หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เศรษฐีหมื่นล้านที่ลงมาเล่นการเมือง ซื้อบ้านชานกรุงปารีสที่เคยเป็นบ้านพักของปรีดี พนมยงค์ ด้วยเงิน 63,788,000 ล้านบาท เขาเพิ่งบอกในวันไปฉลองบ้านพร้อมกับบรรดาเซเลบสามกีบเช่น สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ จรัล ดิษฐาอภิชัย ฯลฯ ว่าจะทำบ้านนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ประชาธิปไตยไทย และใช้เป็นสถานที่จัดงานของคนไทย และบอกว่าพร้อมจะมอบบ้านหลังนี้ให้กับรัฐบาลไทยในอนาคต ขณะที่มีรายงานจากสามกีบที่ลี้ภัยในฝรั่งเศสบอกว่าถูกเรียกเก็บเงิน 20 ยูโรสำหรับเข้าชมบ้าน
งานฉลองบ้านปรีดีที่ปารีสเป็นไปอย่างคึกครื้นมีการเปิดแชมเปญไวน์ฉลองและร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน ในขณะที่ที่กรุงเทพฯ มีงานฌาปนกิจศพของ บุ้ง เนติพร เสน่ห์สังคม หญิงสาวที่ยึดแนวทางที่พวกเขาปลูกฝังมาเพื่อเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์จนยอมสังเวยด้วยชีวิต
ธนาธรฝักใฝ่ 2475 และปรีดีอย่างไม่ต้องสงสัย เขาเคยประกาศว่า เขาจะต้องเดินหน้าสานต่อภารกิจ 2475 ที่ยังทำไม่สำเร็จ 4 ด้านคือ 1.การปฏิรูประบบราชการรวมศูนย์ ยุติการผูกขาดอำนาจและงบประมาณที่กรุงเทพฯ 2.การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม 3.การปฏิรูปสถาบัน และ 4.การปฏิรูปกองทัพ
ธนาธรพูดชัดเจนว่า เป้าหมายของเขาหนึ่งใน 4 คือ การปฏิรูปสถาบันซึ่งหมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์นั่นเอง แต่เมื่อเรื่องนี้ร้อนแรงขึ้น ธนาธรได้อธิบายในเวลาต่อมาว่า ภารกิจที่ยังทำไม่สำเร็จ และพรรคอนาคตใหม่จะสานต่อ คือ การสร้างประชาธิปไตยที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ภารกิจ 2475 ไม่ใช่ล้มล้างสถาบันฯ อย่างที่เราถูกใส่ร้าย
ในขณะที่สกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ น้องชายของเขาถูกศาลอาญาคดีทุจริตกลาง ตัดสินจำคุก 6 เดือน ฐานติดสินบนเจ้าพนักงาน และนายหน้าเป็นเงินจำนวน 20 ล้านบาท เพื่อเช่าที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 2 แปลงใน ซอยร่วมฤดี และ ย่านชิดลม
การรัฐประหาร 2475 ด้วยการร่วมกับนายทหารบางคนของปรีดีในการหลอกทหารมารวมกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยลวงทหารว่าจะทำการฝึกครั้งสำคัญ คือฝึกยุทธวิธีทหารราบต่อสู้รถถัง ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า ในวันที่ 24 มิถุนายน รวมทั้งหลอกลวงทหารบางส่วนว่าเกิดการกบฏขึ้นแล้วให้รีบนำมากำลังทหารออกมา แล้วทหารที่ไปรวมตัวที่ลานพระรูปต่างก็พากันงุนงงเมื่อได้ยินแถลงการณ์ของคณะราษฎรที่ประกาศออกมา ทหารส่วนใหญ่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการปฏิวัติคืออะไร เพราะไม่เคยประสพพบมาก่อน
ภารกิจ 2475 ของคณะราษฎรนั้นจึงเป็นภารกิจที่เต็มไปด้วยการหลอกลวง ใครที่ติดตามแอนิเมชั่น 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติก็น่าจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ดีว่า ในหลวงรัชกาลที่ 7 นั้น เตรียมตัวที่จะร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้ประเทศไทยเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้วแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ปรีดีและพวกชิงสุกก่อนห่ามด้วยการหลอกลวงทหารออกมายึดอำนาจเสียก่อน
และต่อมาปรีดีก็สารภาพออกมาในวัยที่ร่วงโรยว่า เมื่อเราเริ่มจัดตั้งกลุ่มแกนกลางของพรรคอภิวัฒน์ในปารีส ข้าพเจ้ามีอายุเพียง 25 ปี เท่านั้น หนุ่มมาก หนุ่มทีเดียว ขาดความจัดเจน แม้ว่าข้าพเจ้าได้รับปริญญาแล้วและได้คะแนนสูงสุด แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าทางทฤษฎี ข้าพเจ้าไม่มีความเจนจัด และโดยปราศจากความเจนจัด บางครั้งข้าพเจ้าประยุกต์ทฤษฎีอย่างนักตํารา ข้าพเจ้าไม่ได้นําเอาความเป็นจริงในประเทศของข้าพเจ้ามาคํานึงด้วย ข้าพเจ้าติดต่อกับประชาชนไม่พอ ความรู้ทั้งหมดของข้าพเจ้าเป็นความรู้ตามหนังสือ ข้าพเจ้าไม่ได้เอาสาระสำคัญของมนุษย์มาคํานึงด้วยให้มากเท่าที่ข้าพเจ้าควรจะมี ในปี ค.ศ. 1932(พ.ศ.2475) ข้าพเจ้าอายุ 32 ปี พวกเราได้ทําการอภิวัฒน์ แต่ข้าพเจ้าก็ขาดความจัดเจน และครั้นข้าพเจ้ามีความจัดเจนมากขึ้น ข้าพเจ้าก็ไม่มีอํานาจ
ถ้าหากวันนั้นประเทศไทยของเรามีประชาธิปไตยแบบค่อยเป็นค่อยไป และให้ประชาชนมีความพร้อมที่จะเรียนรู้ระบอบการปกครองแบบใหม่ วันนี้ประชาธิปไตยของไทยก็คงจะไม่ล้มลุกคลุกคลานแบบนี้ก็ได้
ดูเหมือนภารกิจที่ทำไม่สำเร็จของคณะราษฎรในความหมายของธนาธรที่เขากำลังเร่งโหมไฟก็คือการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ เพราะเขาสามารถปลุกคนรุ่นใหม่ให้ออกมาบนท้องถนนพร้อมกับข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์และเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 ด้วยการกล่าวหาว่าเป็นมาตราที่ปิดกั้นเสรีภาพและความเห็นต่าง ทั้งที่จริงบทบัญญัติของมาตรานี้ชัดแจ้งอยู่แล้วว่า ห้ามดูหมิ่น หมิ่นประมาทอาฆาตมาดร้ายพระกษัตริย์ ราชินี และรัชทายาท แม้การประพฤติแบบนั้นตามบทบัญญัติของกฎหมายกับคนธรรมดาก็เป็นการต้องห้าม
เป้าหมายการสานต่อภารกิจของคณะราษฎรและ 2475 ของธนาธร ถูกส่งจากพรรคอนาคตใหม่มาถึงพรรคก้าวไกลในมือของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ด้วยการประกาศว่าจะทำประเทศไทยไม่ให้เหมือนเดิม วันนี้เราไม่รู้หรอกว่า ประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิมของเขามีเป้าหมายสูงสุดที่ตรงไหน และอะไรที่พวกเขาจะสานต่อภารกิจของคณะราษฎรที่ยังทำไม่สำเร็จ แต่ที่เราเห็นชัดเจนก็คือ ความมุ่งหมายที่จะลดทอนบทบาทและสถานะของพระมหากษัตริย์นั่นเอง
พิธาประกาศอย่างมั่นใจว่า เป้าหมายไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไม่ให้เหมือนเดิมของพวกเขาจะสำเร็จลงในการเลือกตั้งครั้งหน้า เมื่อเขาประกาศในงาน Policy Fest ครั้งที่ 1 ของพรรคก้าวไกลว่า เอาความไว้วางใจที่มั่นใจว่าคราวหน้าจะได้มากขึ้นอีก สงสัยคราวหน้าต้อง 270 เสียงเสียแล้ว หรือจะเอา 300 เสียง ตามตรรกะคูณ 2 แต่ผมไม่ได้พูดเล่นๆ ไม่ได้พูดเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีวาระที่ต้องการจะขับเคลื่อน
หากพรรคก้าวไกลได้ที่นั่งอย่างที่พิธาประกาศไว้ได้จริงในการเลือกตั้งครั้งหน้า แน่นอนว่า พวกเขาจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลและยึดครองอำนาจรัฐได้สำเร็จ และเป้าหมายเดียวที่พวกเขาจะเป็นรัฐบาลได้ก็คือ ต้องได้เสียงเกินครึ่งหนึ่งของจำนวนส.ส.ด้วยพรรคของตัวเอง เพราะถึงแม้เขาจะชนะเลือกตั้งแบบครั้งที่แล้ว แต่ได้ไม่ถึงครึ่งก็จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะพรรคการเมืองอื่นจะจับมือกันเพื่อสกัดไม่ได้ให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาลอย่างแน่นอน
แต่ใครมีจินตนาการบ้างว่า หากพรรคก้าวไกลได้อำนาจรัฐ พวกเขาจะสานต่อภารกิจคณะราษฎรอย่างไร เป็นไปตามเป้าหมาย 4 ข้อที่ธนาธรประกาศว่า และ 1 ในนั้นคือ การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่ พวกเขาจะยกเลิกมาตรา 112 ไหม และพวกเขาจะแก้รัฐธรรมนูญหมวดพระมหากษัตริย์เพื่อลดทอนพระราชอำนาจไหม และประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิมจะมีหน้าตาอย่างไร จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐไหม
ปิยบุตร แสงกนกกุล เคยบอกว่า วิธีการที่ดีที่สุดที่จะทำให้ประเทศไทยไม่เป็นสาธารณรัฐ คือ การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ เขาพยายามอธิบายให้เห็นว่า ไม่มีทางเลือกไปมากกว่านี้ อย่าทิ้งโอกาสในการปฏิรูปสถาบัน อย่าทิ้งโอกาสในเวลาที่ทุกฝ่ายยังควบคุมสถานการณ์ได้อยู่ จนสุดท้ายไม่รู้จะไปจบตรงไหน
ปิยบุตรบอกว่า สถาบันกษัตริย์แต่ละยุคแต่ละสมัยมีการปรับตัวให้ทันยุคทันสมัยอยู่ตลอดเวลา แล้วเผชิญหน้ากับความท้าทายมาตลอด รอบนี้ก็เป็นอีกรอบหนึ่ง ที่สถาบันกษัตริย์กำลังเผชิญความท้าทายใหม่อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน หากลองไปสำรวจตรวจสอบทั่วโลก ประเทศที่ยังรักษาสถาบันกษัตริย์เอาไว้ได้อยู่ ก็คือประเทศที่เป็นประชาธิปไตย เว้นแต่จะเลือกให้ประเทศไทยเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเลย
เป้าหมายของพวกเขาอยู่ที่การเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นอย่างเร็ว แต่หลายคนมองว่า หากจะยังยากที่จะชนะในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่ในอนาคตพวกเขาจะชนะเลือกตั้งและได้จัดตั้งรัฐบาลอย่างแน่นอน มีคนมองว่า การสามารถชนะพรรคเพื่อไทยและได้รับการเลือกตั้งเป็นอันดับ 1 ในครั้งที่แล้ว เพราะคนจำนวนหนึ่งต้องการการเปลี่ยนแปลง เพราะการอยู่ในอำนาจอย่างยาวนานของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ในขณะที่คนจำนวนหนึ่งเริ่มมองว่า การกลับมาของทักษิณ ด้วยความมมังการยิ่งกว่าเดิม ความเหลื่อมล้ำของกระบวนการยุติธรรมจากที่ทักษิณไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียวหรือสุดท้ายหากสามารถพายิ่งลักษณ์กลับบ้านโดยไม่ต้องติดคุกเช่นทักษิณอีก เพราะทักษิณถือ ”ดีล” สำคัญอาจจะกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่อาจกระตุ้นให้คนส่วนใหญ่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามาบริหารประเทศ
อยู่ที่ว่าเราพร้อมจะยอมรับประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิมและเป้าหมายการทำภารกิจ 2475 ให้สำเร็จของพวกเขาไหม ซึ่งคงเป็นเรื่องที่คนไทยส่วนใหญ่จะต้องร่วมกันพิจารณาว่าเราพร้อมจะเผชิญกับชะตากรรมนั้นไหม
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan