เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตทำความเข้าใจไว้ก่อนอื่นว่า การที่บรรดาผู้นำชาติตะวันตกไม่ว่าอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี รวมไปถึงเลขาฯ “NATO” ฯลฯ ออกมากู่ก้องร้องตะโกน ว่าประเทศยูเครนมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะนำเอาอาวุธร้ายๆ ซึ่งฝ่ายตะวันตกจัดหาไว้ให้ ยิงถล่มลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย เหตุใดถึงได้ทำให้ประเทศหมีขาวรัสเซียเขาถึงออกอาการคิดเล็ก-คิดน้อย หรือคิดมาก ไปได้ถึงปานนั้น!!!
คือถ้าว่ากันตามคำอธิบายที่อยู่ในข้อเขียน บทความ ของผู้อำนวยการองค์กร “World Economy and International Politics” แห่งรัสเซีย สมาชิกสภานโยบายต่างประเทศและการป้องกัน รวมทั้งเป็นผู้เชี่ยวชาญในสโมสรกลุ่มนักคิดที่เรียกว่า “Valdia Club” อีกด้วย อย่าง “นายDmitry Suslov” ก็น่าจะพอสรุปได้คร่าวๆประมาณว่า บรรดาอาวุธร้ายๆ ของตะวันตก ไม่ว่าขีปนาวุธพิสัยไกลอย่างจรวด“Taurus” ของเยอรมนี หรือ “Storm Shadow” ของอังกฤษ หรือจรวดพิสัยไกลความเร็วระดับ “Mach 3” ของอเมริกา หรือจรวด “ATACMS” ที่เพิ่งเอามายิงใส่ฐานทัพอากาศรัสเซียเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นอาวุธที่บรรดาทหารยูเครนแทบไม่มีขีดความสามารถพอที่จะนำมาใช้ได้ด้วยตัวเองล้วนๆ ไม่ใช่แค่เพราะความสลับซับซ้อนทางเทคนิคเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยระบบเรดาร์ ระบบข่าวกรอง ที่ถูกต้องและแม่นยำของตะวันตก ต้องอาศัยความชำนาญการในการตัดสินใจของผู้ที่เคยใช้อาวุธชนิดนี้จนช่ำชองมาแล้ว และนั่นก็คือบรรดาเจ้าหน้าที่ทางทหารของบรรดาประเทศที่ส่งอาวุธร้ายๆ เหล่านี้ให้กับยูเครน ชนิดแทบจะเรียกว่าผู้ที่ “กดปุ่มสั่งยิง” ก็คือบรรดาทหารอเมริกา อังกฤษ หรือเยอรมนี ฯลฯ ทั้งหลาย ที่ถูกส่งเข้าไปประจำการในสมรภูมิยูเครนนั่นเอง...
เพราะไม่ว่าบรรดาทวยทหารในกองทัพยูเครนเองก็ออกมายอมรับในเรื่องราวเหล่านี้ หรือแม้แต่ผู้นำเยอรมนีที่ยังเคยอึกอักลังเล ว่าจะต้องส่งขีปนาวุธ “Taurus” พร้อมด้วยทหารเยอรมนีเข้าไปกดปุ่มสั่งยิงจรวดเหล่านี้ด้วยหรือไม่? อย่างไร? จนเกิดข่าวรั่ว ข่าวไหล ถึงบทสนทนาของเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของเยอรมนี ถึงการแอบเข้าไปปฏิบัติการในลักษณะทำนองนี้มาแล้วเมื่อไม่นานมานี้ และอันนี้นี่เอง...ที่จะแปลความ ตีความไปเป็นอื่นแทบไม่ได้ นอกจากต้องสรุปแบบตรงไป-ตรงมาว่า ก็คือการตัดสินใจที่จะส่งบรรดาทหารของชาติตะวันตกทั้งหลาย เข้าไปเล่นงาน โจมตี ประเทศรัสเซียกันถึงที่ หรือลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย อันไม่ต่างอะไรไปจากการตัดสินใจ “เปิดฉากสงคราม” ระหว่าง “NATO” กับ “รัสเซีย” โดยตรง...นั่นเอง!!!
ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ไม่ว่าใครต่อใครในประเทศรัสเซียเขา “มิอาจรับได้” ไปด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าไล่มาตั้งแต่ “Dmitry Suslov” ที่ถึงกับต้องร่ายเรียงบทความเพื่อกระตุ้นและเร่งเร้าเอาไว้ถึงขั้นว่า... “It’s time for Russia to drop a nuclear bomb” หรือถึงเวลาแล้ว!!! สำหรับรัสเซียที่จะต้องเบ่งกล้าม อวดโชว์ศักยภาพของอาวุธนิวเคลียร์ให้ฝ่ายตะวันตกได้รับรู้-รับทราบด้วยเหตุเพราะ “ถ้าหากตะวันตกยังไม่คิดที่จะหยุดยั้งการกระทำในลักษณะเช่นนี้ สงครามเต็มรูปแบบระหว่างรัสเซียกับ NATO ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องอุบัติขึ้นมาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลย...” หรือ “นายDmitry Rogozin” วุฒิสมาชิกรัสเซียและอดีตผู้อำนวยการองค์การอวกาศ “Roscosmos” ที่สรุปไว้ว่า... “ถ้าตะวันตกไม่หยุดการกระทำดังกล่าว การหวนกลับไปไม่ได้ของความล่มสลายแห่งยุทธศาสตร์ความมั่นคงในการใช้อาวุธนิวเคลียร์จะอุบัติขึ้นมาโดยทันที” เช่นเดียวกับนายทหารระดับสูงชาวรัสเซีย “พลโทEvgeny Buzhinsky” และหนึ่งในสมาชิกสโมสร “Valdai Club” ที่ถึงกับระบุไว้ว่า... “ถ้าหากขีปนาวุธ Taurus ของเยอรมนี หรือ ATACMS ของสหรัฐฯ สร้างความเสียหายให้กับรัสเซีย อย่างน้อย...ความจำเป็นที่เราต้องโจมตีพื้นที่ทางผ่านแห่งการส่งมอบอาวุธเหล่านี้ นั่นคือประเทศโปแลนด์ ย่อมเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้...”
ส่วนอดีตประธานาธิบดีรัสเซียและรองเลขาสภาความมั่นคงแห่งชาติคนปัจจุบัน อย่าง “นายDmitry Medvedev” ได้ให้ความหมายและคำนิยามต่อท่าทีของบรรดาประเทศตะวันตกทั้งหลายในกรณีดังกล่าว เอาไว้น่าคิด น่าสะกิดใจเอามากๆ นั่นก็คือข้อสรุปที่ว่า... “การอนุมัติให้นำเอาอาวุธเหล่านี้มาใช้โจมตีรัสเซีย มันไม่ใช่เป็นเพียงแค่...การช่วยเหลือในทางทหารแต่เป็นการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการทำสงครามอย่างแจ่มแจ้ง-ชัดเจน” โดยได้อธิบายขยายความ ต่อเติมไปด้วยอีกว่า “การที่อเมริกาคิดจะโจมตีเป้าหมายต่างๆ ในรัสเซีย หรืออนุญาตให้ยูเครนโจมตีเป้าหมายแต่ละแห่งในรัสเซียด้วยอาวุธของอเมริกัน ก็คือการเริ่มต้น...สงครามโลก นั่นเอง!!!” และก็คงไม่ใช่แค่สงครามโลกแบบธรรมดาๆ แต่โอกาสที่จะบานปลายกลายเป็น “สงครามนิวเคลียร์” ยิ่งเป็นไปได้สูงเอามากๆ...
โดยเฉพาะเมื่อรัฐมนตรีต่างประเทศเดนมาร์ก “นายLars Lokke Rasmussen” ได้ออกมายืดอกเอ่ยถ้อยแถลงด้วยความภาคภูมิใจเอามากๆ เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมาว่า ที่ได้เคยสัญญาไว้ว่าจะส่งเครื่องบินโจมตี “F-16” จำนวน 19 ลำหรืออาจมากกว่า 40 ลำให้กับประเทศยูเครนเพื่อเอาไว้สู้รัสเซียนั้น คาดว่าจะสามารถส่งมอบได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยที่สมรรถนะของเครื่องบินโจมตีดังกล่าว สามารถนำไปใช้กับการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ได้แบบสบายๆ และนั่นเองที่ทำให้รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายSergey Lavrov” เลยต้องออกมาสรุปว่า..การส่งมอบเครื่องบินโจมตีที่มีขีดความสามารถในการใช้อาวุธนิวเคลียร์อย่าง F-16 ให้กับยูเครนนั้น ก็คือ... “การส่งสัญญาณจาก NATO ว่าพวกตะวันตกพร้อมแล้วที่จะทำสงครามนิวเคลียร์กับรัสเซีย...”
ความกระเหี้ยนกระหือรือ ความกระหายสงครามแบบไม่คิดจะบันยะ-บันยัง...ของบรรดาชาติตะวันตกไม่ว่าคุณพ่ออเมริกาและชาติสมาชิก NATO นั้น ออกจะเป็นอะไรที่น่าตื่นตะลึงพรึงเพริด น่าขนลุกขนพอง น่าหวาดหวั่นขวัญสยอง ชนิดยากจะหาคำอธิบายได้ง่ายๆ จนกระทั่งโฆษกเครมลิน อย่าง “นายDmitry Peskov” ต้องหันไปใช้คำว่า “Ecstasy” หรือมีลักษณะอาการคล้ายๆ กำลังเสียวซ่านใกล้ๆ จะออกัสซั่มต่อสิ่งที่เรียกว่า “สงคราม” อย่างชนิดแทบไม่น่าเชื่อแต่ก็คงต้องเชื่ออย่างมิอาจปฏิเสธได้ หรือกระทั่งนักคิด-นักเขียน คอลัมนิสต์ระดับโลก อย่าง “นายPepe Escobar” ยังอดไม่ได้ต้องฟันธง-ฟันเฟิร์มไว้ในข้อเขียน บทความชิ้นล่าสุดไว้ว่า “The West is Hell-Bent on Provoking Russia Into Hot war” หรือประมาณว่าตะวันตกได้ตกลงใจแล้วที่จะ “ลงนรก!!!” ในการปลุกกระตุ้นให้เกิดสงครามร้อนๆ กับชาตินิวเคลียร์อย่างรัสเซีย เพราะด้วย “อารมณ์คลั่งอย่างรุนแรง” (frantic) เช่นนี้ ย่อมก่อให้เกิดการยกระดับสถานการณ์ไปสู่ “สงครามนิวเคลียร์” ได้ไม่ยากส์ส์ส์...
ด้วยเหตุเพราะไม่ว่าใครก็ตามที่เป็นชาวรัสเซีย ต่างถูกทำให้เกิดความรู้สึกไปในแนวเดียวกันว่าตัวเองและประเทศชาติกำลังเผชิญหน้าโดยตรงกับชาติมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริการวมทั้งชาติสมาชิก NATO อีก 31 ประเทศ การงัดเอาอาวุธทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่มีอยู่ในมือ มาใช้ปกป้องตัวเอง จึงกลายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ชอบธรรม หรือเป็นไปตาม “หลักนิยม” ของการใช้อาวุธนิวเคลียร์ที่มีไว้เพื่อตอบโต้กับภัยคุกคามซึ่งอาจก่อให้เกิดการสิ้นชาติ สูญชาติ เอาง่ายๆ หรืออย่างที่ “Konstantin Gavrilov” ตัวแทนรัสเซียในการเจรจาด้านความมั่นคงทางทหารและการควบคุมอาวุธ ณ กรุงเวียนนา ได้สรุปเอาไว้นั่นแหละว่า... “พวกที่ชอบความก้าวร้าวรุนแรงทั้งหลาย จะต้องยอมรับความจริงว่า...ถ้าหากพวกเขาโจมตีเรา เราก็ควรมีสิทธิที่จะตอบโต้ในลักษณะใดก็ตาม ตามขีดความสามารถเท่าที่เรามี...” หรือดังที่ “Dmitry Suslov” ประเมินว่า “พวกตะวันตกคิดว่ารัสเซียไม่กล้าที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ แต่ความพยายามกดดันรัสเซียด้วยการส่งมอบขีปนาวุธพิสัยให้ยูเครนเอามาโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย ก็คือการทำให้รัสเซียมีสิทธิโดยชอบธรรมตามหลักนิยมแห่งการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ในการตอบโต้และป้องกันตัวเองได้อย่างเต็มที่นั่นเอง...”
สรุปเอาเป็นว่า...แนวโน้มที่จะเกิด “สงครามโลก” แถมยังอาจกลายเป็น “สงครามนิวเคลียร์” อีกด้วยต่างหาก นับวันยิ่งทำท่าว่าจะเป็นไปได้สูงยิ่งเข้าไปทุกที อันเนื่องมาจากความ “เสียวซ่าน” หรือ “อารมณ์คลั่งสุดขีด” ของบรรดาชาติตะวันตกทั้งหลายนั่นแหละเป็นหลัก ที่ไม่คิดจะหาทางออก-ทางไป หรือ “ทางรอด” ใดๆ เอาไว้ให้กับบรรดาชาวโลกไว้เลยแม้แต่น้อย แม้แต่ทางออกที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด อันเป็นสิ่งที่ผู้นำฮังการี “นายViktor Orban” ท่านยังอุตส่าห์รอลุ้นไปตามมี-ตามเกิด นั่นคือการหวนกลับมาเป็นผู้นำอเมริกาของ “ทรัมป์บ้า” ก็ยังดันถูกปิดตาย ด้วยการจับอดีตประธานาธิบดีเข้าคุกซะดื้อๆ!!! ด้วยเหตุนี้...บรรดาเราๆ-ทั่นๆ ทั้งหลาย ที่แม้จะเกี่ยวอะไรกับบรรดาความขัดแย้งในแนวรบต่างๆ ด้วยเลย แต่คงหนีไม่พ้นต้องรีบหันมาเตรียมข้าวสาร-อาหารแห้ง ครีมกันแดดที่เผื่อๆ อาจพอช่วยป้องกันกัมมันตรังสีได้เล็กๆ น้อยๆ หรืออาจรวมเอายาฟ้าทะลายโจรของ “อาจารย์ปานเทพ” ไปด้วยก็คงไม่ถึงกับเสียหลาย ส่วนที่น่าจะขาดไม่ได้ก็คือ “คาถาชินบัญชร” เพื่อเอาไว้สวดภาวนาอย่างน้อยวันละ 3 เวลาหลังอาหาร ฯลฯ เพราะนอกเหนือไปจากนี้ คงมิอาจทำอะไรได้เลย...