xs
xsm
sm
md
lg

อนาคตของพรรคก้าวไกล และประเทศไทยที่จะเปลี่ยนแปลงไป

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ


การเลือกตั้งครั้งหน้าที่หลายคนตั้งคำถามก็คือ พรรคเพื่อไทยที่นำโดยทักษิณจะสามารถกลับมาชนะพรรคก้าวไกลได้หรือไม่ แม้ว่าพรรคก้าวไกลอาจจะถูกยุบแต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปเป็นพรรคไหนก็คงไม่สามารถลดความร้อนแรงกระแสของพรรคที่เป็นความหวังของคนรุ่นใหม่ได้ หรือพูดกันอย่างถึงที่สุดวันนี้พรรคก้าวไกลไม่ใช่แค่เป็นพรรคของคนรุ่นใหม่แต่เป็นพรรคของคนชั้นกลางด้วย

 ต้องยอมรับพฤติกรรมของนักการเมืองในอดีตที่แหละที่ทำให้กระแสของพรรคก้าวไกลเติบโต คนจำนวนมากต้องการเห็นคนรุ่นใหม่เข้าไปเปลี่ยนการเมืองเพื่อคาดหวังจะเห็นสิ่งใหม่เกิดขึ้น เมื่อพรรคก้าวไกลไม่มีคราบไคลของนักการเมืองเก่าเลย คนเหล่านั้นจึงหวังว่าพรรคนี้นี่แหละที่จะเป็นความหวังที่เปลี่ยนแปลงสังคมไปในทางที่ดีได้ น่าเสียดายที่พรรคก้าวไกลสนับสนุนการเคลื่อนไหวในการเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ และต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดทอนบทบาทและสถานะของสถาบันกษัตริย์ ไม่เช่นนั้นแล้วกระแสของพรรคอาจจะร้อนแรงกว่านี้

แต่เราเห็นว่า อย่างไรเสียหลายคนเชื่อว่าพรรคก้าวไกลก็ไม่ยอมลดท่าทีของตนต่อสถาบันกษัตริย์ เห็นได้ชัดจากการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมา มีหลายพรรคเสนอว่า พร้อมจะโหวตให้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ต้องสัญญาว่าจะไม่แก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 แต่พรรคก้าวไกลก็ยอมหักไม่ยอมงอเก้าอี้นายกรัฐมนตรีจึงตกกับเศรษฐา ทวีสิน จากพรรคเพื่อไทยที่เป็นพรรคอันดับ 2

 ชัยธวัช ตุลาธน
และในที่สุดพรรคก้าวไกลก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า ความมุ่งหมายที่จะแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลนั้นมีเป้าหมายไปสู่การล้มล้างการปกปกครอง มีเจตนาจะแบ่งแยกสถาบันกับความเป็นชาติไทย

“การที่ผู้ถูกร้องทั้งสอง(พิธาและพรรคก้าวไกล) เสนอให้มาตรา 112 ออกจากลักษณะ 1 ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงในราชอาณาจักรเป็นการกระทำเพื่อมุ่งหวัง ให้ความผิดตามมาตรา 112 เป็นความผิดที่ไม่มีความสำคัญ และความร้ายแรงในระดับเดียวกัน กับความผิดในหมวด 1 ของลักษณะ 1 และไม่ให้ถือว่าเป็นความผิดที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศอีกต่อไป มีเจตนามุ่งหมายที่จะแยกสถาบันพระมหากษัตริย์กับความเป็นชาติไทยออกจากกัน ซึ่งเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐอย่างมีนัยสำคัญ"คำวินิจฉัยตอนหนึ่งระบุไว้ชัด

“การที่ผู้ถูกร้องทั้งสอง เสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายพรรคในการหาเสียงเลือกตั้งดังกล่าว มีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเหตุให้ชำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง นำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุด ข้อโต้แย้งทั้งสองของผู้ถูกร้องจึงฟังไม่ขึ้น”

 การวินิจฉัยครั้งนั้นของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งบ่งชี้ว่า พิธาและพรรคก้าวไกล มีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเหตุให้ชำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง นำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุด ทำให้ กกต.ต้องยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกล ซึ่งไม่นานจะปรากฏว่า พรรคก้าวไกลจะถูกยุบหรือไม่ ซึ่งดูเหมือนพรรคก้าวไกลจะทราบชะตากรรมดี เพราะพรรคย่อมรู้อยู่กับตัวเองว่ามีเจตนากระทำเช่นนั้นหรือไม่ จึงมุ่งต่อสู้ว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจในการวินิจฉัย กระบวนการยื่นร้องของกกต.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การกระทำไม่เป็นการล้มล้าง การยุบพรรคการเมืองควรเป็นมาตรการสุดท้าย ฯลฯ

แต่หากพรรคก้าวไกลถูกยุบก็ไม่น่าส่งผลต่อความร้อนแรงของพรรคที่จะเปลี่ยนไปใช้ชื่อใหม่ หรือแม้ว่าส.ส.ของพรรคบางคนอาจจะหนีไปสังกัดพรรคการเมืองอื่นก็ไม่ส่งผลอะไร เพราะส.ส.เหล่านั้นได้มาเพราะกระแสของพรรค เป็นคนโนเนมที่ไม่มีใครรู้จัก และเมื่อย้ายไปก็คงจะสอบตกในครั้งหน้า อาจจะส่งผลสะเทือนต่อพรรคบ้างที่แกนนำสำคัญที่เป็นกรรมการบริหารพรรคจะถูกตัดสิทธิ์ทั้งพิธา และชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน แต่เมื่อเปลี่ยนคนขึ้นมาสู้ก็ไม่ได้ส่งผลให้ความร้อนแรงของพรรคลดลง และเป็นการรอการกลับมาของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เจ้าของพรรคตัวจริง และปิยบุตร แสงกนกกุล ที่จะครบการถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองในอีกไม่นาน แม้ว่าจะไม่ทันการเลือกตั้งสมัยหน้าก็ตาม

 ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
แล้วต้องรอดูว่าเก้าอี้วุฒิสภาจะได้ส.ว.ที่เป็นแนวร่วมของพรรคก้าวไกลเข้ามากี่คน เพราะสามารถเข้ามาคัดเลือกระดับประเทศได้เป็นจำนวนมากจากการออกแรงของธนาธร จะเห็นได้ว่า การที่ธนาธรถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองไม่สังกัดพรรค แต่มาเคลื่อนไหวในนามของกลุ่มก้าวหน้านั้น ทำให้เขาสามารถเคลื่อนไหวเพื่อแย่งชิงเก้าอี้ส.ว.ได้ แต่พรรคการเมืองอื่นไม่สามารถเข้าไปเคลื่อนไหวได้ เพราะกฎหมายห้ามไว้

การที่พรรคก้าวไกลไม่สามารถหยิบยกนโยบายการยกเลิกมาตรา 112 ได้ ต้องระมัดระวังในการพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้น อาจทำให้พรรคก้าวไกลต้องมุ่งเน้นที่จะขายนโยบายอื่นอาจจะกลายเป็นผลดีกับพรรคก้าวไกลก็ได้ เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ผิดหวังกับพรรคการเมืองอื่นผิดหวังกับนักการเมืองเก่าถึงพฤติกรรมต่างๆ แต่ไม่กล้าเลือกพรรคก้าวไกลเพราะมีท่าทีเป็นพวกที่ต้องการลิดรอนบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ หากพรรคก้าวไกลเลิกเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ก็อาจจะได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้นก็ได้

แต่การที่พรรคก้าวไกลจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ก็เป็นเรื่องยาก เพราะจุดยืนของกลุ่มคนที่ก่อตั้งพรรคมีความมุ่งหมายเช่นนั้น และพรรคเองก็ได้สร้างค่านิยมและความเชื่อต่อคนรุ่นใหม่ให้ปลูกฝังความคิดไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้นหากพรรคเลิกที่จะยุ่งเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ก็อาจจะส่งผลต่อฐานเสียงคนรุ่นใหม่ที่ถูกล้างสมองให้เชื่อว่า สถาบันกษัตริย์เป็นส่วนเกินของระบบประชาธิปไตยจนเกิดกลุ่มทะลุวัง ทะลุฟ้าหรือทะลุต่างๆ มา ดังนั้นอย่างไรเสียงพรรคก็น่าจะรักษาจุดยืนนี้เอาไว้อย่างแข็งขันและแข็งกร้าวต่อไป เพราะเชื่อมั่นในกระแสของพรรคว่า เป็นเจ้าของวันเวลาในอนาคตหรืออนาคตเป็นของพวกเขา แต่อาจใช้วิธีสื่อสารแบบใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดต่อสถาบัน

ดังนั้นไม่ว่าพรรคก้าวไกลจะถูกยุบหรือไม่ ใครจะขึ้นมานำพรรคคนใหม่อาจถูกยุบก็ไม่ส่งผลกระทบต่อกระแสของพรรค การเลือกตั้งที่ผ่านมานั้นคนจำนวนมากที่ไปลงคะแนนให้พรรคก้าวไกลนั้นไม่ได้ดูด้วยซ้ำว่า คนที่พรรคก้าวไกลส่งมาลงเลือกตั้งนั้นเป็นใคร มีประวัติอย่างไร เคยมีผลงานหรือมีความรู้ความสามารถอย่างไร แต่ไปเลือกเพราะกระแสพรรค จนที่ผ่านมาเราได้นักวิ่งราวมาคนหนึ่งต้องเลือกตั้งกันใหม่

หรือเราเห็นว่าแม้พรรคก้าวไกลจะมีคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถหลายคน แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีบทบาทอะไร และแม้แต่คนในพื้นที่ที่เลือกมาก็มองไม่เห็นบทบาทในการทำพื้นที่ของส.ส.พรรคเหมือนนักการเมืองเก่าที่ดูแลทุกข์สุขของประชาชนในพื้นที่ไปวางหรีดงานศพ ไปฉีดยุงลาย ฯลฯ หรือแม้ว่า ส.ส.ชุดนี้จะปรับเปลี่ยนตัวบุคคลในหลายคนจากการเลือกตั้งครั้งแรกในนามพรรคอนาคตใหม่ก็ยังไม่สามารถได้คนที่มีคุณภาพเข้ามาทั้งหมด หากพรรคก้าวไกลสามารถคัดสรรบุคคลที่เป็นที่รู้จักของสังคม เคยมีบทบาทและผลงาน มีความรู้ความสามารถเป็นที่ประจักษ์ มากกว่าอาศัยเพียงกระแสของพรรคเข้ามา ก็อาจจะทำให้พรรคเติบโตยิ่งขึ้นก็ได้

แต่สิ่งที่สังคมตั้งคำถามก็คือ พรรคการเมืองที่สั่งสมคนรุ่นใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ในการทำงานมาก่อนจะสามารถนำพาประเทศชาติได้จริงหรือ พิธาเองแม้แต่การบริหารธุรกิจของครอบครัวก็ประสบความล้มเหลวมาแล้ว หรือแม้แต่จะเปลี่ยนคนรุ่นใหม่ที่อาจจะมาแทนพิธาหากพรรคถูกยุบก็ยังมองไม่เห็นเลยว่าใครที่มีความสามารถอย่างฉกาจฉกรรจ์ที่จะนำพาประเทศ แม้หลายคนมีความรู้แต่ก็ไม่มีประสบการณ์อะไร นี่เป็นอีกคำถามหนึ่งที่หลายคนไม่สามารถตัดใจไปเลือกพรรคก้าวไกลได้

อย่างไรก็ตามทางเลือกเดียวของพรรคก้าวไกลที่จะได้เป็นรัฐบาลก็คือ การชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลายได้เสียงเกินครึ่งโดยพรรคเดียว ซึ่งเชื่อว่ามีความเป็นได้ยาก เพราะในหลายจังหวัดพรรคก้าวไกลก็ไม่ยังไม่สามารถล้มบ้านใหญ่ของนักการเมืองรุ่นเก่าได้ และชัดเจนครั้งนี้สิ่งที่ทักษิณทำก็คือ กวาดต้อนนักการเมืองบ้านใหญ่เข้ามาสังกัด ตามที่เขาเคยประสบความสำเร็จจากโมเดลนี้มาแล้ว และถ้ารัฐธรรมนูญที่จะแก้ไขใหม่ไม่มีส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ด้วยแล้ว ก็จะเป็นการต่อสู้กันแบบตัวต่อตัวในพื้นที่โอกาสของพรรคก้าวไกลก็จะน้อยลง หากหวังจะขายกระแสของพรรคอย่างเดียวโดยส่งคนที่คนไม่เป็นที่รู้จักในพื้นที่ลงอย่างที่ผ่านมา

ต้องจับตาดูว่า การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะส่งผลอย่างไรกับพรรคก้าวไกล และหลังจากนี้พรรคก้าวไกลจะลดบทบาทต่อการเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์และการลดทอนบทบาทและสถานะของสถาบันกษัตริย์ลงหรือไม่ หากพวกเขาสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ประเทศชาติจะเป็นอย่างไร และประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิมนั้นจะมีหน้าตาอย่างไร

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น