ณ บ้านพระอาทิตย์
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
ในสถานการณ์ที่โลกในปัจจุบัน กำลังท้าทายต่อมาตรฐานและจรรยาบรรณในเรื่องการปกปิดข้อมูล โดยเฉพาะผลกระทบจากวัคซีนว่าจะไปในทิศทางใด
กรณีผู้เสียหายการฟ้องร้องชนะคดีต่อบริษัทวัคซีนให้ชดใช้ค่าเสียหายก็ดี หรือการที่บริษัทวัคซีนบางแห่งต้องยุติใบอนุญาตทางการตลาดในการจำหน่ายวัคซีนก็ดี หรือแม้แต่การที่บริษัทวัคซีนยอมจ่ายค่าชดเชยผู้ที่ได้รับความเสียหายเพื่อป้องกันมิให้ศาลตัดสินคดีก็ดี สะท้อนให้เห็นถึง “ขบวนการการปกปิดข้อมูล” ของบริษัทวัคซีนนั้นมีอยู่จริง
“ขบวนการปกปิดข้อมูล” นั้นยังลุกลามไปถึงการปิดกั้นข้อมูลในการเผยแพร่ข้อมูลความเป็นจริงในเรื่องผลกระทบจากวัคซีนในโซเชียลมีเดียทั่วโลก งานวิจัยหลายชิ้นถูกปิดกั้นไม่ให้มีการถูกตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ได้ สัญญาซื้อขายระหว่างรัฐบาลกับบริษัทวัคซีนเป็นความลับไม่สามารถเปิดเผยได้
อย่างไรก็ตาม ประชาชนทั่วโลกน่ายอมรับวัคซีนที่ไม่ได้ผ่านขั้นตอนวิจัยปกติได้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่โรคระบาดนั้นมีความรุนแรงทำลายสุขภาพถึงแก่ชีวิต การปกปิดข้อมูลของรัฐบาลทั่วโลกอาจมีเหตุผลหรือความจำเป็นในกรณีการเร่งรณรงค์ให้ประชาชนฉีดวัคซีนเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันรวมหมู่
แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้วในสถานการณ์ที่ไม่ฉุกเฉินแล้ว เช่น โรคไม่ได้มีความรุนแรงแล้ว อย่างน้อยประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีน ควรจะมีสิทธิขั้นพื้นฐานในการรับรู้ความจริงที่เกิดขึ้น ว่าความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นผลกระทบจากการฉีดวัคซีนมากน้อยเพียงใด
ไม่ว่าคนที่ได้รับผลกระทบนั้นจะมากหรือน้อยก็ตาม เพราะคนเหล่านั้นเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะการรับรู้ความจริง การยอมรับความจริงเท่านั้น จึงจะนำไปสู่หนทางในการรักษาเยียวยาในผลกระทบนั้นได้
แต่น่าเสียดายที่ขบวนการปกปิดข้อมูลยังคงดำเนินต่อไปแม้ว่าจะสถานการณ์ไม่ได้ฉุกเฉินแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ ภาครัฐบาล แม้แต่องค์การอนามัยโลก กลับนิ่งเฉยในข่าวสารและคดีความต่างๆ ในเรื่องการปกปิดข้อมูล และผลกระทบของวัคซีนที่มากขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีหลักฐานเพิ่มมากขึ้นว่ามีขบวนการจัดหาทุนแสวงหาและตัดต่อพันธุกรรมไวรัสที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อใช้สำหรับการเผยแพร่จากห้องปฏิบัติการเหล่านั้น และแสวงหาผลประโยชน์อันมหาศาลจากวัคซีนที่มีการจดสิทธิบัตรเอาไว้ล่วงหน้า องค์การอนามัยโลก รัฐบาล และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกลับนิ่งเฉยกับเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร
เมื่อขบวนการทำธุรกิจเรื่องวัคซีนหรือบริษัทยาข้ามชาติ และการปกปิดข้อมูลได้ถูกประชาชนในหลายประเทศมีความเคลือบแคลงสงสัยมากขึ้น ย่อมทำให้ทิศทางของการพึ่งพาตัวเองในเรื่องสุขภาพและทางการแพทย์ของแต่ละประเทศควรจะต้องรองรับให้มีความเข้มแข็งขึ้น
การแพทย์ตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นการแพทย์แผนไทย การแพทย์แผนจีน การแพทย์อายุรเวทอินเดีย คือการแพทย์ที่จะต้องต่อยอด พัฒนา เพื่อนำไปสู่การพึ่งพาตัวเองให้ได้มากขึ้น
โดยเฉพาะสำหรับคนทั่วไปอาจไม่ทราบว่า วิวัฒนาการที่การแพทย์แผนตะวันออก การแพทย์แผนไทย การแพทย์แผนจีน ได้เข้าสู่ระบบการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยที่มาพร้อมกับสภาวิชาชีพตามกฎหมายนั้น ได้ทำให้องค์ความรู้ในศาสตร์ภูมิปัญญาจะทำให้ต้องมีการ “วิจัย” และ “พัฒนา” อย่างต่อเนื่อง
ด้วยเหตุผลนี้ทำให้การเรียนในวิชาการแพทย์ภูมิปัญญา ไม่ว่าจะเป็นการแพทย์แผนไทยบัณฑิต การแพทย์แผนจีนบัณฑิต หรือการแพทย์แผนตะวันออก ก็ต้องไปเรียนพื้นฐานที่สำคัญทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพด้วย เช่น ภูมิคุ้มกันวิทยา จุลชีววิทยา สรีรวิทยา ชีวเคมีการวิจัย เภสัชวิทยาและพิษวิทยาของพืช เภสัชพฤกษศาสตร์และสมุนไพร การทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพของสมุนไพร การประเมินความปลอดภัย การตรวจร่างกายและวินิจฉัยโรค ฯลฯ
ซึ่งในที่สุดแล้ว การใช้สมุนไพรในมิติต่างๆ ของ การแพทย์แผนไทยบัณฑิต แพทย์แผนจีนบัณฑิต แพทย์แผนตะวันออก ในมหาวิทยาลัย ก็ย่อมต้องมาผนวกรวมกันใช้ประโยชน์ที่พิสูจน์ด้วยการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้นการเรียนการสอนด้านการใช้สมุนไพร การแปรรูปสมุนไพร ในเรียนแพทย์แผนไทยบัณฑิต หรือการแพทย์แผนจีนบัณฑิต ยังต้องเรียนยาแผนปัจจุบันไปด้วย เพื่อทำให้การจ่ายยาผลิตภัณฑ์สมุนไพรไม่ขัดหรือแย้งกับยาแผนปัจจุบัน หรือแม้แต่การระมัดระวังในการจ่ายยาสมุนไพร
ตัวอย่างเช่น ยาหอมชนิดในช่วยลดความดันโลหิตได้แบบไหนในเวลาเท่าไหร่ ยาหอมหรือสมุนไพรช่วยลดโรคซึมเศร้าได้ กลิ่นจากสมุนไพรหรือยาดมชนิดไหนมีผลต่อสุขภาพอย่างไร สมุนไพรใดที่ช่วยลดอาการปวดตามข้อและกล้ามเนื้อของผู้สูงวัยยาสมุนไพรตำรับไหนสามารถยับยั้งมะเร็งชนิดไหนได้บ้าง การใช้สมุนไพรที่มีต่อผิวพรรณความงามหรือมาเป็นเวชสำอาง ฯลฯ ตัวอย่างงานสมุนไพรที่กล่าวมาข้างต้น นับวันก็มีงานวิจัยที่ชัดเจนมากขึ้นทุกปี
แม้แต่ผลกระทบจากวัคซีน หรือภาวะลองโควิด-19 ก็พบว่าหลายคนมีอาการดีขึ้นจากการใช้สมุนไพร และหัตถการในการแพทย์แผนตะวันออก
โดยในปี 2567 ตลาดสมุนไพรไทยจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท และจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดการณ์ว่าในปี 2569 ตลาดสมุนไพรไทยจะมีมูลค่าสูงถึง 59,500 ล้านบาท ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางด้านสมุนไพรอย่างมาก เพราะมีการซื้อขายสมุนไพรมากกว่า 1,800 ชนิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศไทยมีการส่งออกวัตถุดิบสมุนไพรคุณภาพและผลิตภัณฑ์สมุนไพรเป็นอันดับ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเคยคิดเป็นมูลค่ากว่า 12,211 ล้านบาท
เช่นเดียวกับ หัตถการ ไม่ว่าจะเป็นการกดจุด การกอกโลหิต การฝังเข็ม การเผายา การประคบ การนาบยา การกัวซา ฯลฯ นับวันก็จะมีงานวิจัยที่พิสูจน์หาความจริงมากขึ้นทุกวัน และทำให้เป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์และสุขภาพมากขึ้นด้วย
ยังไม่นับภูมิปัญญาตะวันออกที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชน ทั้งในเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย และการบริหารจัดการอารมณ์และจิตเพื่อสุขภาพ นับวันก็ยิ่งมีความสำคัญต่อมนุษยชาติที่มีงานวิจัยและก้าวหน้ามากขึ้น
โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ประเทศไทยที่ได้เข้าสู่ยุคสังคมผู้สูงวัยมากขึ้นทุกวัน ความจำเป็นที่จะต้องมีการแพทย์ภูมิปัญญา ที่มีการบูรณาการควบคู่กับวิทยาศาสตร์สุขภาพยุคใหม่ ที่มีการวิจัยอย่างต่อเนื่องยิ่งมีความจำเป็นมากขึ้น
ถึงขนาดว่ากระทรวงสาธารณสุขได้เสนอโครงการผลิตกำลังคนด้านการสาธารณสุขเพิ่มเติม 9 สาขา 62,000 คน ซึ่งรวมถึงแพทย์แผนไทย
ยิ่งผลของสุขภาพของผู้ป่วยหรือประชาชนทั่วไปได้ผลดีมากขึ้นจากการแพทย์ภูมิปัญญา ก็ยิ่งทำให้การแพทย์แผนไทย การแพทย์แผนจีน การแพทย์แผนตะวันออกได้รับความนิยมมากขึ้น และมีความสำคัญมากขึ้นทุกวัน
ความสำคัญของการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกมีความสำคัญเพียงใด และได้รับการยอมรับมากน้อยเพียงใด ก็ให้ลองพิจารณาจาก ประกาศคณะกรรมการมาตรฐานอุดมศึกษา เรื่อง มาตรฐานคุณวุฒิในสาขาวิชาแพทยศาสตร์ ระดับปริญญาตรี พ.ศ. 2566 ฉบับลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2567 ความว่า
“1.ด้านความรู้ (แพทยศาสตร์ ระดับปริญญาตรี) สามารถนำหลักการพื้นฐานและความรู้ดังต่อไปนี้ เพื่อการบริการสุขภาพ
1.1 ความรู้ในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ได้แก่วิทยาศาสตร์การแพทย์ รวมทั้ง การแพทย์แผนไทย การแพทย์ทางเลือก และเทคโนโลยีการแพทย์“
หมายความว่าในอนาคตการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือกจะยิ่งได้รับความเข้าใจหรือมีบทบาทมากขึ้นจากวงการแพทย์ยิ่งกว่านี้อย่างแน่นอน
ปัจจุบันนี้ วิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ได้เปิดรับสมัครแล้วสำหรับคนที่ต้องการเรียนปริญญาตรี 3 สาขา ได้แก่ หลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต การแพทย์แผนตะวันออก, หลักสูตรแพทย์แผนไทยบัณฑิต, และ หลักสูตรการแพทย์แผนจีนบัณฑิต ดังรายละเอียดต่อไปนี้
หลักสูตรแรก วิทยาศาสตร์บัณฑิต การแพทยแผนตะวันออก (ในปี 2568 จะเปลี่ยนชื่อเป็น วิทยาศาตร์บัณฑิต นวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร) เรียน 4 ปี
โดยหลักสูตรนี้บูรณาการองค์ความรู้จากภูมิปัญญาเภสัชกรรมไทย ต่อยอดสู่การวิจัยพัฒนาให้ทันสมัยในรูปแบบต่างๆ ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโลยี เรียนการควบคุณภาพตั้งแต่วัตถุดิบ จนถึงเป็นผลิตภัณฑ์ การพัฒนาสารสกัด การทดสอบประสิทธิผล และความปลอดภัย เพื่อให้ได้เวชภัณฑ์ยา ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เครื่องสำอาง ตลอดจนผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ทันสมัย มีคุณภาพ มีประสิทธิผลและปลอดภัย เรียนการออกแบบผลิตภัณฑ์ การสร้างแบรนด์ ช่องทางการทำการตลาด ในสื่อโซเชียลต่างๆ เพื่อสร้างผู้ประกอบการด้านผลิตภัณฑ์สมุนไพร และทำวิจัยในโครงการพิเศษ (Spacial Projects)
นอกจากนั้นผู้ที่เรียนหลักสูตร วิทยาศาสตร์บัณฑิต การแพทยแผนตะวันออก
• มีสิทธิ์สอบใบประกอบวิชาชีพสาขาการแพทย์แผนไทย ด้านเภสัชกรรมไทย
• การประกอบอาชีพ เป็นผู้ประกอบการด้านยาและผลิตภัณฑ์สมุนไพร ร้านขายยาและผลิตภัณฑ์สมุนไพร (green phamarcy) โรงงานผลิตยาสมุนไพร หรือเป็นนักวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพร ซึ่งรวมถึง ยาแผนไทย อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์สุขภาพ เครื่องสำอาง
หลักสูตรที่สอง หลักสูตรการแพทย์แผนไทยบัณฑิต (พท.บ) เรียน 4 ปี
หลักสูตรนี้บูรณาการแพทย์วิทยาศาสตร์สุขภาพยุคใหม่กับภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยทั้งด้านเวชกรรมไทย เภสัชกรรมไทย กัญชาศาสตร์ทางการแพทย์ การนวดไทย และผดุงครรภ์ การดูแลมารดาและเด็ก
เรียนการตรวจวินิจฉัยหาสมุฏฐานเหตุการเกิดโรค ความเจ็บป่วยหรือเสียสมดุล เพื่อการรักษาโรค การฟื้นฟู การป้องกัน การปรับสมดุลตรีธาตุ รวมถึงการส่งเสริมสุขภาพและชะลอวัย ด้วยตำรับยาสมุนไพรและหัตถการต่างๆที่บูรณาการด้วยหลักการแพทย์แผนไทย จีน อายุรเวท เรียนโครงสร้างยาตำรับ การตั้งตำรับยาเฉพาะรายรสยา การวิเคราะห์ตำรับเพื่อการจ่ายยาตามกองพิกัดสมุฎฐาน การอ่านผลตรวจทางวิทยาศาสตร์เพื่อประเมินพยาธิสภาพหรือติดตามผลการรักษา การใช้กัญชาในการแพทย์แผนไทย การบริหารจัดการร้านยาและคลินิกการแพทย์แผนไทย ทำวิจัยในโครงการพิเศษ (Special Projects)
นอกจากนั้นผู้ที่เรียนหลักสูตร การแพทย์แผนไทยบัณฑิต
• สอบใบประกอบวิชาชีการแพทย์แผนไทย 4 ด้าน (ด้านเวชกรรมไทย เภสัชกรรมไทย การนวดไทยและการผดุงครรภ์ไทย)
• การประกอบอาชีพ สามารถเป็นแพทย์แผนไทยในโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนหรือเปิดคลินิกแพทย์แผนไทย หรือเปิดสถานพยาบาลด้านการแพทย์แผนไทย(คลินิกหรือ เวลเนส) ของตนเอง หรือทำงานในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ (สปานวดเพื่อสุขภาพ)
• เป็นเภสัชกรแผนไทย ประจำร้านขายยาและโรงงานผลิตยาสมุนไพร
• เป็นผู้ประกอบธุรกิจการผลิตตำรับยาแผนไทย/แผนโบราณ และผลิตภัณฑ์สุขภาพในระดับอุตสาหกรรม
หลักสูตรที่สาม หลักสูตรการแพทย์แผนจีน (พจ.บ) ใช้เวลาเรียน 6 ปี
• ปริญญาการแพทย์แผนจีน 2 ใบจากมหาวิทยาลัยรังสิต และมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนนานกิง ประเทศจีน (เป็นมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนแห่งแรกของประเทศจีน)
• ไม่ต้องมีพื้นฐานภาษาจีน
เรียนการแพทย์แผนจีน การใช้ยาจีน ตำรับยาจีน ฝังเข็ม ครอบแก้ว การนวดทุยหนา ฯลฯ ด้วยมาตรฐาน เดียวกับมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนชั้นนำ จากประเทศจีน บูรณาการตรวจวินิจฉัย ทางการแพทย์แผนปัจจุบันและการใช้สมุนไพรไทยร่วมกัน เรียนรู้การผลิตและการควบคุณภาพตำรับยาจีนตามหลักการทางเภสัชกรรมแผนปัจจุบัน
• การประกอบอาชีพ สามารถเป็นแพทย์แผนจีนในโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนหรือเปิดคลินิกแพทย์แผนจีน หรือเป็นแพทย์แผนจีนทำงานร่วมกับสหวิชาชีพในโรงพยาบาล คลินิก หรือสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ
เช่นเดียวกับหลักสูตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการแพทย์แผนตะวันออก ซึ่งมีทั้งด้านกลุ่มวิชาด้านคลินิก และกลุ่มวิชาด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพร
โดยทุกหลักสูตรสามารถกู้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้ 200,000 บาทต่อปีรับทั้งสายวิทย์และสายศิลป์ “รับจำนวนจำกัด”
สนใจการศึกษาปริญญาตรีติดต่อ รับตรงได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 9 มิถุนายน 2567 (แต่หากเต็มก่อนจะปิดรับสมัครทันที) ที่วิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต โทร. 0855536533
และสนใจการศึกษาปริญญาโทติดต่อรับตรงได้ที่ วิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต โทร. 0862697521
ด้วยความปรารถนาดี
อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต