ในอดีตชาวนาทำนาปีละครั้งโดยอาศัยน้ำฝน เนื่องจากไม่มีระบบชลประทานเช่นทุกวันนี้
นาที่ทำมีทั้งนาหว่าน และนาดำ โดยปกติจะทำนาหว่านในที่ดอน และนาดำในที่ลุ่ม
ชาวนาทุกครัวเรือนมียุ้งฉางสำหรับเก็บข้าวเปลือกเป็นของตนเอง
ดังนั้น ข้าวที่ผลิตได้ทุกฤดูเก็บเกี่ยวจะนำไปเก็บไว้ในยุ้งฉาง และนำออกมาแปรรูปเป็นข้าวสาร เพื่อการบริโภคในครัวเรือน ทั้งทำออกขายเป็นครั้งคราวเท่าที่จำเป็น เพื่อนำเงินที่ได้ไปใช้จ่ายซื้อข้าวของซึ่งจำเป็นต่อการดำรงชีพ
เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวปีต่อไป ชาวนาก็จะนำข้าวเปลือกที่เหลืออยู่ในยุ้งฉางออกมาขายทั้งหมด และนำข้าวเปลือกที่ผลิตได้ใหม่เก็บแทน
ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น ข้าวเปลือกจึงถูกเก็บไว้ไม่เกินหนึ่งปี และเมื่อโรงสีนำไปสีเป็นข้าวสารแล้วส่งออกขายไม่เกิน 2 ปี จึงยังมีคุณค่าทางโภชนาการอยู่ในมาตรฐานที่ยอมรับได้
แต่ชาวนาในยุคปัจจุบันเกือบทุกครัวเรือนไม่มียุ้งฉางเก็บข้าวเปลือก จึงต้องขายข้าวเปลือกให้แก่โรงสีทันทีหลังจากเก็บเกี่ยว และผึ่งแดดเพื่อลดความชื้น ในบางรายมิได้ผึ่งแดดเพื่อลดความชื้นด้วยซ้ำ จึงทำให้ขายไม่ได้ราคา
ประกอบกับชาวนายุคใหม่ใช้เงินทุนในการทำนาสูงกว่าแต่ก่อน เนื่องจากในทุกขั้นตอนของการทำนาเริ่มตั้งแต่ปลูกไปถึงการเก็บเกี่ยวใช้เครื่องจักรกลแทนแรงงานคน และถึงแม้ใช้แรงงานคนก็จ่ายค่าจ้างแพง เนื่องจากแรงงานฟรีด้วยการลงแขกแบบโบราณไม่มีแล้ว จึงทำให้ชาวนาโดยเฉพาะรายย่อยซึ่งไม่มีเงินทุนต้องกู้ยืม ทั้งในระบบและนอกระบบ ต้องแบกรับภาระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นการเพิ่มต้นทุนขึ้นไปอีก ทางหนึ่งนอกเหนือจากการจ้างไถเก็บเกี่ยว และถึงแม้จะมีเครื่องจักรกลของตนเอง ก็ต้องจ่ายค่าน้ำมันเชื้อเพลิง
เมื่อต้นทุนการผลิตข้าวสูงขึ้น ราคาขายข้าวจะต้องแพงขึ้น จึงจะมีกำไร แต่ชาวนาไทยเท่าที่ผ่านมา มิได้เป็นเช่นนั้น ราคาขายใกล้เคียงกับต้นทุน หรือบางปีต่ำกว่าต้นทุนด้วยซ้ำ จึงทำให้เงินที่ได้จากการขายข้าวไม่เพียงพอใช้หนี้กลายเป็นหนี้ค้างชำระจำนวนมากในแต่ละปี และนี่เองคือสาเหตุหลักที่ทำให้ชาวนายากจนหรือเป็นผู้มีรายได้น้อยตามนัยแห่งคำนิยามของทางราชการ
เมื่อชาวนาส่วนใหญ่ยากจนเป็นคนมีหนี้ จึงกลายเป็นช่องทางให้นักการเมืองใช้ชาวนาเป็นเครื่องมือทางการเมืองแสวงหาประโยชน์ โดยการเสนอโครงการประชานิยมในรูปแบบต่างๆ เช่น การพักหนี้ ประกันรายได้ ประกันราคาพืชผลและรับจำนำข้าว
ประโยชน์ที่นักการเมืองได้จากนโยบายประชานิยม มีทั้งคะแนนนิยมทำให้ได้รับการเลือกตั้ง และประโยชน์ที่เป็นตัวเงินจากการทุจริตในแต่ละขั้นตอนของโครงการที่เรียกว่า คอร์รัปชันเชิงนโยบาย
ในบรรดาโครงการอันเกิดจากนโยบายประชานิยมในรูปแบบต่างๆ โครงการรับจำนำข้าวของพรรคเพื่อไทยในสมัยนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นโครงการที่รั่วไหลมาก และทำให้รัฐสูญเสียหลายแสนล้านบาทดังที่ทราบกันไปแล้ว และโครงการนี้ได้ปิดฉากลงไปแล้ว โดยมีผู้เกี่ยวข้องหลายคนรวมทั้งนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ด้วย ได้ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี และถูกศาลตัดสินจำคุกไปแล้ว และยังคงอยู่ในคุกในขณะนี้ยกเว้นนายกฯ ยิ่งลักษณ์ คนเดียวได้หนีออกไปนอกประเทศ และมีนัยว่าจะกลับมาในอนาคตอันใกล้นี้
จะด้วยดังกล่าวข้างต้นกระมัง จึงได้มีกระบวนการฟอกขาวเกี่ยวกับคดีนี้ โดยการนำข้าวจากโครงการรับจำนำซึ่งเก็บไว้ 10 ปีมาหุงให้คนระดับรัฐมนตรีรับประทาน เพื่อแสดงให้เห็นว่า ยังไม่เน่าเสียและจะนำออกขายไปยังต่างประเทศด้วย พร้อมกันนี้ได้มีคนระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกมาขานรับจะซื้อข้าวที่ว่านี้ไปเลี้ยงกำลังพลในกองทัพด้วย
ในทันทีที่ข่าวนี้ได้แพร่ออกไป ได้มีบรรดานักวิชาการและท่านผู้รู้เกี่ยวกับข้าวได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในเชิงคัดค้าน และเป็นไปทางเดียวกันว่า ข้าวเก็บ 10 ปีให้คนกินไม่ได้เป็นอันตรายจากเชื้อราและสารเคมี แม้แต่จะนำไปเป็นอาหารสัตว์ก็ไม่ควรทำ ทำได้อย่างเดียวคือนำไปเป็นเชื้อเพลิงใช้กับโรงไฟฟ้าชีวมวล ดังนั้น การกินข้าวโชว์ของรัฐมนตรีจึงไม่ต่างไปจากตลกระดับชาติ