ประเทศไทยกลับมาเป็นแผ่นดินที่งดงามเหมือนเดิมอีกแล้ว


ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น