ท่านผู้อ่านที่สนใจและติดตามข่าวการเมือง ก็คงจะได้ยินได้ฟังและได้อ่านการวิเคราะห์การเมืองของท่านผู้อ่านหลายท่านว่า อาจมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยการทำรัฐประหารอีกครั้ง ทั้งนี้เนื่องจากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. รัฐบาลไทยมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ และมีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศมาเกือบปี แต่ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน แถมยังปล่อยปละละเลยไม่แก้ปัญหาสังคมและเศรษฐกิจ จะเห็นได้จากปัญหายาเสพติด ลักขโมย และที่สำคัญเหนืออื่นใดคือไม่แก้ไขกระบวนการยุติธรรมที่บิดเบี้ยวจนทำให้ประชาชนหมดศรัทธาถึงกับออกมาเรียกร้องให้มีการทำรัฐประหาร และจัดการนักการเมืองเลว
2. นอกจากไม่แก้ปัญหาตามข้อ 1 แล้ว รัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน ยังมุ่งเน้นที่จะผลักดันโครงการแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต คนละ 10,000 บาท ทั้งๆ ที่โครงการนี้ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบ สร้างความทุกข์ ความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนคนส่วนใหญ่ของสังคม
3. นอกจากไม่แก้ปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาสังคมตามข้อ 1 แล้ว รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ยังปล่อยปละละเลยในการบังคับใช้กฎหมายปล่อยให้นักโทษจำคุกในข้อหาทุจริต คอร์รัปชัน ไม่นอนคุกแม้แต่วันเดียว แถมเที่ยวเตร่เยี่ยงปกติชนในระหว่างพักโทษ
4. ในการปรับ ครม.ที่ผ่านมา แทนที่จะเอาคนไม่มีฝีมือออกไป และนำคนดีคนเก่งเข้ามา กลับทำตรงกันข้ามโดยการลิดรอนอำนาจกัน จนทำให้คนต้องลาออก ทั้งยังนำคนเคยต้องโทษจำคุกเข้ามาร่วม ครม.จนเป็นเหตุให้ 40 สว.ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องแล้ว และอยู่ระหว่างรอผลการวินิจฉัยของศาลต่อไป
5. โดยปกติทุกครั้งที่มีการทำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งทุกครั้ง เหตุอ้างสำคัญประการหนึ่งคือ การทุจริต คอร์รัปชัน อันเป็นเหตุให้ประชาชนลุกฮือขึ้นมาขับไล่
รัฐบาลชุดนี้ยังไม่มีการทุจริต คอร์รัปชันให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม เฉกเช่นรัฐบาลทักษิณ และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่การที่รัฐบาลชุดนี้มุ่งเน้นจะดำเนินโครงการแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต ทั้งๆ ผู้รู้หลายท่านออกมาคัดค้านก็เข้าข่ายส่อเค้าทุจริต และมีแนวโน้มว่าจะเป็นเหตุจูงใจให้เกิดการลุกฮือขึ้นคัดค้านได้
ด้วยเหตุปัจจัย 5 ประการข้างต้น ทำให้ประชาชนหมดศรัทธาและเริ่มเรียกหาเผด็จการ ทั้งๆ ที่ระบบเผด็จการที่ผ่านมา หลายๆ ครั้งก็มิได้แก้ปัญหาให้หมดไปแบบถอนรากถอนโคน ทำได้แค่กลบปัญหาในทำนองเดียวกันกับเอาก้อนหินมาทับหญ้าทำให้ดูเหมือนประหนึ่งได้แก้ปัญหาแล้ว ครั้นเผด็จการจบลงโดยเปิดโอกาสให้มีการเลือกตั้ง และมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอีกครั้ง ปัญหากลับมาเหมือนเดิมเพราะไม่มีการแก้ไขให้หมดไปโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาที่เกี่ยวกับบุคลากรทางการเมืองเริ่มตั้งแต่นายทุนพรรคการเมืองไปจนถึงตัวนักการเมือง รวมไปถึงองค์กรทางการเมือง
ด้วยเหตุดังกล่าวแล้ว การปฏิวัติรัฐประหารจะยังคงอยู่ตลอดไปตราบเท่าที่นักการเมืองยังคงมีพฤติกรรมแสวงหาประโยชน์ในทางมิชอบ และทำให้ประชาชนเดือดร้อนเฉกเช่นที่ผ่านมา
อนึ่ง ในการคาดการณ์สถานการณ์บ้านเมืองคงจะมองข้ามวิชาโหราศาสตร์ไม่ได้ ดังนั้น จึงต้องนำดวงเมืองมาดู และพบว่าจาก 3 มิ.ย.-13 ส.ค.ดาวอังคารโคจรทับลัคนา และอาทิตย์ในช่วง 3 มิ.ย.-12 ก.ค. คงจะเกิดการกระทบกระทั่งระหว่างพรรคแกนนำกับพรรคร่วมรัฐบาล และอาจนำไปสู่การแยกตัวออกจากการร่วมรัฐบาล และทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในช่วง 13 ก.ค.-13 ส.ค.ค่อนข้างแน่นอน
แต่จะเปลี่ยนด้วยการปรับ ครม.หรือเปลี่ยนด้วยการถูกโค่นล้มเป็นได้ทั้งสองกรณี แต่ที่แน่ๆ ก็คือเปลี่ยนแปลงแล้วดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่แน่นอน