ใครมีโอกาสได้ดูคลิปวิดีโอที่นิสิตมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดนับร้อยๆ คน ชักแถวเดินขบวนออกจากพิธีรับปริญญาเมื่อช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา พร้อมกับกู่ก้องร้องตะโกนถ้อยคำต่างๆ นานา ไม่ว่า “Free, free Palestine” หรือ “Harvard, do you hear us?” ในขณะที่บรรดาคณาจารย์นั่งก้มหน้าแบบอายฟ้า-อายดิน คงต้องยอมรับว่า...ย่อมไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาอยู่แล้วแน่ๆ เพราะระดับ “ปัญญาชน” หัวกะทิอย่างนิสิตมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดนั้น ยังไงๆ...ย่อมผิดแผกแตกต่างไปจาก “ปนยาชัน” แห่งมหาวิทยาลัยลิงค็อบ ยูนิเวอร์ซิตี (วัดลิงขบ) อย่างมิอาจปฏิเสธได้...
กระแส “ต่อต้านสงคราม” ในมหาวิทยาลัยไม่น้อยกว่า 60 แห่งทั่วทั้งประเทศอเมริกา โดยเฉพาะ “สงครามอิสราเอล-ฮามาส” ที่สุดเหี้ยมสุดโหดชนิด “ม.ม้า” วิ่งไล่ไม่ทันแม้จะถูกปราบ ถูกไล่ทุบ ไล่ตี กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก็มิอาจหยุดยั้งกระแสเหล่านี้ได้เลยจึงถือเป็นภาพสะท้อนแห่งความอึดอัด-ขัดข้องใจของผู้คนพลเมืองที่สวนทางกับระบอบ “ประชาธิปไตยแบบอเมริกา” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน และก็คงไม่ใช่แต่เฉพาะในอเมริกาเท่านั้น ในยุโรปแต่ละประเทศไม่ว่าอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ฯลฯ ต่างเต็มไปด้วยกระแส “ต่อต้านสงคราม” ดังกระหึ่มไปโดยทั่วกัน เยอรมนีนั้น...เมื่อช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมานี่เอง (1 มิ.ย.) บรรดาชาวไส้กรอก แห่ไปประท้วงที่กรุงเบอร์ลิน เรียกร้องให้รัฐบาลหยุดการส่งความช่วยเหลือทางทหารให้ประเทศยูเครน พร้อมกับชูป้ายให้หยุดยั้งสงคราม หยุดการใช้ถ้อยคำแบบ “เฮท สปีช” กับรัสเซีย รวมทั้งด่าประณามรัฐบาลว่า “ไม่มีอธิปไตยเป็นของตัวเอง” อันไม่เพียงแต่เป็นอันตรายกับชาวเยอรมันด้วยกันเองเท่านั้น แต่ยังเป็นอันตรายต่อชาวโลกควบคู่ไปด้วย...
ส่วนอังกฤษนั้น...ถึงขั้นหันไปเชียร์ “ทรัมป์บ้า” เอาดื้อ!!! แถมหันมาโห่ใส่รูปอดีตประธานาธิบดี “โอบามา” และ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีแห่งพรรคเดโมแครต ระหว่างการชุมนุมที่หน้าจัตุรัสรัฐสภา เมื่อช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา และเหตุที่หันไปเชียร์ “ทรัมป์บ้า” ทั้งที่อยู่คนละประเทศ ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่า “เพราะเป็นผู้นำที่จะช่วยสร้างสันติภาพให้กับโลกตะวันตก” หรือเพราะ “ไม่บ้าสงคราม” นั่นเอง แต่ที่ออกกันมาแบบล้นๆ หลามๆ ก็คงได้แก่ชาวเมืองบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ที่มากันเป็นแสนๆ แต่ไม่ใช่มาเพื่อต่อต้าน คัดค้านรัฐบาล แต่เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับนโยบายของอียู ที่พยายามสร้างความตึงเครียดในการเผชิญหน้ากับรัสเซีย ป้ายข้อความแต่ละป้ายของชาวฮังการี จึงมีทั้ง “No War” ไปจนถึง “Give us peace Lord” หรือหันไปวิงวอนขอสันติภาพกับพระผู้เป็นเจ้า เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ขณะที่ผู้นำฮังการีอย่างนายกรัฐมนตรี “Viktor Orban” ก็ออกมาประสานเสียงเช่นเดียวกับบรรดาชาวฮังการีทั้งหลาย ด้วยการป่าวประกาศต่อหน้ามวลชน ถึงความเจ็บปวดรวดร้าว ที่ประเทศฮังการีเคยได้รับผลพวงจากครั้งสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ถึงขั้นต้องสูญเสียผู้คน พลเมือง ไปถึง 1.5 ล้านราย ด้วยเหตุนี้... “ผมขอพูดช้าๆ...ไปถึงบรรดาผู้นำอียูทั้งหลายขอให้เข้าใจด้วยว่า เราจะไม่ร่วมในสงครามใดๆ เราจะไม่เดินเข้าสู่สมรภูมิตะวันออกเป็นครั้งที่ 3 เราจะไม่เดินไปสู่แนวรบกับรัสเซียอีกครั้ง” ก่อนที่จะหันมาเปล่งเสียงก้องกังวานชนิดไม่ต่างอะไรไปจาก “คำขวัญ” สำหรับการชุมนุมครั้งนี้ นั่นก็คือคำว่า “สนับสนุนสันติภาพและสนับสนุนอธิปไตยของชาติ”...
คือถ้าหากเป็นรัฐบาลที่ยึดมั่นอยู่ในอธิปไตยของชาติตัวเอง...มันก็คงต้องออกมาในแนวนี้นั่นแหละทั่น ต้อง “เข้าถึง-เข้าใจ” ต่อกระแสความเรียกร้องต้องการของผู้คนพลเมืองในชาติตัวเองได้โดยไม่ยาก แต่ก็อย่างว่า...ด้วยเหตุเพราะ “โลกาภิวัตน์จากด้านบน” ที่มันแผ่ซ่าน ครอบงำ โลกทั้งโลกนานนับทศวรรษๆ และได้กลายเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ “ประชาธิปไตย” ซึ่งถูกขับเคลื่อนโดยทุนนิยม กลายเป็นตัวบั่นทอน ทำลายอำนาจของ “รัฐชาติ” โดยเฉพาะรัฐที่พร้อมจะตอบสนองต่อแนวคิดแบบ “เสรีนิยมใหม่” (Neoliberalism) จนแทบไม่หลงเหลืออำนาจอธิปไตยติดปลายนวมเอาไว้เลยแม้แต่น้อย ต้องขึ้นต่อขึ้นตรงต่อความปรารถนา ความต้องการของกลุ่มธุรกิจ กลุ่มทุนนิยมระดับโลก หรือต่อบรรดา “บรรษัทข้ามชาติ” ทั้งหลายอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ ประชาธิปไตยในยุโรปและอเมริกา มันเลยไม่ใช่เป็น “ประชาธิปไตยของประชาชน-โดยประชาชน-และเพื่อประชาชน” อีกต่อไป แต่ได้กลายเป็น “ประชาธิปไตยของพ่อค้า-โดยพ่อค้า-และเพื่อพ่อค้า” ชนิดใครต่อใครต้องแห่ออกมาประท้วง ต้องเสี่ยงต่อการถูกไล่ทุบ ไล่ตี โดยรัฐบาลแต่ละรัฐบาลไม่คิดจะรู้ร้อน-รู้หนาวดังเช่นทุกวันนี้...
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม...ผู้นำฮังการี อย่างนายกฯ “Viktor Orban” ท่านก็ยังคงหวังๆ อยู่อีกนั่นแหละ ว่าโดย “การเลือกตั้ง” อันเป็นส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย ที่กำลังจะมาถึงทั้งในยุโรปและอเมริกาอีกไม่นาน-ไม่ช้านับจากนี้ อาจนำมาซึ่ง “ความร่วมมือสองฟากฝั่งแอตแลนติกเพื่อเสรีภาพ” (pan-Western transatlantic coalition for peace) เอาเลยถึงขั้นนั้น โดยเฉพาะถ้าผู้คนพลเมืองในยุโรปและอเมริกามีความรู้เท่าทัน มีความเข้าถึง-เข้าใจต่อสถานการณ์ความเป็นไปของโลกได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน และหันไปสนับสนุนผู้นำที่แม้จะ “บ้า” อย่างอื่นแต่ไม่ถึงกับ “บ้าสงคราม” โอกาสที่จะเกิดความร่วมมือเพื่อสันติภาพ ณ สองฟากฝั่งแอตแลนติก ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย เช่นเดียวกับบรรณาธิการบริหารนิตยสาร “Covert Action Magazine” อย่าง “นายJeremy Kuzmarov” ที่พยายามมองโลกในแง่ดี หรือมองให้สวยๆ เข้าไว้ ด้วยการสรุปว่า... “ยังพอมีความหวังสำหรับโอกาสของสันติภาพและการหยุดยั้งความน่าสะพรึงกลัวของความขัดแย้งยูเครน แม้ว่ารัฐบาลไบเดนพยายามปลุกกระตุ้นสงครามกับรัสเซียเพียงใดก็ตาม แต่ด้วยเหตุเพราะ...ปีนี้คือปีแห่งการเลือกตั้ง!!!”
ซึ่งก็คงจริงอย่างที่ บก.บริหารรายนี้ว่าไว้นั่นแหละ เพราะขนาดนิตยสารอันโด่งดังอย่าง “Time Magazine” ยังสรุปเอาไว้ถึงขั้นว่า “2024 is not just an election year. It’s perhaps the election year.” หรือเป็นปีที่เต็มไปด้วยการเลือกตั้งในแต่ละระดับอุบัติขึ้นมาหรือกำลังจะอุบัติขึ้นมาในประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่น้อยกว่า 72 ประเทศ 18 ประเทศในแอฟริกา 14 ประเทศในอเมริกาและละตินอเมริกา 21 ประเทศในเอเชีย 30 ประเทศในยุโรป 5 ประเทศในโอเชียเนีย โดยเฉพาะประเทศใหญ่ๆ อย่างอินเดีย สหภาพยุโรป อเมริกา อินโดนีเซีย ปากีสถาน บังกลาเทศ รัสเซีย เม็กซิโก อิหร่าน อังกฤษ แอฟริกาใต้ แอลจีเรีย เวเนซุเอลา หรือไต้หวันโน่นเลยฯลฯ ไปจนประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาที่กำลังจะเลือกตั้งวุฒิสมาชิกแบบชนิดสับสน อลหม่าน อยู่พอสมควร หรือรวมๆ แล้ว...แทบจะถือเป็นจำนวนประชากรเกือบ “ครึ่งโลก” เอาเลยก็ว่าได้ ที่มีสิทธิอาศัยสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” เป็นทางออก-ทางไป หรือ “ทางเลือก” เพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามที่ตัวเองปรารถนาและต้องการให้จงได้...
แต่ก็อย่างว่า...สิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” ในทุกวันนี้ มันชักเป็นอะไรที่ออกจะเสื่อมทรุดเสื่อมโทรมลงไปทุกที ไม่ได้สูงส่ง วิเศษวิเสโส ไม่ได้เป็น “ยาสารพัดโรค” ชนิดผัวทา-เมียหาย พ่อตากิน-แม่ยายฟื้น เหมือนอย่างที่ใครๆ เคยคิดๆ ไว้ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะ “ประชาธิปไตยอเมริกา” หรือ “ประชาธิปไตยยุโรป” นั่นแหละตัวดี เพราะอย่างที่ว่าเอาไว้แล้วนั่นแหละว่า ด้วยเหตุเพราะอำนาจอิทธิพลของ “ทุนนิยมโลก” ที่เติบโตแบบพรวดๆ พราดๆ โดยเฉพาะท่ามกลางยุค “โลกาภิวัตน์” ที่ทำให้เกิดการเคลื่อนย้าย “ทุน” โดยอิสระ-เสรี เกิดการลดทอนอำนาจของ “รัฐชาติ” ไม่ว่าในทางเศรษฐกิจหรือกฎหมาย ไปจนถึงการขจัดอัตลักษณ์ เอกลักษณ์ แห่งความเป็นชาติเพื่อทำให้เกิด “ผู้บริโภคสากล” ขึ้นมาแทนที่ ฯลฯ ฯลฯ โอกาสที่บรรดาผู้คนพลเมืองในแต่ละประเทศจะเกิดความ “เข้าถึง-เข้าใจ” ต่อสถานการณ์ความเป็นไปของโลก หรือแม้แต่ความเป็นไปภายในบ้านเมืองตัวเอง ในสังคมตัวเองแต่ละสังคม ก็ใช่ว่าจะเป็นไปได้ง่ายๆ...
แม้แต่ประชาธิปไตยในบ้านเราก็เถอะ!!! ยังแทบไม่รู้ว่าอนาคตจะออกมาแนวไหนต่อแนวไหน ไม่รู้ว่าพรรคที่มาแรงแซงโค้งจนกลายเป็นพรรคอันดับหนึ่ง อย่าง “พรรคก้าวไกล” เขาคิดจะจัดตั้ง “รัฐบาลพรรคเดียว” ในอีกประมาณ 4 ปีข้างหน้าหรือไม่? อย่างไร? หรือกำลังคิดที่จะร่วมมือกับ “พรรคเผาไทย” หลังจากที่ “ดีลลับ” ถูกยกเลิกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อันจะทำให้ “สีส้ม” กับ “สีแดง” ถูกกวนผสมจนกลายเป็น “สีแสด” ส่งผลให้ “สีน้ำเงิน” ย่อมมิอาจอยู่นิ่งเฉยได้อีกต่อไป โอกาสที่จะเกิดการปะทะ ขัดแย้ง จนสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” อาจต้องกลายสภาพไปเป็น “ประชาธิป...ตาย”!!! อีกครั้ง ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย???