ผศ.ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
สาขาวิชาสถิติศาสตร์
สาขาวิชาพลเมืองวิทยาการข้อมูล
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
รัฐบาลพรรคเพื่อไทย นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และอาจจะมีนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง ได้พยายามผลักดันนโยบายประชานิยม โดยการแจกเงินให้ประชาชน ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 70,000 บาท และมีเงินฝากทุกบัญชีรวมกันทุกธนาคารไม่เกิน 500,000 บาท ให้ได้รับเงินคนละ 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ของรัฐบาล ซึ่งน่าจะใช้เงินประมาณหกแสนถึงเจ็ดแสนล้านบาท หรือก่อให้เกิดความเสียหายหรือเกิดหนี้สาธารณะให้กับประเทศไทยค่อนข้างใกล้เคียงกับโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
อุปสรรคของโครงการนี้คือจะไปหาเงินมาจากที่ไหน ปัญหาใหญ่ลำดับที่หนึ่งที่ยังไม่อาจจะแก้ไขได้เลยคือ พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังภาครัฐ พ.ศ. 2561 ซึ่งตราขึ้นในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรี
ประการแรก รัฐบาลต้องรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด การแจกเงินหนึ่งหมื่นบ้านประมาณหกเจ็ดแสนล้านบาทต่อปี ไม่มีทางเป็นวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด แต่เป็นการใช้เงินมหาศาลเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติที่ไม่ชัดเจนและไม่มีความจำเป็น อันเป็นการขัดกับกฎหมายนี้ที่บัญญัติไว้ว่า
มาตรา 6 รัฐต้องดําเนินนโยบายการคลัง การจัดทํางบประมาณ การจัดหารายได้ การใช้จ่าย การบริหารการเงินการคลัง และการก่อหนี้ อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใสและตรวจสอบได้ ทั้งนี้ ตามหลักการรักษาเสถียรภาพและการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และหลักความเป็นธรรมในสังคมและต้องรักษาวินัยการเงินการคลังตามที่บัญญัติในพระราชบัญญัตินี้และตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ประการที่สอง รัฐอาจจะก่อภาระทางการเงินการคลังได้ก็ต่อเมื่อ คุ้มค่า มีประโยชน์ มีความยั่งยืนทางการคลัง การใช้เงินเพื่อก่อให้เกิดหนี้สาธารณะราวหกเจ็ดแสนล้านบาทอย่างเช่นการแจก Digital Wallet หนึ่งหมื่นบาทต่อคน ไม่คุ้มค่า ไม่มีประโยชน์ ไม่ยั่งยืน เพราะไม่ได้ทำให้ประชาชนมีศักยภาพในการทำมาหากินหรือทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เมื่อไม่ได้ส่งผลดีต่อโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ศักยภาพของประเทศ ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ หรือแม้แต่เพิ่มทักษะความสามารถของทรัพยากรของประเทศแต่อย่างใด โครงการ Digital Wallet แจกเงินหนึ่งหมื่นบาทของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ย่อมขัดกับ พรบ. ฉบับนี้ที่บัญญัติไว้ว่า
มาตรา 7 การกู้เงิน การลงทุน การตรากฎหมาย การออกกฎ หรือการดําเนินการใด ๆ ของรัฐที่มีผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ ต้องพิจารณาความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐด้วย
ประการสาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ ห้ามรัฐบาลใช้นโยบายประชานิยมเพื่อมุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศในระยะยาว การแจกเงินหนึ่งหมื่นบาทต่อคนในโครงการ Digital Wallet จึงเป็นการขัดต่อกฎหมายในมาตรา 9 วรรคสองและวรรคสาม เพราะวรรคสองนั้นก่อให้เกิดทั้งความเสี่ยงและความเสียหายแต่การเงินการคลังของรัฐ และเป็นนโยบายประชานิยมเพื่อหาเสียงทางการเมืองอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการกำหนดอายุว่าผู้ที่จะได้รับเงินต้องมีอายุ 16 ปีขึ้นไป อีกสองปีก็จะมีอายุครบ 18 ปี เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรก (First-time voter) ซึ่งพรรคก้าวไกล คู่แข่งทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยเป็นผู้ครองตลาดกลุ่มเป้าหมายนี้อย่างชัดเจน การแย่งชิงฐานคะแนนเสียงทางการเมืองที่เดิมเป็นของพรรคการเมืองคู่แข่งจึงเป็นการใช้นโยบายเพื่อหาเสียงทางการเมืองอย่างชัดเจน ขัดกับมาตรา 9 ที่บัญญัติไว้ว่า
มาตรา 9 คณะรัฐมนตรีต้องรักษาวินัยในกิจการที่เกี่ยวกับเงินแผ่นดินตามพระราชบัญญัตินี้อย่างเคร่งครัด
ในการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวกับนโยบายการคลัง การจัดทํางบประมาณ การจัดหารายได้ การใช้จ่าย การบริหารการเงินการคลัง และการก่อหนี้ คณะรัฐมนตรีต้องพิจารณาประโยชน์ที่รัฐหรือประชาชนจะได้รับ ความคุ้มค่า และภาระการเงินการคลังที่เกิดขึ้นแก่รัฐ รวมถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐอย่างรอบคอบ
คณะรัฐมนตรีต้องไม่บริหารราชการแผ่นดินโดยมุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนในระยะยาว
ประการที่สี่ การก่อหนี้ของภาครัฐต้องรอบคอบ คุ้มค่า ไม่ก่อให้เกิดปัญหาเสถียรภาพและความยั่งยืน แต่ในความเป็นจริงโครงการ Digital Wallet เร่งรัดในการดำเนินการ โดยไม่มีการศึกษาความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์อย่างรอบคอบ และไม่มีทางคุ้มค่าเพราะเป็นการแจกเงินโดยไม่มีเงื่อนไขและเหตุผลอันสมควร ทั้งยังสร้างหนี้ให้ประเทศชาติมหาศาล เป็นการทำลายความมั่นคงทางการเงินการคลังของประเทศ เป็นการขัดต่อกฎหมายฉบับนี้มาตรา 49
นอกจากนี้การก่อหนี้ของรัฐที่เป็นกรณีพิเศษอย่างเช่นโครงการ Digital Wallet จะขัดกับ พรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐมาตรา 49 วรรคสอง เนื่องจากไม่มีวิกฤติของประเทศ ไม่มีความจำเป็น ไม่มีความเร่งด่วน แต่อย่างใด เมื่อเปรียบเทียบกับโครงการเราไม่ทิ้งกัน ที่เป็นมาตรการเยียวยาลูกจ้างชั่วคราว อาชีพอิสระ นอกระบบประกันสังคม ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 โดยได้รับเงินสนับสนุนรายละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน โครงการ เราชนะ โครงการ กำลังใจ โครงการ คนละครึ่ง ซึ่งใช้เงินมากมหาศาล แต่มีความจำเป็นเพื่อพยุงเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนอันเกิดจากวิกฤติโควิด-19 จึงไม่เป็นการขัดกับบทบัญญัติแห่งพรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ มาตรา 53 วรรคสองแต่อย่างใด
มาตรา 49 การก่อหนี้และการบริหารหนี้สาธารณะและหนี้ของหน่วยงานของรัฐต้องเป็นไป ตามกฎหมายและอยู่ภายใต้ขอบวัตถุประสงค์และอํานาจหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐผู้กู้ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ ของประเทศและของหน่วยงานของรัฐ โดยต้องกระทําด้วยความรอบคอบ และคํานึงถึงความคุ้มค่า ความสามารถในการชําระหนี้ การกระจายภาระการชําระหนี้ เสถียรภาพและความยั่งยืนทางการเงินการคลัง ตลอดจนความน่าเชื่อถือของประเทศและของหน่วยงานของรัฐผู้กู้
มาตรา 53 การกู้เงินของรัฐบาลนอกเหนือจากที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการบริหาร หนี้สาธารณะ ให้กระทรวงการคลังกระทําได้ก็แต่โดยอาศัยอํานาจตามกฎหมายที่ตราขึ้นเป็นการเฉพาะ
และเฉพาะกรณีที่มีความจําเป็นที่จะต้องดําเนินการโดยเร่งด่วนและอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติ ของประเทศ โดยไม่อาจตั้งงบประมาณรายจ่ายประจําปีได้ทัน กฎหมายที่ตราขึ้นตามวรรคหนึ่ง ต้องระบุวัตถุประสงค์ของการกู้เงิน ระยะเวลาในการกู้เงิน แผนงานหรือโครงการที่ใช้จ่ายเงินกู้ วงเงินที่อนุญาตให้ใช้จ่ายเงินกู้ และหน่วยงานของรัฐซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบ การดําเนินแผนงานหรือโครงการที่ใช้จ่ายเงินกู้นั้น เงินที่ได้รับจากการกู้เงินตามวรรคหนึ่ง ให้กระทรวงการคลังเก็บรักษาไว้เพื่อให้หน่วยงานของรัฐ เบิกไปใช้จ่ายตามแผนงานหรือโครงการตามที่กฎหมายกําหนดได้โดยไม่ต้องนําส่งคลัง เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
หน่วยงานที่รับผิดชอบการเงินการคลังของประเทศที่สำคัญที่สุดหน่วยงานหนึ่งคือ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ผู้ทำหน้าที่ธนาคารกลางของประเทศ ได้ศึกษาและออกรายงานผลเพื่อกระตุ้นเตือนรัฐบาลถึงความเสียหายทางการเงินการคลัง การทำลายวินัยการเงินการคลังของนโยบายแจกเงิน Digital Wallet หนึ่งหมื่นบาทของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย อีกทั้งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยก็ยังแสดงจุดยืนในการต่อต้านโครงการ Digital Wallet หนึ่งหมื่นบาทของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในสาธารณะและสื่อต่างๆ มาโดยสม่ำเสมอ อีกทั้งยังไม่เข้าประชุมโครงการ Digital Wallet ของรัฐบาลเลยสักครั้งเดียว
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยยังมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ รวมไปถึงธนาคารพาณิชย์ของรัฐอย่างธนาคารกรุงไทยที่มีเงินเพียงพอและมีแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง ที่สามารถนำมาใช้ในโครงการ Digital wallet ของรัฐบาลได้ง่าย แต่หากผู้ว่าธปท. ใช้อำนาจในการกำกับดูแลขัดขวางย่อมเป็นอุปสรรคของรัฐบาลในการการที่จะให้ธนาคารกรุงไทยจะเป็นมือของรัฐบาลในการดำเนินโครงการ Digital wallet
การทำงานของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยยังเป็นอิสระตามมาตรา 28/16 ของพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 ทำให้เป็นอุปสรรคขัดขวางการทำให้โครงการ Digital Wallet ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างยิ่ง
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ จึงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการดำเนินโครงการ Digital wallet เพื่อแจกเงินหนึ่งหมื่นบาทของรัฐบาล จึงมีความพยายามที่จะปลดผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ไม่สามารถทำได้ด้วยเหตุผลหลายประการ
ในอดีตมีการปลดผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยมาแล้วสามท่านคือ นายนุกล ประจวบเหมาะ ถูกปลดในสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี นายสมหมาย ฮุนตระกูล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายกำจร สถิรกุล สมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัน เป็นนายกรัฐมนตรี หม่อมราชวงศ์ จัตุมงคล โสณกุล ถูกปลดสมัยนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 มีการแก้ไขหลายครั้ง ครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2561 เป็นครั้งที่เจ็ด โดยที่ทุกฉบับที่แก้ไข ไม่ได้มีการยกเลิกพรบ. ฉบับ พ.ศ. 2485 ไม่ได้มีการยกเลิกแต่อย่างใด
ตามกฎหมายของธนาคารแห่งประเทศไทยการปลดผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนปัจจุบันคือ ดร. เศรษฐพุฒิ นั้นไม่ได้เป็นเรื่องง่ายแต่อย่างใด
ประการแรก ตามมาตรา 28/14 วรรคหนึ่ง พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยโดยคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี
ประการสอง ตามมาตรา 28/19 วงเล็บสี่และห้า การปลดผู้ว่า ธปท. จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อ
1. ผู้ว่าธปท. มีความประพฤติเสื่อมเสียอย่างร้ายแรงหรือทุจริตต่อหน้าที่ ซึ่งต้องอาศัยมติคณะรัฐมนตรี หรือ
2. ผู้ว่าธปท. บกพร่องในหน้าที่อย่างร้ายแรงหรือหย่อนความสามารถ โดยต้องมีเหตุผลในการให้ออกอย่างชัดเจน ซึ่งต้องเสนอผ่านคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย หลังจากนั้นคณะรัฐมนตรีต้องมีมติให้ออก
ประการสาม ตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ก็เป็นตำแหน่งที่ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์อีกเช่นกันตามมาตรา 24
การปลดผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศโดยไม่ได้บกพร่องในหน้าที่อย่างร้ายแรง หย่อนความสามารถ ที่ต้องมีเหตุผลอย่างชัดเจน หรือมีความประพฤติเสื่อมเสียอย่างร้ายแรง หรือทุจริตต่อหน้าที่ อาจจะทำให้คณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย จำนวน 12 คน และคณะรัฐมนตรีทั้งคณะมีความเสี่ยงสูงมากที่จะกระทำผิดมาตรา 157 ประมวลกฎหมายอาญา “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เพราะจะเป็นการกลั่นแกล้งอันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
เรื่องการปลดหรือการโยกย้ายข้าราชการระดับสูง ก็เป็นเหตุในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ล่มสลายไปแล้วหนึ่งครั้ง หากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยยังดันทุรังจะปลดผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสินก็จะประสบชะตากรรมเดียวกันในอีกไม่นาน
สาขาวิชาสถิติศาสตร์
สาขาวิชาพลเมืองวิทยาการข้อมูล
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
รัฐบาลพรรคเพื่อไทย นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และอาจจะมีนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง ได้พยายามผลักดันนโยบายประชานิยม โดยการแจกเงินให้ประชาชน ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 70,000 บาท และมีเงินฝากทุกบัญชีรวมกันทุกธนาคารไม่เกิน 500,000 บาท ให้ได้รับเงินคนละ 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ของรัฐบาล ซึ่งน่าจะใช้เงินประมาณหกแสนถึงเจ็ดแสนล้านบาท หรือก่อให้เกิดความเสียหายหรือเกิดหนี้สาธารณะให้กับประเทศไทยค่อนข้างใกล้เคียงกับโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
อุปสรรคของโครงการนี้คือจะไปหาเงินมาจากที่ไหน ปัญหาใหญ่ลำดับที่หนึ่งที่ยังไม่อาจจะแก้ไขได้เลยคือ พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังภาครัฐ พ.ศ. 2561 ซึ่งตราขึ้นในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรี
ประการแรก รัฐบาลต้องรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด การแจกเงินหนึ่งหมื่นบ้านประมาณหกเจ็ดแสนล้านบาทต่อปี ไม่มีทางเป็นวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด แต่เป็นการใช้เงินมหาศาลเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติที่ไม่ชัดเจนและไม่มีความจำเป็น อันเป็นการขัดกับกฎหมายนี้ที่บัญญัติไว้ว่า
มาตรา 6 รัฐต้องดําเนินนโยบายการคลัง การจัดทํางบประมาณ การจัดหารายได้ การใช้จ่าย การบริหารการเงินการคลัง และการก่อหนี้ อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใสและตรวจสอบได้ ทั้งนี้ ตามหลักการรักษาเสถียรภาพและการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และหลักความเป็นธรรมในสังคมและต้องรักษาวินัยการเงินการคลังตามที่บัญญัติในพระราชบัญญัตินี้และตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ประการที่สอง รัฐอาจจะก่อภาระทางการเงินการคลังได้ก็ต่อเมื่อ คุ้มค่า มีประโยชน์ มีความยั่งยืนทางการคลัง การใช้เงินเพื่อก่อให้เกิดหนี้สาธารณะราวหกเจ็ดแสนล้านบาทอย่างเช่นการแจก Digital Wallet หนึ่งหมื่นบาทต่อคน ไม่คุ้มค่า ไม่มีประโยชน์ ไม่ยั่งยืน เพราะไม่ได้ทำให้ประชาชนมีศักยภาพในการทำมาหากินหรือทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เมื่อไม่ได้ส่งผลดีต่อโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ศักยภาพของประเทศ ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ หรือแม้แต่เพิ่มทักษะความสามารถของทรัพยากรของประเทศแต่อย่างใด โครงการ Digital Wallet แจกเงินหนึ่งหมื่นบาทของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ย่อมขัดกับ พรบ. ฉบับนี้ที่บัญญัติไว้ว่า
มาตรา 7 การกู้เงิน การลงทุน การตรากฎหมาย การออกกฎ หรือการดําเนินการใด ๆ ของรัฐที่มีผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ ต้องพิจารณาความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐด้วย
ประการสาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ ห้ามรัฐบาลใช้นโยบายประชานิยมเพื่อมุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศในระยะยาว การแจกเงินหนึ่งหมื่นบาทต่อคนในโครงการ Digital Wallet จึงเป็นการขัดต่อกฎหมายในมาตรา 9 วรรคสองและวรรคสาม เพราะวรรคสองนั้นก่อให้เกิดทั้งความเสี่ยงและความเสียหายแต่การเงินการคลังของรัฐ และเป็นนโยบายประชานิยมเพื่อหาเสียงทางการเมืองอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการกำหนดอายุว่าผู้ที่จะได้รับเงินต้องมีอายุ 16 ปีขึ้นไป อีกสองปีก็จะมีอายุครบ 18 ปี เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรก (First-time voter) ซึ่งพรรคก้าวไกล คู่แข่งทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยเป็นผู้ครองตลาดกลุ่มเป้าหมายนี้อย่างชัดเจน การแย่งชิงฐานคะแนนเสียงทางการเมืองที่เดิมเป็นของพรรคการเมืองคู่แข่งจึงเป็นการใช้นโยบายเพื่อหาเสียงทางการเมืองอย่างชัดเจน ขัดกับมาตรา 9 ที่บัญญัติไว้ว่า
มาตรา 9 คณะรัฐมนตรีต้องรักษาวินัยในกิจการที่เกี่ยวกับเงินแผ่นดินตามพระราชบัญญัตินี้อย่างเคร่งครัด
ในการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวกับนโยบายการคลัง การจัดทํางบประมาณ การจัดหารายได้ การใช้จ่าย การบริหารการเงินการคลัง และการก่อหนี้ คณะรัฐมนตรีต้องพิจารณาประโยชน์ที่รัฐหรือประชาชนจะได้รับ ความคุ้มค่า และภาระการเงินการคลังที่เกิดขึ้นแก่รัฐ รวมถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐอย่างรอบคอบ
คณะรัฐมนตรีต้องไม่บริหารราชการแผ่นดินโดยมุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนในระยะยาว
ประการที่สี่ การก่อหนี้ของภาครัฐต้องรอบคอบ คุ้มค่า ไม่ก่อให้เกิดปัญหาเสถียรภาพและความยั่งยืน แต่ในความเป็นจริงโครงการ Digital Wallet เร่งรัดในการดำเนินการ โดยไม่มีการศึกษาความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์อย่างรอบคอบ และไม่มีทางคุ้มค่าเพราะเป็นการแจกเงินโดยไม่มีเงื่อนไขและเหตุผลอันสมควร ทั้งยังสร้างหนี้ให้ประเทศชาติมหาศาล เป็นการทำลายความมั่นคงทางการเงินการคลังของประเทศ เป็นการขัดต่อกฎหมายฉบับนี้มาตรา 49
นอกจากนี้การก่อหนี้ของรัฐที่เป็นกรณีพิเศษอย่างเช่นโครงการ Digital Wallet จะขัดกับ พรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐมาตรา 49 วรรคสอง เนื่องจากไม่มีวิกฤติของประเทศ ไม่มีความจำเป็น ไม่มีความเร่งด่วน แต่อย่างใด เมื่อเปรียบเทียบกับโครงการเราไม่ทิ้งกัน ที่เป็นมาตรการเยียวยาลูกจ้างชั่วคราว อาชีพอิสระ นอกระบบประกันสังคม ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 โดยได้รับเงินสนับสนุนรายละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน โครงการ เราชนะ โครงการ กำลังใจ โครงการ คนละครึ่ง ซึ่งใช้เงินมากมหาศาล แต่มีความจำเป็นเพื่อพยุงเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนอันเกิดจากวิกฤติโควิด-19 จึงไม่เป็นการขัดกับบทบัญญัติแห่งพรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ มาตรา 53 วรรคสองแต่อย่างใด
มาตรา 49 การก่อหนี้และการบริหารหนี้สาธารณะและหนี้ของหน่วยงานของรัฐต้องเป็นไป ตามกฎหมายและอยู่ภายใต้ขอบวัตถุประสงค์และอํานาจหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐผู้กู้ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ ของประเทศและของหน่วยงานของรัฐ โดยต้องกระทําด้วยความรอบคอบ และคํานึงถึงความคุ้มค่า ความสามารถในการชําระหนี้ การกระจายภาระการชําระหนี้ เสถียรภาพและความยั่งยืนทางการเงินการคลัง ตลอดจนความน่าเชื่อถือของประเทศและของหน่วยงานของรัฐผู้กู้
มาตรา 53 การกู้เงินของรัฐบาลนอกเหนือจากที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการบริหาร หนี้สาธารณะ ให้กระทรวงการคลังกระทําได้ก็แต่โดยอาศัยอํานาจตามกฎหมายที่ตราขึ้นเป็นการเฉพาะ
และเฉพาะกรณีที่มีความจําเป็นที่จะต้องดําเนินการโดยเร่งด่วนและอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติ ของประเทศ โดยไม่อาจตั้งงบประมาณรายจ่ายประจําปีได้ทัน กฎหมายที่ตราขึ้นตามวรรคหนึ่ง ต้องระบุวัตถุประสงค์ของการกู้เงิน ระยะเวลาในการกู้เงิน แผนงานหรือโครงการที่ใช้จ่ายเงินกู้ วงเงินที่อนุญาตให้ใช้จ่ายเงินกู้ และหน่วยงานของรัฐซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบ การดําเนินแผนงานหรือโครงการที่ใช้จ่ายเงินกู้นั้น เงินที่ได้รับจากการกู้เงินตามวรรคหนึ่ง ให้กระทรวงการคลังเก็บรักษาไว้เพื่อให้หน่วยงานของรัฐ เบิกไปใช้จ่ายตามแผนงานหรือโครงการตามที่กฎหมายกําหนดได้โดยไม่ต้องนําส่งคลัง เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
หน่วยงานที่รับผิดชอบการเงินการคลังของประเทศที่สำคัญที่สุดหน่วยงานหนึ่งคือ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ผู้ทำหน้าที่ธนาคารกลางของประเทศ ได้ศึกษาและออกรายงานผลเพื่อกระตุ้นเตือนรัฐบาลถึงความเสียหายทางการเงินการคลัง การทำลายวินัยการเงินการคลังของนโยบายแจกเงิน Digital Wallet หนึ่งหมื่นบาทของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย อีกทั้งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยก็ยังแสดงจุดยืนในการต่อต้านโครงการ Digital Wallet หนึ่งหมื่นบาทของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในสาธารณะและสื่อต่างๆ มาโดยสม่ำเสมอ อีกทั้งยังไม่เข้าประชุมโครงการ Digital Wallet ของรัฐบาลเลยสักครั้งเดียว
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยยังมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ รวมไปถึงธนาคารพาณิชย์ของรัฐอย่างธนาคารกรุงไทยที่มีเงินเพียงพอและมีแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง ที่สามารถนำมาใช้ในโครงการ Digital wallet ของรัฐบาลได้ง่าย แต่หากผู้ว่าธปท. ใช้อำนาจในการกำกับดูแลขัดขวางย่อมเป็นอุปสรรคของรัฐบาลในการการที่จะให้ธนาคารกรุงไทยจะเป็นมือของรัฐบาลในการดำเนินโครงการ Digital wallet
การทำงานของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยยังเป็นอิสระตามมาตรา 28/16 ของพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 ทำให้เป็นอุปสรรคขัดขวางการทำให้โครงการ Digital Wallet ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างยิ่ง
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ จึงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการดำเนินโครงการ Digital wallet เพื่อแจกเงินหนึ่งหมื่นบาทของรัฐบาล จึงมีความพยายามที่จะปลดผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ไม่สามารถทำได้ด้วยเหตุผลหลายประการ
ในอดีตมีการปลดผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยมาแล้วสามท่านคือ นายนุกล ประจวบเหมาะ ถูกปลดในสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี นายสมหมาย ฮุนตระกูล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายกำจร สถิรกุล สมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัน เป็นนายกรัฐมนตรี หม่อมราชวงศ์ จัตุมงคล โสณกุล ถูกปลดสมัยนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 มีการแก้ไขหลายครั้ง ครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2561 เป็นครั้งที่เจ็ด โดยที่ทุกฉบับที่แก้ไข ไม่ได้มีการยกเลิกพรบ. ฉบับ พ.ศ. 2485 ไม่ได้มีการยกเลิกแต่อย่างใด
ตามกฎหมายของธนาคารแห่งประเทศไทยการปลดผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนปัจจุบันคือ ดร. เศรษฐพุฒิ นั้นไม่ได้เป็นเรื่องง่ายแต่อย่างใด
ประการแรก ตามมาตรา 28/14 วรรคหนึ่ง พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยโดยคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี
ประการสอง ตามมาตรา 28/19 วงเล็บสี่และห้า การปลดผู้ว่า ธปท. จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อ
1. ผู้ว่าธปท. มีความประพฤติเสื่อมเสียอย่างร้ายแรงหรือทุจริตต่อหน้าที่ ซึ่งต้องอาศัยมติคณะรัฐมนตรี หรือ
2. ผู้ว่าธปท. บกพร่องในหน้าที่อย่างร้ายแรงหรือหย่อนความสามารถ โดยต้องมีเหตุผลในการให้ออกอย่างชัดเจน ซึ่งต้องเสนอผ่านคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย หลังจากนั้นคณะรัฐมนตรีต้องมีมติให้ออก
ประการสาม ตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ก็เป็นตำแหน่งที่ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์อีกเช่นกันตามมาตรา 24
การปลดผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศโดยไม่ได้บกพร่องในหน้าที่อย่างร้ายแรง หย่อนความสามารถ ที่ต้องมีเหตุผลอย่างชัดเจน หรือมีความประพฤติเสื่อมเสียอย่างร้ายแรง หรือทุจริตต่อหน้าที่ อาจจะทำให้คณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย จำนวน 12 คน และคณะรัฐมนตรีทั้งคณะมีความเสี่ยงสูงมากที่จะกระทำผิดมาตรา 157 ประมวลกฎหมายอาญา “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เพราะจะเป็นการกลั่นแกล้งอันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
เรื่องการปลดหรือการโยกย้ายข้าราชการระดับสูง ก็เป็นเหตุในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ล่มสลายไปแล้วหนึ่งครั้ง หากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยยังดันทุรังจะปลดผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสินก็จะประสบชะตากรรมเดียวกันในอีกไม่นาน